เฟิงซือเฟิงยังคงจับตามอง "พ่อค้า" ปริศนาผู้นั้นอยู่ห่างๆ นางเห็นเขาเดินดูสินค้าหลายร้าน แต่กลับไม่ได้ซื้อหาสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันนอกเสียจากพู่กันและกระดาษเพียงไม่กี่ม้วน ท่าทีของเขาเหมือนกำลังมองหาบางสิ่ง หรือบางคน มากกว่าจะมาเดินซื้อของอย่างแท้จริง
"คุณหนู เราตามเขาไปดีหรือไม่เจ้าคะ"
เสี่ยวชุ่ยกระซิบถาม เมื่อเห็นนายสาวของตนให้ความสนใจบุรุษผู้นั้นเป็นพิเศษ
"ไม่จำเป็น" เฟิงซือเฟิงส่ายหน้า
"เพียงแต่รู้สึกว่าเขาดูไม่เหมือนพ่อค้าทั่วไปเท่านั้นเอง บางทีอาจจะเป็นสายสืบของทางการ หรืออาจจะเป็น...คู่แข่งทางการค้าที่เรายังไม่รู้จัก" นางครุ่นคิด ในสมองประมวลความเป็นไปได้ต่างๆ "จดจำลักษณะของเขาไว้ หากพบเห็นอีกให้รีบมารายงานข้า"
หลี่จิ่งหยวนเองก็รับรู้ได้ถึงการถูกจับตามอง แม้จะไม่ได้หันกลับไปมองโดยตรง แต่สัมผัสอันเฉียบคมของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่คอยติดตามอยู่ไม่ห่าง
"พ่อค้าหนุ่มน้อยคนนั้นช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมและช่างสังเกตยิ่งนัก หรือว่าแผนการของเราจะรั่วไหล?"
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ความระแวดระวังเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
ค่ำคืนนั้นผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเป็นพิเศษ
เฟิงซือเฟิงกลับถึงหอการค้าพร้อมกับข้อมูลใหม่ๆ ที่พอจะเป็นประโยชน์ ส่วนหลี่จิ่งหยวนก็กลับไปยังที่พักลับของตนพร้อมกับความสงสัยในตัว "พ่อค้าหนุ่ม" ที่เขาพบเจอ
หลายวันต่อมา ข่าวการปล้นสะดมขบวนสินค้าบริเวณนอกเมืองเล่าหยางเริ่มหนาหูขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่าพ่อค้าเป็นอย่างมาก เฟิงซือเฟิงเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สินค้าบางส่วนของสกุลเฟิงถูกปล้นชิงไประหว่างการขนส่ง สร้างความเสียหายไม่น้อย
"พวกโจรป่าช่างกำเริบเสิบสานนัก!" เหล่าผู้จัดการในหอการค้าต่างหัวเสีย
"ทางการก็ไม่เห็นจะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน"
เฟิงซือเฟิงนั่งฟังรายงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด
"การปล้นเกิดขึ้นถี่ผิดปกติ และมักจะเลือกขบวนสินค้าที่มีมูลค่าสูง แสดงว่าพวกมันต้องมีสายคอยส่งข่าว และรู้เส้นทางการเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นอย่างดี"
นางเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบในห้องประชุม
"ข้าคิดว่า ถึงเวลาที่เราต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว"
คำประกาศของนางทำให้ทุกคนตกตะลึง
"คุณหนูเล็กจะทำอะไรหรือขอรับ?"
หัวหน้าผู้ดูแลขบวนสินค้าถามด้วยความประหลาดใจ
"ข้าจะจัดขบวนสินค้าล่อพวกมันออกมาเอง"
เฟิงซือเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาฉายประกายกล้าตัดสิน
"แต่ครั้งนี้ เราจะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป"
แผนการของเฟิงซือเฟิงคือการจัดขบวนสินค้าที่มีมูลค่าสูงพอที่จะล่อให้กลุ่มโจรออกมา แต่ภายในรถสินค้าส่วนใหญ่จะบรรจุท่อนไม้และก้อนหินเพื่อถ่วงน้ำหนัก ส่วนสินค้าจริงจะถูกซุกซ่อนไว้อย่างดีใน
สถานที่ที่คาดไม่ถึง นอกจากนี้ นางยังได้ว่าจ้างคนคุ้มกันฝีมือดีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และวางแผนการตั้งรับหากถูกโจมตีอย่างแยบยล โดยใช้ความรู้ด้านยุทธศาสตร์ที่แอบศึกษามาประยุกต์เข้ากับสภาพภูมิประเทศ
ในขณะเดียวกัน หลี่จิ่งหยวนก็ได้ข่าวเรื่องขบวนสินค้าของสกุลเฟิงที่กำลังจะเดินทางออกจากเล่าหยางในอีกสองวันข้างหน้า เขาสืบทราบมาว่ากลุ่มโจรป่าที่ออกอาละวาดนั้น อาจมีความเชื่อมโยงกับขุนนางกังฉินที่เขากำลังตามรอยอยู่ การปล้นแต่ละครั้งเป็นเสมือนการส่งส่วยให้กับขุนนางเหล่านั้น หากเขาสามารถจับกุมโจรกลุ่มนี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้หลักฐานชิ้นสำคัญที่สาวไปถึงตัวการใหญ่
"ฝ่าบาท เราจะลงมือเองเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
จ้าวอู่ องครักษ์คนสนิททูลถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรงต่อผู้เป็นนาย
จ้าวอู่ จัดว่าเป็นนายทหารรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ใบหน้าสี่เหลี่ยมคมเข้มของเขาแม้จะดูเคร่งขรึมแต่ก็แฝงไว้ด้วยความซื่อสัตย์ อย่างเต็มเปี่ยม ผิวสองสีกร้านแดดเล็กน้อยบ่งบอกถึงการตรากตรำกรำงานกลางแจ้งมานาน ดวงตาคมกริบของเขาสอดส่ายระแวดระวังอยู่เสมอ เขาสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้มที่แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็แข็งแรงทนทาน เหมาะแก่การเคลื่อนไหวและต่อสู้ แขนเสื้อถูกรัดไว้อย่างทะมัดทะแมง เผยให้เห็นท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ
หลี่จิ่งหยวนครุ่นคิด
"กลุ่มโจรนี้เหิมเกริมยิ่งนัก การปล่อยไว้จะเป็นภัยต่อการค้าและการสืบของเรา สกุลเฟิงเป็นตระกูลใหญ่ หากขบวนสินค้าของพวกเขาถูกปล้นอีกครั้ง อาจทำให้สถานการณ์ในเล่าหยางปั่นป่วนยิ่งขึ้น"
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาเย็นชาแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น
"เตรียมคนของเราให้พร้อม เราจะติดตามขบวนสินค้านี้ไปอย่างเงียบๆ หากมีการปะทะเกิดขึ้น เราจะฉวยโอกาสนั้นเข้าจัดการพวกโจร และบางที...อาจจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจจาก 'พ่อค้าหนุ่ม'
คนนั้นอีกครั้ง"
เขานึกถึงเฟิงซือเฟิงในคราบพ่อค้าที่ตลาดกลางคืนโดยไม่รู้ตัว
ประกายไฟแห่งการเผชิญหน้ากำลังจะถูกจุดขึ้น ท่ามกลางความมืดมิดของเส้นทางการค้าอันตรายนอกเมืองเล่าหยาง...
ค่ำคืนนั้น หลังจากจัดส่งบุตรธิดาเข้านอนเรียบร้อย ทิ้งความวุ่นวายของวันไว้เบื้องหลัง เฟิงซือเฟิงรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจจากงานที่เบียดเสียด และจากความซุกซนของหลี่หยางฉีกับหลี่เหมยลี่ นางปรารถนาแต่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่นห้องอาบน้ำส่วนพระองค์ของตำหนักมังกรเหมยนั้นกว้างขวางและงดงามเสมือนห้องโถงเล็กๆ แสงเทียนจากโคมไฟกระดาษที่แขวนอยู่รอบห้องส่องแสงนวลตา ขับไล่ความมืดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น อ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง น้ำอุ่นที่ผสมสมุนไพรหอมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลีบโบตั๋นสีชมพูอ่อนและดอกเหมยขาวลอยอยู่บนผิวน้ำที่ปล่อยไอเบาๆ ดุจม่านหมอกเฟิงซือเฟิงค่อยๆ ถอดผ้าไหมบางเบาออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ผิวพรรณเนียนใสของนางเปล่งประกายใต้แสงเทียน สวยงามราวหยกเนื้อดีที่เพิ่งขัดเกลา นางก้าวลงสู่น้ำอุ่นอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เหนื่อยล้า ความสบายแผ่ซ่านไปทั่วกาย นางเอนตัวพิงขอบอ่าง หลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบที่โอบล้อมไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยก็ดังมาในห้อง หลี่จิ่งหยวนในชุดลำลองผ้าไหมสีเข้มเดินเข้ามาเงียบเชียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องร
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสงแห่งการจากลา เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนกลับมายังศาลาริมน้ำอันเป็นที่โปรดปรานของพวกเขา ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนลับของเรือนพัก ที่ซึ่งพวกเขาเคยแบ่งปันทั้งแผนการลับและหัวใจให้แก่กันยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังผิวน้ำในสระบัวที่นิ่งสงบ สร้างประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวนับพันดวงได้หล่นลงมาเต้นระบำอยู่บนผิวน้ำยามราตรี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวยามค่ำคืนลอยอบอวลมาตามสายลมบางเบา คลอเคล้ากับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความอาลัยอาวรณ์ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนศาลาไม้ สัมผัสถึงไอเย็นจากผิวน้ำที่พัดขึ้นมาปะทะกาย อ้อมแขนของหลี่จิ่งหยวนโอบรอบเอวบางของเฟิงซือเฟิงอย่างหลวมๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงอันหนักแน่น ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป สายตาของพวกเขาเงยขึ้นมองไปยังดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนของเล่าหยาง เป็นดวงดาวที่สว่างไสวกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ราวกับเป็นพยานรู้เห็นถึงพันธสัญญาแห่งหัวใจที่กำลังจะเกิดขึ้น"ข้ากลัวเหลือเกินจิ่งหยวน" เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงของนางสั่นเครือเ
ยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังเรือนพักลับอันเงียบสงัดของเฟิงซือเฟิง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดภายนอกให้เลือนหายไป แต่กลับมิอาจขับไล่เงามืดแห่งความกังวลที่กำลังปกคลุมจิตใจของคนทั้งสอง แผนการปฏิรูปประเทศที่หลี่จิ่งหยวนและเฟิงซือเฟิงร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนั้น แม้จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเล่าหยางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่พอใจจากเหล่าขุนนางเก่าที่เสียผลประโยชน์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ราชสำนักต้าถังที่เคยนิ่งเฉย บัดนี้เริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของหลี่จิ่งหยวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบถึง "อำนาจที่เติบโตเกินกว่าจะควบคุม" และ "ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับบุตรีแม่ทัพ" เริ่มแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง เฟิงซือเฟิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากสายตาที่จับจ้อง และความระแวงที่แผ่กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น หลังจากที่เฟิงซือเฟิงผล็อยหลับไปบนเตียง หลี่จิ่งหยวนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียงของนาง ไม่ยอมหลับลง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หมดจดเกลี้ยงเกลาของนางที่ดูสงบยามหลับใหล แพขนต
ค่ำคืนนั้น หลังจากการหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัดราวกับถูกซ่อนไว้จากโลกภายนอก เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ สายฝนภายนอกเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา คลอเคล้ากับเสียงฟืนในเตาผิงที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ ให้ความอบอุ่นแก่เรือนพักภายในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีนวลอ่อนๆ จากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นละมุนละไม หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่ของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงอยู่ใ
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูเมืองเล่าหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ณ โถงกลางของจวนผู้ว่าการเมืองที่เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ แสงไฟจากโคมนับพันดวงส่องสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน ผ้าแพรไหมเนื้อดีสีแดงสดและสีทองอร่ามประดับประดาไปทั่วทุกซอกมุมของโถง แสดงถึงความมั่งคั่งและปิติยินดี เสียงดนตรีบรรเลงขับขานก้องกังวานไปทั่วงาน เสียงพิณที่ไพเราะราวเสียงน้ำตก เสียงขลุ่ยที่อ่อนหวานราวสายลมพัดต้องกลีบดอกไม้ และเสียงกลองที่เร่งเร้าราวจังหวะหัวใจที่เต้นรัว ผู้คนมากมายทั้งขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และผู้มีอิทธิพลจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ใบหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจ กลิ่นหอมของสุราเลิศรส อาหารเลิศรส และเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ภายใต้ความคึกคักนั้น ยังคงมีกระแสคลื่นใต้น้ำแห่งการเมืองและผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นไหลวนอยู่เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมสีเข้มเรียบง่าย ซึ่งเป็นชุดที่นางจงใจเลือกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามตามธรรมชาติของบุตรีแม่ทัพไว้ได้อย่างครบถ้วน เส้นผมดำขลับ
ค่ำคืนนั้น หลังจากการวิ่งหนีการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัด เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ แสงเทียนจากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่องสว่างนวลตาขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นเล็กๆ ให้กับห้องพักที่เรียบง่ายแต่เป็นที่พึ่งพิงในยามนี้หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมบางเบาที่บัดนี้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเล็กน้อย มองดูเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของเขา เผยให้เห็นรอยเหนื่อยล