เมื่อคืนมีญาติผู้หวังดีผสมบางสิ่งใส่สุรายามอวยพร แน่นอนว่าเขารู้และยินยอมเพราะมั่นใจว่าคืนนี้จะไม่หลับ ไม่ปล่อยให้เจ้าสาวได้พักผ่อน จะเข้าหอด้วยกันจนรุ่งสางทว่าท้ายที่สุดซิงเยว่กลับไม่สะดวก เขาจึงจำเป็นต้องจัดการตัวเองทั้งคืนจนเมื่อยมือไปหมดหลิวไท่หยางปรายตามองซิงเยว่อย่างโกรธแค้น...อาศัยจังหวะโอบประคองแนบชิดเดินไปตามทาง เขากระซิบถามอย่างดุดันว่า “หมดเมื่อไหร่?”ซิงเยว่กลอกตาคำนวณในใจ “ห้าถึงเจ็ดวัน”บุรุษผู้ร้อนรุ่มไม่สร่างซาเพราะฤทธิ์ยายังไม่จางไป ให้รู้สึกแทบกระอักเลือดแล้วในโถงกลางเรือนหลัก ผู้อาวุโสและพี่น้องทุกคนต่างนั่งอยู่กันพร้อมหน้าอย่างสามัคคีพวกเขาต่างเฝ้ารอเห็นหน้าเจ้าสาวของหลิวไท่หยาง และเมื่อได้เจอกัน ทุกคนพลันผงะ“ที่แท้คือซิงเยว่หรอกหรือ?”จ้าวซินเจี๋ยอุทานขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อทั่วทั้งห้องเงียบสงัดดุจสุสานเพื่อเป็นการไว้หน้าสามี ซิงเยว่จึงยอบกายเอ่ยปากอธิบายด้วยตัวเองอย่างนอบน้อมว่า“ไม่ขอปิดบังทุกคน ครั้งก่อนที่ข้าเข้ามาเป็นสาวใช้ เพราะข้าถูกทำร้ายจนจำสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ ยามนั้นข้าได้คุณชายหลิวช่วยเหลือทุกอย่างจึงเสนอตัวตอบแทนอยู
หยางเจี้ยนและหมิงเยว่มาร่วมงานแต่งวันนี้ด้วย เพียงแต่พวกเขาไม่อาจเปิดเผยฐานะและความสัมพันธ์ให้เป็นที่แคลงพระทัย จึงปลอมตัวมาเป็นผู้เฒ่าชายหญิง เพื่อเป็นผู้อาวุโสฝั่งเจ้าสาวการแต่งงานของซิงเยว่นั้น หมิงเยว่ในฐานะพี่สาว ซึ่งไม่ต่างจากมารดา แท้จริงสมควรออกหน้า ทว่าด้วยตำแหน่งของสามีที่เป็นแม่ทัพใหญ่ มีอำนาจบารมีเกรียงไกร ฐานะหยางฮูหยินมิอาจกระทำตามอำเภอใจ การแต่งงานของซิงเยว่จึงล้วนเป็นตัวซิงเยว่ที่จัดการเองซึ่งแน่นอนว่าไม่ยากซิงเยว่เริ่มจากไตร่ตรองความชอบของฮ่องเต้เยี่ยน จากนั้นค่อยประเมินความเป็นไปได้ในการแต่งงานที่สามารถยิงนกได้หลายตัวด้วยเกาทัณฑ์เดียวเนื่องจากสามสกุลร่วมไมตรีอีกหนึ่งสกุลจึงตกต่ำจากเดิมสี่สกุลทรงอิทธิพลกระจายอำนาจเท่าเทียม มีเพียงหนึ่งอยู่เหนือกว่าแค่เล็กน้อย รายได้ย่อมกระจาย ภาษียิ่งสะพัดเสมอมา ทว่าบัดนี้กลายเป็นสามกดหนึ่งเอาไว้คนภายนอกอาจไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด แค่พ่อค้าวาณิชย์ห้ำหั่นกัน ทว่าฮ่องเต้เยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น พระองค์ทรงคิดว่า หากสามสกุลร่วมมือกระด้างกระเดื่อง อาจทำให้ส่วยที่จัดเก็บไม่สมดุลสกุลหลิวที่การเงินดีจ่ายภาษีมากมายในแต่ละปีได้รับแรง
กำหนดการแต่งงานเกิดขึ้นทันทีเมื่อหลิวไท่หยางยินยอมออกมาพบหน้าแม่สื่อเขาไม่ไต่ถามสักคำว่าเจ้าสาวคือใคร บ้านอยู่ไหน นิสัยใจคอเป็นเช่นใด กลับเอ่ยปากว่าต้องแต่งนางเท่านั้นหลิวอี้กับจ้าวซินเจี๋ยพากันมองอย่างไม่อยากเชื่อเหตุใดรวดเร็วรวบรัดราวสายฟ้าฟาดปานนี้?คุณชายรองผู้เย่อหยิ่งทะนงตนถือตัวประกาศกร้าวว่าจะไม่แต่งงานเมื่อหลายเดือนก่อนหายไปทางใดแล้วตอนนั้นใครกันนะบอกว่าหากถูกบังคับแต่งงานอีกจะเร้นกายท่องยุทธ ไม่อยู่ดูแลกิจการครอบครัวนำพาสกุลกระทั่งบิดาต้องกลัดกลุ้มนอนไม่หลับ ระบายโทสะด่าทอจนเสียงแหบเสียงแห้ง หลิวไท่หยางก็ยังไม่อ่อนข้อ ทว่าท้ายที่สุดกลับยอมง่ายๆ แค่เห็นแม่สื่อผู้นี้นั่งมองนิ่งๆ หากเอ่ยตามจริงคือแม่สื่อยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำด้วยซ้ำ คนกลับขนเทียบวันเดือนปีเกิดและสิ่งของหมั้นหมายออกมาเจ็ดวันต่อมาขบวนสีแดงโดดเด่นของเจ้าบ่าวผู้หล่อเหลาเป็นที่เลื่องลือของเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนเคลื่อนตัวไปรับเจ้าสาวที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตามฤกษ์งามยามดีที่กำหนดราวฟ้าผ่าคฤหาสน์หย่งซินคือจุดหมายปลายทางขบวนคฤหาสน์แห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยสีแดงมงคลทันทีเมื่อซิงเยว่ซื้อไว้เป็นบ้านเดิมก่อนแต่งงาน ทั้งห
เมื่อซิงเยว่เองก็คิดถึงชายเหนือร่างมากถึงมากที่สุด นางย่อมไม่ให้เขาหยุด จึงตวัดลิ้นเล็กต่อสู้กลับอย่างร้อนแรงร่างอรชรอ่อนนุ่มเบียดชิดอกแกร่งอย่างต้องการหลอมละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ไฟร้อนจึงลุกโหมกลายเป็นเพลิงผลาญจนผ้าปูเตียงแทบมอดไหม้เสียงกอดจูบบดเคล้ากลีบปากดันลิ้นดูดดึงดังผสานเสียงครางกับเสียงเตียงโยกคลอนในจังหวะที่หากใครได้ยินต้องหูแดงหน้าแดงพ่นลมร้อนออกจากจมูกเป็นแน่แท้หากแต่ยังไม่ทันที่เสื้อผ้าอันเป็นปราการชิ้นสุดท้ายกลางลำตัวจะถูกปลด เสียงเคาะประตูพลันดังสนั่น“คุณชายรอง ได้โปรดออกมาเถิดเจ้าค่ะ”ซิงเยว่กับหลิวไท่หยางจึงหยุดชะงักในท่าหมิ่นเหม่ เสื้อผ้าของทั้งสองหลุดลุ่ยเปิดเปลือยไปถึงไหนต่อไหน ฝ่ายสตรีโอบลำคอกดศีรษะฝ่ายบุรุษให้ก้มหน้าฝังจมูกซุกซบแนบแน่นอยู่ตรงร่องอกอวบอิ่มหยุ่นนุ่มความรุ่มร้อนกำซ่านอบอวลรอบกายของคนทั้งสอง ร่างกายแข็งแกร่งกำยำเป็นสิ่งที่ทำให้สตรียากผลักออก ผิวพรรณเนียนละเอียดเย็นลื่นเป็นสิ่งที่ทำบุรุษยากผละจากหลิวไท่หยางเงยหน้าจากยอดถันสีชมพูอ่อนหวาน มองสบตาหงส์คู่สวยอย่างอันตรายซิงเยว่มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมที่บัดนี้คล้ายกำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแ
เรือนชั้นใน เพียงชายหนุ่มเปิดประตูห้องเข้ามา ลำคอพลันเย็นวาบ ดาบเล่มหนึ่งพาดไหล่จากด้านหลังหลิวไท่หยางตัวแข็งทื่ออาการชะงักงันที่ก่อเกิดนั้น สาเหตุมิใช่เพราะดาบ หากแต่เป็นเพราะกลิ่นอายคุ้นเคยที่สัมผัสได้ต่างหาก ปรานเย็นอันตรายผสมผสานกลิ่นกายหอมหวานเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งเยือกเย็นสุขุมและลุ่มลึกทั้งเย็นเยียบชวนหนาวยะเยือกกลางอกเช่นนี้มีเพียงคนเดียวหลิวไท่หยางใจสั่นเมื่อตระหนักได้อย่างกระจ่างนางจำได้แล้ว นางกลับมาเป็นซิงเยว่คนเดิมแล้วกลับมาเป็นคนที่ภายนอกสงบนิ่งสุขุมแต่การกระทำสุดแสนบ้าบิ่น ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขาพริบตานั้นกระแสอารมณ์ชนิดหนึ่งพลันพลุ่งพล่าน ความรู้สึกทั้งรักทั้งชังและแค้นเคืองโกรธกรุ่นน้อยอกน้อยใจพลันประดังประเดเข้ามาราวพายุทราย มหันตภัยแต่ละเม็ดปลิวว่อนกระแทกหัวใจในอกข้างซ้ายไม่ยั้ง ทั้งเจ็บทั้งคัน เจ็บปวดแสบสันชวนหงุดหงิดสุดชีวิตคิดอยากปัดอยากตัดล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้นหลิวไท่หยางใช้นิ้วดันดาบออกจากลำคออย่างเฉยชา รูปหน้าดั่งรูปปั้นสลักแลดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่ยินดียินร้ายไม่รู้สึกรู้สาอันใดกับการเจอหญิงคนรัก ทำตัวประหนึ่ง
ผู้เฒ่าคนนี้ป่วยจะตายอยู่แล้วยังต้องมารับศึกเยี่ยงนี้ เหน็ดเหนื่อยยิ่ง หลิวอี้โบกมือ “รีบไป”“เจ้าค่ะๆ”บ่าวอาวุโสเร่งรุดไปตามคำสั่ง ใช้เวลาเพียงไม่นาน นางก็กลับมาด้วยสีหน้าจืดเจื่อน“เรียนนายท่าน คุณชายรองไม่คิดเสวนาอันใดทั้งสิ้น บอกให้แม่สื่อกลับไปเจ้าค่ะ”“...!?”ฮูหยินตราตั้งเมื่อได้ฟังก็เชิดหน้าคอตั้ง ปรายตามองคนแซ่หลิวอย่างเย็นชาวันนี้นางได้รับพระราชดำรัสจากฮ่องเต้มาเชียวนะ จะให้กลับง่ายๆ รึ? ไม่มีทาง...เรือนด้านหลังของหลิวไท่หยางกลายเป็นสนามรบตั้งแต่ถูกหญิงคนรักทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใยเป็นครั้งที่สองทั้งจิ้นสิงและองครักษ์ต่างถูกบังคับให้ประลองฝีมือกับผู้เป็นนายไม่ว่างเว้น ลงมือแต่ละครั้งทั้งเหี้ยมโหดดุดัน ประหนึ่งโกรธเกลียดกันแต่ชาติปางก่อนหลังจากรอบด้านพังครืน ทุกสิ่งพังพาบระเนระนาดไม่เหลือดี จิ้นสิงและทุกคนถูกหลิวไท่หยางฟาดฟันจนหมดเรี่ยวหมดแรงแทบสลบหลับใหลคาพื้นดิน บ่าวหญิงอาวุโสคนเดิมก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาอีกครา“คุณชายรอง นายท่านกำชับว่าครั้งนี้คุณชายต้องออกไปเจรจาด้วยตัวเองให้ได้เจ้าค่ะ แม่สื่อที่มาครั้งนี้ นางเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง สกุลหลิวจะล่วงเกินมิได้เจ้าค่ะ”บ่าวหญิง