หน้าหลัก / แฟนตาซี / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

แชร์

บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-18 01:12:42

               ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้

เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี        

ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื้อผ้าของเขาเป็นชุดคลุมแขนยาวสีเทาหม่น ชายแขนเสื้อและชายเสื้อเป็นสีเงิน เสื้อผ้าแม้ไม่ได้มีลวดลายวิจิตรพิสดาร แต่ก็สะอาดสะอ้าน

แม้ตอนนี้สีหน้าของอวี้ไป๋เฉินจะแสดงท่าทีนิ่งสงบ แต่แววตากลับมีบางอย่างที่แข็งกร้าว ราวกับพร้อมจะปะทะกับผู้นั่งร่วมโต๊ะได้ทุกเวลา

“ข้าขออีกครั้ง สิ่งนั้นควรส่งคืนแก่ผู้ครอบครองที่แท้จริง มันไม่ใช่ของท่านตั้งแต่ต้น” ผู้มาเยือนคนหนึ่งซึ่งเป็นชายคิ้วเข้ม และมีรอยแผลเป็นตรงแก้ม สวมเสื้อสีดำพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ

“ข้าไม่เจ้าของของมันก็จริงอยู่ ทว่าและข้าก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าพวกเจ้าคือผู้คู่ควรจะครอบครองมันเช่นกัน ดังนั้นก็คงมอบให้ไม่ได้” อวี้ไป๋เฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เฉียบคมอย่างคมกระบี่

“หากเช่นนั้น ก็อย่าหาว่าพวกเราหยาบคาย!” แขกอีกคนที่สวมเสื้อสีเขียวเข้มลุกขึ้นจากโต๊ะ กระทืบพื้นเสียงดัง แรงกระแทกของฝ่าเท้าที่กระทบพื้น ส่งเสียงดังปังจนถ้วยชาไหว ส่งผลให้เสี่ยวซุ่ยที่ถูกทำให้แสดงอาการอย่างคนสามัญถึงกับต้องสะดุ้งเฮือก ถาดในมือแทบหล่น จนเฉินอี้ที่เดินผ่านมาเพื่อทำความสะอาดโต๊ะอีกตัวยังหันมามองนางเป็นห่วง

ชายแปลกหน้าผู้ลุกขึ้นมายืนตวัดแขนหนึ่งครั้ง ปล่อยคลื่นพลังลมแรงออกมา ข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะรับรองแขกพิเศษถึงกับกระจัดกระจาย อาคารโรงเตี๊ยมทั้งหลังสั่นไหวไปเล็กน้อย แขกในห้องต่างตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าก้าวออกไป เพราะความกลัวทำให้ผู้มาเยือนที่เป็นคนธรรมดา หาใช่ชาวยุทธ์ ต้องขาสั่นลุกไปขึ้นไปตามกัน

“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าเรามีสิทธิ์ในสิ่งนั้นหรือไม่!” เสียงตะโกนแผดขึ้น พร้อมกับแขกอีกคนที่สวมเสื้อสีน้ำตาลกระโดดจากเก้าอี้ พุ่งทะยานข้ามโต๊ะเข้าโจมตีอวี้ไป๋เฉินที่นั่งอยู่ด้วยฝ่ามือทันที ทว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมกลับยกจานรองแก้วขึ้นมา ก่อนจะใช้มันตบเข้าที่ข้อมืออีกฝ่ายเบา ๆ เบี่ยงวิถีให้อีกฝ่ายถลำไปโจมตีพื้นโรงเตี๊ยมแทน จนพื้นถึงกับแตกร้าว  

“ทุกคนออกจากโถงก่อนเร็ว! เกิดเรื่องแล้ว!” เฉินอี้ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณนั้นตะโกนเรียกสติทุกคน ทำให้ลูกค้าที่พากันขาสั่น ต้องได้สติอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาพากันวิ่งออกไปจากโรงเตี๊ยม ทว่าเด็กสาวคนหนึ่งที่มากับคณะเดินทางที่เป็นลูกค้าของโต๊ะอีกตัว กลับสะดุดล้มลงอยู่ข้างประตู

เฉินอิ้วิ่งเข้าไปจะช่วยนาง ทว่าชายที่สวมเสื้อสีเขียวกลับตวัดแขนทั้งสองไปทั่ว กระแสพลังปราณที่เต็มไปด้วยพลังจู่โจมกระจัดกระจายไปทั่วโถงอย่างไร้ทิศทาง ราวกับจะทำลายข้าวของในโรงเตี๊ยมเพื่อข่มขู่อวี้ไป๋เฉิน หนึ่งในกระแสพลังจู่โจมนั้นก็พุ่งเข้าใส่เฉินอี้ที่พยายามช่วยเด็กสาวที่กำลังล้ม!

“หลบไปเฉินอี้!” เสี่ยวซุ่ยที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่เหมือนร่างกายกลับหมดเรี่ยวแรงและสั่นกลัวจนขาหมดกำลัง นั่งอยู่กับพื้นตั้งแต่เมื่อครู่ ทำได้เพียงร้องบอกออกไป แต่เสียงของนางแผ่วเบาจนราวกับไม่มีผู้ใดได้ยิน

คลื่นพลังปราณฟาดเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างแรง ร่างของเฉินอี้ปลิวกระแทกกับเสาไม้เสียงดังสนั่น ก่อนที่เขาจะทรุดลงกับพื้น เลือดไหลรินออกมาจากไหล่ข้างหนึ่ง

“เฉินอี้!!” เสี่ยวซุ่ยกรีดร้อง แต่ไม่อาจลุกขึ้นไปทำอะไรได้ นางกัดปากตัวเองด้วยความเจ็บใจจนเลือดซึมริมฝีปาก กำเสื้อของตนแน่นจนมือสั่นเทา

น้ำตาของเซียนที่ติดในร่างสาวใช้หลั่งไหลโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด หรือเพราะถูกรังแก แต่เป็นเพราะความรู้สึกไร้พลังที่กัดกินเหมือนเปลวเพลิงในอก เมื่อครั้งนางยังเป็นลั่วชิง เพียงโบกมือครั้งเดียวก็จัดการคนพวกนี้ได้ไม่ยาก ทว่าตอนนี้เพียงแค่ลุกขึ้นมา นางยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ...

ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นมากกว่านั้น ซูหรงที่อยู่ชั้นบนของอาคารก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของโถงด้านล่าง นางเดินลงบันไดลงมา และได้มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อวี้ไป๋เฉินพยายามหลบเหล่าแขกที่เข้ามาโจมตี แขกเสื้อเขียวใช้คลื่นพลังทำลายข้าวของไปไม่น้อย เฉินอี้ถูกซัด และเสี่ยวซุ่ยที่นั่งคุกเข่าทรุดอยู่กลางโถง ดวงตาของซูหรงเบิกกว้างชั่วครู่ ก่อนแววตาจะแปรเปลี่ยนเป็นแววโทสะ

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตวาดของซูหรงดังลั่น และเพียงชั่วขณะเดียว แสงสีเงินพลันพุ่งออกจากเงื้อมมือของนาง กระแทกเข้ากลางพื้นไม้ กระจายเป็นวงอักขระเรืองแสงเต็มพื้นดิน ทำเอาผู้บุกรุกต้องหยุดชะงักพร้อมกันทันที

“หากพวกเจ้าต้องการจะต่อสู้ในที่ของข้า จงเตรียมตัวรับผลลัพธ์ให้ดี” ซูทรง น้ำเสียงของซูหรงเย็นชาจนแทบทำให้อากาศรอบข้างเย็นยะเยือก แม้ไม่เปล่งพลังเต็มที่ แต่พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนาง ก็ทำให้ชายแปลกหน้าเหล่านั้นตระหนักดีว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สามารถเอาชนะโดยง่าย

“ครั้งนี้พอก่อนก็แล้วกัน” แขกในชุดดำกล่าว พลางมองพวกที่ติดตามมาคนอื่น ๆ แล้วหันไปมองอวี้ไป๋เฉิน “ส่วนเจ้า ข้าให้เวลาทบทวนให้ดี ว่าของนั่นควรยกให้พวกเราหรือจะเก็บมันไว้ต่อไป แล้วดึงดูดใครต่อใครให้มาหาเจ้าอีกเช่นนี้”

“ทำลายข้าวของคนอื่นแล้วจะบอกว่าพองั้นรึ?” ซูหรงพูดขึ้นมาเหมือนยังไม่ยอมให้จบเรื่อง แขกคนที่สวมชุดสีน้ำตาลจึงหยิบถุงเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมา วางไว้บนโต๊ะ

            “ในนี้มีหนึ่งตำลึงทอง คงพอชดใช้ค่าเสียหายวันนี้ได้”

            “เช่นนั้นข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน อย่าได้กลับมาก่อเรื่องที่นี่อีก” ซูหรงเอ่ยขึ้น หลังจากคิดในใจเบ็ดเสร็จแล้วว่าข้าวของที่เสียหาย อย่างไรก็ไม่น่าจะถึงหนึ่งในสิบตำลึงเงิน อย่างมากก็เกือบ ๆ เท่านั้น แต่กลับได้มาหนึ่งตำลึงทอง ก็มากกว่าที่คาดไว้เกือบร้อยเท่า

            หลังจากซูหรงปล่อยพวกเขา จนพวกเขาเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว เสี่ยวซุ่ยก็คลานไปประคองร่างเฉินอี้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา นิ้วมือแตะบาดแผลของเขาเบา ๆ

“เจ็บไหม... ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย... ข้าไร้ประโยชน์นัก...”

นางรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของเลือดอุ่น ๆ ตรงแขนเสื้อของเขาที่ไหลรินออกมาจากไหล่ ความอบอุ่นนั้นทำให้นางเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บที่ลึกลงไปอีก ในหัวของนางครุ่นคิดกังวล และตอนนี้มันสรุปเรื่องราวออกมาได้ว่า...

นางจะปล่อยให้ชีวิตของนางและเฉินอี้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้.. นางจะต้องทำอะไรสักอย่าง!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

    ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 6 : นางกลั่นแกล้งข้า!

    แสงเช้าในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นอย่างไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น“เช่นนั้นก็รีบทำได้ ของทั้ง

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 5 : นางทำให้ข้าจำต้องเริ่มใหม่

    เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของเธอถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด“ไม่น่าจะยาก...” เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 4 : นางยัดเยียดชีวิตใหม่ให้อาจารย์

    โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นยามค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกวัน หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันเข้านอน และเสียงจานชามในครัวก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมโชยเบาใต้ชายคาเท่านั้นซูหรงนั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของตนเอง ไฟตะเกียงบนโต๊ะส่องสว่างพอให้เห็นใบหน้าของนางซึ่งสงบเยือกเย็น แต่แววตานั้นกลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่คล้ายความตั้งใจแน่วแน่ ประเภทที่เตรียมใจสำหรับการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปได้อีกบนโต๊ะของนางตอนนี้มีแผ่นยันต์ผืนบาง วัตถุดิบที่นางนำติดตัวมาจากตำหนักบนภูเขาเซียน และน้ำหมึกผสมผงหยก ซึ่งแม้จะเจือจาง แต่ก็ยังเป็นของที่ใช้ในพิธีเฉพาะทางของผู้ฝึกตนขั้นสูงที่อาจารย์เคยสอนนางมาแต่เล็ก“ข้าคงต้องเลือกทางนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง พลางวางปลายนิ้วลงบนยันต์ และเริ่มวาดอักขระด้วยปลายพู่กันที่สั่นน้อย ๆ แม้ภายนอกจะสงบ แต่ภายในของนางเต็มไปด้วยหลากความรู้สึกโหมกระหน่ำอยู่ภายในคล้ายพายุเมื่อยันต์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาสองยามพอดี นางจึงตัดสินใจจะออกไปตามเสี่ยวซุ่ย แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่า เสี่ยวซุ่ยยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว เด็กสาวย่อกายลงโค้งศีรษะให้นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม ท่าทางสงบนิ่งและมั่นคง ก่อนที่ซ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 3 : นางบอกว่าบัดนี้นางได้เติบใหญ่

    โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่าเธอกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหกแม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่าเธออ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของเธอที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 2 : นางต้องการบ่าวหญิงคนใหม่

    ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่งวันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉินใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญแม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status