รุ่งสางนารีรีบตื่นก่อนนักรบ จากนั้นได้เงยขึ้นไปมองใบหน้าอันหล่อเหลาของชายร่างกำยำ ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เธอจะได้เจอเขาอีกหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณที่เขาได้ช่วยให้พ้นจากชายฉกรรจ์ อย่างน้อยโชคชะตาก็ได้นำพาเขามาให้เธอได้รู้จัก แม้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที แต่นารีก็รู้สึกดีที่ได้รู้จักผู้ชายตรงหน้านี้
หญิงสาวค่อยๆ ย่องออกไปจากห้องของนักรบ เธอไม่ต้องการให้เขาไปส่ง เพราะนั่นจะทำให้ผู้เป็นบิดาไม่พอใจ อาจคิดว่าเธอนั้นไปกับชายอื่น เธออาจจะโดนทำโทษ แต่ถึงยังไงก็ขอกลับไปเผชิญความจริงเพียงลำพังสักพักนารีก็เดินออกมาถึงถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านสักเท่าไหร่นัก เวลานี้ผู้คนค่อนข้างจะพลุกพล่าน เพราะหลายคนเตรียมตัวออกไปทำงานเพื่อหาเงินเข้าบ้านในเช้าวันใหม่
ปี้นๆ!! เสียงแตรรถดังขึ้นพร้อมกับมาจอดเทียบ ข้างๆ ขอบถนนที่นารีกำลังจะเดินข้ามไปอีกฟาก
"นารี! ใช่นารีหรือเปล่า" กระจกรถถูกเลื่อนลง พร้อมกับเสียงทุ้ม ทำให้นารีเงยหน้าขึ้นมอง และก็ต้องฉีกยิ้มกว้างให้กับชายในรถ เพราะเขาชื่อธันวาเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียน ตั้งแต่มอปลายจนเข้ามหา'ลัย ทั้งคู่ค่อนข้างจะสนิทสนมกันมาก แต่พอเรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายและไม่ได้พบเจอกันอีกเลย
"ธันวา! นาดีใจจังเลย ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่" นารีพูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้นและดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า
"แล้วนั่นจะไปไหนเช้ามืด มาขึ้นรถเราจะไปส่ง" นารีไม่ลังเลเลยที่จะเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งในรถทันที อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินไปเรียกแท็กซี่ เมื่อเจอกับธันวา แม้จะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่นารีไว้ใจธันวาเพื่อนที่เคยช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก
"ช่วยไปส่งนาที่บ้านที พอดีหนีออกจากบ้านมา" เมื่อขึ้นมาบนรถได้ นารีก็กลับให้เพื่อนไปส่งที่บ้านทันที
"นาว่าอะไรนะ! เธอหนีออกจากบ้านมา มันเรื่องอะไรกันแล้วกลับไปพ่อกับแม่ไม่ทำโทษเธอเหรอ" ธันวาเอ่ยถามเพื่อนด้วยความห่วงใย ในขณะที่เขาเคลื่อนรถออกมา ขับตรงไปที่บ้านของนารี
"ไม่หรอกนาโตแล้ว ว่าแต่ธันวามาทำอะไรแถวนี้แต่เช้า"
"อ๋อ..บ้านเราอยู่แถวนี้ เพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่ถึงปี เพราะเห็นว่ามันใกล้ที่ทำงาน" ธันวาพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อเขาไม่คิดว่าจะได้เจอกับนารีอีก เพราะที่บ้านของเธอนั้นไม่เคยต้อนรับเพื่อนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนารีเลย
"ขอบใจนะที่มาส่งเรา นายสบายดีหรือเปล่าธันวา คนเราโตขึ้นก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น แล้วนายล่ะแต่งงานหรือยัง" คำถามของนารีทำให้ธันวาถึงกับฉีกยิ้มกว้างออกมา เพราะเขานั้นยังโสดและไม่คิดจะแต่งงานกับใคร เมื่อหัวใจของธันวานั้นมีใครอยู่ข้างในที่แอบชอบมานานโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อน และเธอก็ไม่มีวันจะรู้ เมื่อเขาอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดไป เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้ให้ยาวนาน
"เราสบายดี ยังโสดและก็ชอบชีวิตแบบนี้มากกว่า เราคงดูแลใครไม่ได้หรอกนา เผลอๆ อาจจะพาเขามาลำบากด้วย สู้อยู่คนเดียวแบบนี้จะดีกว่า" ธันวาพูดจบทั้งสองได้ส่งยิ้มให้กัน เมื่อมิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นผูกพันมากกว่าที่จะมีใครมาเข้าใจได้ เพราะนารีมีเพียงแค่ธันวาเป็นเพื่อนคนเดียว เธอจึงรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่มีเขาอยู่ข้างๆ ในวันที่อ้างว้าง แต่หญิงสาวไม่อาจสานสัมพันธ์ไปมากกว่าคำว่ามิตรภาพของเพื่อนได้ สิ่งนั้นธันวารู้ดี เขาจึงไม่เคยขอนารีเป็นแฟนเลยสักครั้ง ได้แต่แอบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แค่นี้เขาก็สุขใจแล้ว
"ถึงบ้านแล้วขอบใจมากนะธันวา" เมื่อรถยนต์แล่นเข้ามาจอดทางเข้าบ้านกะสิเทพ นารีรีบกล่าวขอบใจเพื่อนก่อนจะเปิดประตูรถเดินเข้าบ้านโดยใช้ประตูเล็ก ธันวามองตามหลังหญิงสาวร่างเล็กออกไปจนสุดสายตา เพราะทางเข้าบ้านนั้นไกลกว่าตัวเรือนมาก ชายหนุ่มตัดสินใจลงจากรถเดินเข้าไปในบ้านของนารี เมื่อภายในใจของเขาเกิดเป็นห่วงเธอขึ้นมา ธันวากลัวว่าบิดามารดาจะทำร้ายที่นารีนั้นหนีออกจากบ้านไป "นังนารี! .." ทุกคนในบ้านอุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อนารีเดินขึ้นบันไดมาบนเรือนไทย
"แกหนีไหนมา นังลูกไม่รักดี" คุณนายพิกุลพูดออกมา พร้อมกับท่าทีที่โมโหอย่างแรง ตรงปรี่มาที่นารีในทันที
เพียะ!! ฝ่ามือของมารดาผู้ให้กำเนิดตบลงไปที่ใบหน้างามของลูกสาวคนเล็กอย่างแรง จนหน้าชา พร้อมกับนิ้วมือของผู้เป็นมารดา ฝากฝังเอาไว้ที่แก้มนวลของเธอจนเป็นรอยแดง
"นารี! .." ธันวาวิ่งขึ้นเรือนมา ก่อนจะเอาตัวยืนขวางคุณนายพิกุลเอาไว้ จนทำให้ทุกคนรู้สึกไม่พอใจ เมื่อชายแปลกหน้าเดินขึ้นมาในบ้าน แล้วยังทำเหมือนกับว่านารีนั้นหนีไปกับชายผู้นี้
"ผมขอร้องเถอะครับอย่าทำร้ายนารีเลย นารีไปพักอยู่ที่บ้านของผม แต่เราสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากกว่าเพื่อน" ยิ่งธันวาพูดจาปกป้องนารีเท่าไหร่ ทุกคนยิ่งเข้าใจผิดมากไปเท่านั้น
"ชิ! แบบนี้คุณพ่อคงต้องใช้ตะกร้าล้างน้ำกี่น้ำค่ะเนี่ย! " รวีพูดออกมาทั้งที่ความเป็นจริง เธอนั่นแหละตัวดี คบผู้ชายไม่เลือกนอนได้กับทุกคน แต่เวลานี้กลับพูดจาให้ร้ายนารีทั้งที่ไม่รู้รายละเอียดความเป็นมา "ไอ้เชิด! มาลากคอไอ้หน้าจืดนี่ ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!" เสียงทุ้มของนายศรเทพได้สั่งลูกน้องคนสนิท จัดการกับธันวาโดยมีเชิดกับลูกน้องอีกคนหิ้วปีกคนละข้างลากธันวาลงจากเรือน
"พ่อค่ะ ธันวาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ปล่อยเขาไปเถอะนะคะ อย่าทำอะไรเขาเลย นายินดีจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น ตามที่คุณพ่อปรารถนา" นารีพูดพร้อมกับคุกเข่าลงแล้วพนมมือขึ้น
"เฮ้ย! ปล่อยสิ อะไรเนี่ย! นารีดูแลตัวเองด้วย" ธันวาโวยวายออกมาเสียงดัง เมื่อถูกชายสองคนลากลงสักเรือน
"เงียบหน่อย แล้วออกไปจากบ้านนี่ซะ! ถ้าไม่อยากให้คุณนารีเดือดร้อนมากไปกว่านี้! " เชิดพูดพร้อมกับผลักธันวาอย่างแรง จนชายหนุ่มเซถลาเกือบล้ม แต่คำพูดของเชิดก็มีเหตุผล เพราะธันวาไม่รู้สาเหตุที่นารีหนีออกจากบ้าน
"เย้! คุณพ่อใจดีที่สุดในโลกเลยครับ" เด็กชายร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับกำมือชูขึ้นสองข้าง จนนารีแอบฉีกยิ้มที่มุมปาก ที่พ่อกับลูกนั้นเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย "คุณหนูพบรักไปบ้านคุณยาย ย่านวลคงจะเหงาน่าดูเลย รีบไปรีบกลับนะครับคนเก่ง" น้ำเสียงของป้านวลช่างออดอ้อนให้เด็กน้อยนั้นอยากเอาใจ จนนักรบและนารียิ้มไม่หุบให้กับในความน่ารักของย่ากับหลาน "ผมไปบ้านคุณยายไม่กี่วันก็กลับแล้วครับคุณย่านวล เดี๋ยวพบรักจะเอาผลไม้มาฝาก ที่บ้านของคุณตาคุณยายมีผลไม้เยอะแยะเลย "ช่างพูดช่างเจรจาจังเลยนะเราเนี่ย อย่างนี้จะไม่ให้ย่ารักอย่าหลงได้ยังไง" หญิงสูงวัยพูดพร้อมกับเอามือลูบลงที่ศีรษะของพบรักไปมาเบาๆ ก่อนที่เด็กชายจะส่งยิ้มร่าให้ย่านวล พลอยทำให้ทุกคนยิ้มตามออกมา เมื่อพบรักมีความน่ารักสมวัยรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านกะสิเทพ ก่อนจะมีเด็กชายเปิดประตูวิ่งแจ้นออกมาจากรถ จนทำให้นักรบนั้นรีบเปิดประตูลงมาคว้าตัวลูกชายมาอุ้มเอาไว้
สักพักปลายลิ้นร้อนลากผ่านลงมาที่หน้าท้องของภรรยา เขาได้จุมพิตอย่างทะนุถนอมลงไปเบาๆ เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ภายในนี้ ซึ่งมันคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ที่นักรบตั้งใจไม่คิดป้องกันตั้งแต่แรก เพราะชายหนุ่มนั้นหวังจะได้ทายาท ตามที่ใจเคยปรารถนาเอาไว้ และภรรยาของเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้เพียงนิด "พ่อรักหนูนะ รักแม่ของหนูด้วย" สิ้นเสียงพูดของชายหนุ่ม เขาได้สัมผัสไปที่มังกรยักษ์ก่อนจะค่อยๆ สอดมันเข้าไปในช่องแคบของภรรยาอย่างเบามือ "อืม แน่ใจนะคะว่าจะไม่มีผลต่อลูกของเรา" แม้ความต้องการของเธอจะมีมาก แต่นารีก็ยังเป็นห่วงลูกมากมายเช่นกัน "ไม่เป็นไรหรอกหนูนา ท่าเบสิกอย่ากลัวไปเลย ผมจะทำเบาๆ นะครับคนดี" นักรบพูดในขณะที่สะโพกของเขาเริ่มทำการขยับโยกเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ แม้ว่ามันจะไม่หนักหน่วงหรือรุนแรง แต่ทว่าความคับแน่นของช่องแคบ เมื่อมังกรยักษ์ผลุบเข้าผลุบออกก็ได้สร้างความเสียวซ่านให้กับสองสามีภรรยาไม่น้อยเลย "อ้า อ๊าคุณนักร
"ลูกของพ่อเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ย ทำไมแม่ถึงได้ดุจังเลย" การกระทำของสามีหนุ่ม ทำให้นารีนั้นรู้สึกใจเต้นแรง เมื่อตัวเธอเองก็โหยหาเขาเช่นกัน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่คืนกี่วัน ผู้ชายคนนี้ก็มักจะทำให้เธอรู้สึกดีเสมอ โดยที่เขานั้นไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ "เงยหน้าขึ้นมาสิ เดี๋ยวไม่ทำแผลให้เปลี่ยนใจไปนอนไม่รู้ด้วยนะ" นารียังคงใช้คำพูดแข็งกระด้าง มีใบหน้าที่เรียบเฉยอีกตามเคย แต่นักรบก็รู้ว่าเธอใจอ่อนลงไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เดินมาหาเขา เพื่อขอดูแผลแบบนี้หรอก สามีหนุ่มยอมทำตามภรรยาอย่างว่าง่าย ยอมแหงนหน้าขึ้นไปให้เธอทำแผลให้ พร้อมกับจ้องมองไปที่ดวงตากลมโต ที่เวลานี้ความหมองหม่นได้หายไปสิ้น "แผลบวมนูนขึ้นมาแบบนี้ ฉันว่าคุณไปเย็บแผลดีกว่า ไม่อย่างนั้นต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ" คราวนี้นารีพูดออกมาจากใจด้วยความรู้สึกผิด เมื่อแผลมันลึกและกว้างอยู่มาก และที่สำคัญเลือ
วันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่เธอเดินไปหาอะไรกิน ในตอนเช้านารีไม่ยอมเดินออกจากห้องอีกเลย เพราะไม่อยากเจอนักรบ หญิงสาวขังตัวเองไว้ในห้องที่ชั้นบนของบ้าน ส่วนข้าวปลาอาหารนั้นมีรินสาวใช้คนสนิทของพี่สาวคอยบริการเธอทุกอย่าง ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบยี่สิบนาฬิกาแล้ว นารีไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น เธออาบน้ำแล้วเตรียมตัวจะเข้านอน ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! "นารีขอแม่เข้าไปหน่อยได้ไหมลูก" เสียงของผู้เป็นมารดาดังแว่วมา หลังจากที่เสียงเคาะประตูเงียบไป ทำให้นาทีนั้นค่อยๆ ลุกจากเตียง เพื่อเดินไปเปิดประตูให้กับมารดา และเธอก็ต้องแปลกใจ เมื่อชายร่างสูงใหญ่รีบเบี่ยงตัวเข้ามาในห้องของเธอทันที พร้อมกับกระเป๋าใบเล็กๆ "แม่... แม่ แม่ค่ะ" นารีร้องเรียกหามารดา แต่จะดูเหมือนว่าเธอนั้นโดนหลอกเข้าให้ซะแล้ว "คุณไม่ต้องเรียกหรอก คุณแม่เดินเข้าห้องไปแล้ว" นักรบพูดพร้อมกับค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด จนทำให้นารีนั้นมองเขาตาเขียว "ออกไปให้พ้นจากห้องฉันเลยนะ คุณแม่นะ
"จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน สายแล้วนะคุณ ลุกไปอาบน้ำจะได้มาทานข้าวพร้อมกัน" เจสันกระซิบลงไปที่ข้างหูของรวี ทำให้หญิงสาวรู้สึกคุ้นกับเสียงทุ้มนี้เป็นอย่างมาก เธอค่อยๆ ปรือตาขึ้น ก่อนจะหลับลงอีกครั้ง เมื่อแสงมันแยงมา และคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป จากนั้นรวีค่อยๆ ปรือตาลืมขึ้นมาอีกครั้ง "ว้าย! เจสัน! คุณเข้ามาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไงออกไปเลยนะ" รวีพูดพร้อมกับหยิบหมอนตีลงไปที่ลำตัวของเจสัน ชายหนุ่มรีบเอามือขึ้นมาป้องตัวเอาไว้ พร้อมกับจับหมอนไว้แน่น ก่อนที่ทั้งสองจะยื้อกันไปมา "นี่คุณ! ไปเอาแรงมาจากไหนเนี่ย แรงอย่างกับช้างหยุดก่อนได้ไหม" เจสันพยายามพูดปรามรวีให้หยุดดึงหมอน แต่ดูท่าทีของเธอแล้วไม่น่าจะยอมเขาง่ายๆ "ใครอยู่ข้างนอก ทำไมปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องของฉันแบบนี้ รินอยู่ไหมเข้ามาช่วยหน่อยซิ" รวีตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ดูเหมือนว่าคนข้างนอกจะไม่ใส่ใจ เพราะไม่เห็นมีใครตอบกลับมาเลยสักคน"ผมจะบอกอะไรให้นะ คุณไม่ได้ลงกลอน ผมแค่เปิดประตูเดินเข้ามา ตอนแรกพ่อของคุณกำลังจะไปหากุญแจสำรองมาเปิดใ
"ดูสิของเด็กเล่นพวกนั้น เขาสั่งมาเป็นคันรถเชียวนะ เขาไม่รู้หรือไงว่านาเพิ่งท้องได้เดือนกว่า" คำถามของมารดาทำให้นารีเริ่มสงสัย นักรบรู้เรื่องที่เธอตั้งครรภ์ได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยบอกให้ใครที่บ้านนั้นทราบ"บอกให้เขาขนกลับไปค่ะพ่อ นาไม่ขอรับอะไรจากเขาทั้งนั้น คนแบบนี้ตบหัวแล้วลูบหลัง อย่าฝันว่าเอาของพวกนี้มาล่อแล้วนาจะใจอ่อน ลูกของนาไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้นหรอกค่ะ เสื้อผ้านาตัดเย็บให้ลูกเองก็ได้ ส่วนของเล่นก็ประดิษฐ์ขึ้นเอง ไม่เห็นยากอะไร ไม่ต้องใช้เงินซื้อมาให้ฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ" นารีพูดระบายออกมาซะยาวเหยียด เมื่อเธอนั้นยังรู้สึกโกรธและน้อยใจในตัวของสามี ซึ่งนารียังไม่คิดว่าจะคืนดีกับเขาง่ายๆ เมื่อชายหนุ่มพาภรรยาเก่ามาหยามน้ำใจ จนทำให้เธอต้องนอนร้องไห้สามเวลา "พ่อว่ามีอะไรก็พูดกันดีๆ สามีของลูกเล่าทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟังหมดแล้ว เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรมาก นาควรจะหันไปปรับความเข้าใจกันนะ ยังไงลูกก็ต้องมีพ่อ พ่อกับแม่ไม่อยากเห็นหลานเป็นกำพร้า เพราะสาเหตุที่หนูกับสามี ผิดใจกันเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย" นักรบได้เล่าทุกอย่างให้กับบิดาและมารดาของนารีได้รับฟัง ยกเว้นเร