เมื่อรถยนต์แล่นเข้ามาจอดในบ้านกะสิเทพ ทำให้นารีรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เธอค่อยๆ ก้าวเท้าลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ บ้าน แต่แล้วก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ เพราะบ้านดูเงียบ ผิดกับเมื่อก่อนที่ผู้คนพลุกพล่านเต็มไปด้วยข้าทาสบริวาร ธันวาเดินลงจากรถมา แล้วจ้องมองไปที่ใบหน้างาม ของนารีด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของเพื่อนทำเหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
"ธันวานายช่วยไปรับพี่ชายเราที่โรงพยาบาลที ป่านนี้พี่คาวีคงรอแย่แล้ว" นารีเกือบลืมดีที่ความจำของเธอแวบเข้ามาในหัว เพราะว่าเมื่อวานคุณหมอโทรมาบอก วันนี้พี่ชายของเธอสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
"อ้าว! จริงเหรอ เมื่อวานหลังจากที่นาเล่าให้ฟัง เราก็แวะไปเยี่ยมพี่คาวีมา เห็นบ่นว่าเบื่อหายแล้ว อยากออกจากโรงพยาบาลเต็มที แต่นารีขอหมอเอาไว้ เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าพี่ไม่เป็นอะไร แล้วบ่นให้เราฟังใหญ่เลย พี่เขาบอกว่านากังวลเกินเหตุ" พอธันวาพูดจบทั้งสองได้ส่งยิ้มให้กัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแววตาของเพื่อน รอยยิ้มที่มุมปาก แต่แววตาของนารีนั้นกลับเศร้าหม่นจนเห็นได้ชัด
"รีบไปเลยธันวา พี่ชายเราจะรอนาน" นารีพูดพร้อมกับดันหลังธันวาให้เข้าไปในรถ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะสตาร์ตรถขับมุ่งไปที่โรงพยาบาลในทันที
นารีถือกระเป๋าใบเล็กเดินขึ้นไปบนบ้าน เธอไม่รู้ว่าบิดามารดาจะยังต้อนรับเธออยู่หรือไม่ หากพวกเขาผลักไสเธอจะไปอาศัยอยู่ที่ใด เงินติดตัวตอนนี้ก็ไม่มีสักบาท เพราะว่าหลังจากที่โอนเงินจ่ายค่าโรงพยาบาลให้พี่ชาย นารีก็เก็บสมุดบัญชีและบัตรเอทีเอ็มไว้ในเก๊ะในห้องเหมือนเดิม เมื่อเธอได้บอกกับนักรบไว้แล้วว่าเธอจะมาแต่ตัว และนั่นก็หมายถึงเงินในบัญชีที่เขาให้ไว้นารีก็ไม่ได้นำมันมาด้วย
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ สวัสดีค่ะคุณแม่" พอเดินพ้นธรณีประตูเข้ามา นารีรีบตรงเข้าไปหาบุพการีที่นั่งอยู่บนโซฟาทันที เธอก้มลงกราบบิดามารดาด้วยความรู้สึกหลากหลาย พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่หยุด สุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
"เกิดอะไรขึ้น นารี ทำไมลูกถึงร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบนี้ มานี่ลูกไหนใครทำอะไรหนูมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังซิ" ยิ่งได้ฟังผู้เป็นมารดาเอ่ยวาจาเช่นนั้น เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก จนคุณนายพิกุลต้องโอบลูกสาวเข้าไปไว้ในอ้อมกอด เวลานี้บิดามารดาแม้แต่รวีก็เห็นความดีของนารีจนรู้แจ้งแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกผิดที่ละเลยต่อนารี และนับจากวินาทีนี้เธอคือลูกสาวคนเล็กของบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ
"ไหนลูกสาวพ่อเป็นอะไร ทำไมถึงได้ร้องไห้หนักแบบนี้ คุณอาร์มันโด้ทำอะไรให้หนูเสียใจหรือเปล่าลูก" คำพูดของผู้บิดากำลังสะกิดแผลที่ใจของนารีอย่างไม่รู้ตัว ผู้ชายอย่างเขานั้นเห็นแก่ตัว มิหนำซ้ำยังควงภรรยาเก่าเข้าบ้านมาเย้ยหยันเธออีก นารีคิดว่าต่อให้เธอทำตัวซื่อสัตย์และแสนดีแค่ไหน ก็คงจะมัดใจผู้ชายอย่างเข้าไม่ได้ เมื่อเทเรซ่าทั้งเซ็กซี่และสวยกว่าเธอเป็นไหนๆ
"คือว่า... ถ้านาจะกลับมาอยู่ที่นี่ คุณพ่อคุณแม่จะว่าอะไรไหมคะ" นารียังไม่กล้าบอกบิดามารดาไปตามตรง เรื่องที่เธอขอหย่าสามี เธอจึงลองถาม เพื่อหยั่งเชิงบุพการีทั้งสองดูก่อน เพราะไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้รับนั้นจะเป็นอย่างไร
"ที่นี่คือบ้านของเรา หนูจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ แม่ไม่รู้หรอกนะว่าลูกกับสามีนั้น มีปัญหาอะไรกัน แต่ถ้าไม่หนักหนาเกินไปควรจะหันหน้าคุยกัน เพราะแม่เชื่อว่าคุณอาร์มันโด้รักหนูมาก" นารีโผเข้าไปซบมารดาอีกครั้ง เธอไม่รู้จะอธิบายให้กับบุพการีฟังยังไงดี เพราะว่ากลัวว่าท่านทั้งสองจะไม่สบายใจ หญิงสาวกำลังคิดว่าจะรอให้ถึงวันหย่าแล้วค่อยบอกบิดามารดาทีเดียว
"แล้วทำไมบ้านถึงเงียบแบบนี้ละคะ ทุกคนไปไหนกันหมด" นารีไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของเธอกับสามีอีกแล้ว จึงได้ถามเรื่องที่สงสัยขึ้นมาแทน
"ตอนนี้บ้านของเรา เหลือแค่แม่บ้านและคนทำสวนไม่กี่คน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะทุกคนที่ออกไป พ่อได้ให้เงินพวกเขาไปตั้งตัวทุกคน" คำพูดของบิดาทำให้นารียิ้มบางๆ ที่มุมปาก ก่อนจะทำท่าทางพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วกออกมา
"เหม็น! นั่นจานอะไรคะพี่รวีนารู้สึกเหม็นจังเลย อ้วก! " นารีถามออกไปพร้อมกับอาการจะอ้วกออกมาให้ได้ เมื่อรวีเดินถือจานขนมจีบเข้ามา เพื่อจะให้ทุกคนได้ชิม
"พี่หัดทำขนมจีบ ว่าจะเอามาให้คุณพ่อกับคุณแม่ชิม มันไม่น่ากินขนาดนั้นเชียวเหรอนารี" รวีเอ่ยถามน้องสาวออกมา พร้อมทั้งทำสีหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความแปลกใจ
"เปล่าหรอกค่ะ คือนาแพ้ท้อง แล้วตอนนี้ไม่ไหวแล้ว กลิ่นนั่นทำให้น่าจะอ้วกให้ได้ อ๊วก!" คราวนี้นารีรู้สึกทนไม่ไหว จนต้องวิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วโก่งคออ้วกออกมา จนหมดไส้หมดพุง
"อ้วก! อ้วก! อื้อ เหม็นจัง"
"รวีรีบไปดูน้องหน่อยซิ ไปลูบหลังให้น้องด้วย เรากำลังจะมีหลานแล้ว ฉันจะเป็นคุณยายแล้วเหรอเนี่ย นังรินเอาจานขนมจีบลงไปเก็บในครัวเดี๋ยวนี้!" ในขณะที่รวีวิ่งไปดูน้องสาว คุณนายพิกุลพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะบ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน หากจะมีเด็กเล็กๆ วิ่งในบ้านคงจะครึกครื้นน่าดู
"สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านของเรา นับจากนี้ไปคงพ้นทุกข์พ้นโศกเสียที คุณนายพิกุลลูกสาวอยากทานอะไร ก็จะหาให้เป็นพิเศษเลยนะ อย่าไปขัดใจคนท้องคนไส้ล่ะ"
"ฉันรู้แล้วน่า ยัยนาก็เป็นลูกสาวของฉันเหมือนกัน ที่สำคัญหลานของฉันจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะ" ความเห่อหลานได้เกิดขึ้นกับหญิงสูงวัย เมื่อนางกำลังนึกถึงใบหน้าของทารกน้อย
เวลานี้นารีได้อ้วกออกจนหมดแรง ก่อนที่รวีจะค่อยๆ โอบน้องสาวออกมาจากห้องน้ำชั้นบนของบ้าน
"อ้าว! มานั่งพักตรงนี้ลูก หนูอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ดูซิวอ้วกออกจนหมดไส้หมดพุงแล้ว" คุณนายพิกุลขยับให้ลูกสาวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะเอาผ้าผืนบางมาซับหน้าให้กับนารี
"ตอนนี้นาอยากกินโยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รีผสมทูน่ามากเลยค่ะคุณแม่ นาจะเอามาทานกับข้าวสวยร้อนๆ"
"รวีรีบไปซื้อให้น้องเร็วเข้า" ผู้เป็นมารดาหันไปบอกลูกสาวคนรอง
"ฮ๋า! แกว่าอะไรนะนารี เฮ้ย! เมนูใหม่เหรอ แกกินเข้าไปได้ยังไงมันไม่อร่อยหรอกเชื่อพี่" รวีอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะถามน้องสาวออกไปอย่างสงสัย มิหนำซ้ำยังพูดออกมาอย่างขัดใจ จนคนท้องทำหน้ามุ่ยใส่พี่สาวของเธอ
"เย้! คุณพ่อใจดีที่สุดในโลกเลยครับ" เด็กชายร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับกำมือชูขึ้นสองข้าง จนนารีแอบฉีกยิ้มที่มุมปาก ที่พ่อกับลูกนั้นเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย "คุณหนูพบรักไปบ้านคุณยาย ย่านวลคงจะเหงาน่าดูเลย รีบไปรีบกลับนะครับคนเก่ง" น้ำเสียงของป้านวลช่างออดอ้อนให้เด็กน้อยนั้นอยากเอาใจ จนนักรบและนารียิ้มไม่หุบให้กับในความน่ารักของย่ากับหลาน "ผมไปบ้านคุณยายไม่กี่วันก็กลับแล้วครับคุณย่านวล เดี๋ยวพบรักจะเอาผลไม้มาฝาก ที่บ้านของคุณตาคุณยายมีผลไม้เยอะแยะเลย "ช่างพูดช่างเจรจาจังเลยนะเราเนี่ย อย่างนี้จะไม่ให้ย่ารักอย่าหลงได้ยังไง" หญิงสูงวัยพูดพร้อมกับเอามือลูบลงที่ศีรษะของพบรักไปมาเบาๆ ก่อนที่เด็กชายจะส่งยิ้มร่าให้ย่านวล พลอยทำให้ทุกคนยิ้มตามออกมา เมื่อพบรักมีความน่ารักสมวัยรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านกะสิเทพ ก่อนจะมีเด็กชายเปิดประตูวิ่งแจ้นออกมาจากรถ จนทำให้นักรบนั้นรีบเปิดประตูลงมาคว้าตัวลูกชายมาอุ้มเอาไว้
สักพักปลายลิ้นร้อนลากผ่านลงมาที่หน้าท้องของภรรยา เขาได้จุมพิตอย่างทะนุถนอมลงไปเบาๆ เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ภายในนี้ ซึ่งมันคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ที่นักรบตั้งใจไม่คิดป้องกันตั้งแต่แรก เพราะชายหนุ่มนั้นหวังจะได้ทายาท ตามที่ใจเคยปรารถนาเอาไว้ และภรรยาของเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้เพียงนิด "พ่อรักหนูนะ รักแม่ของหนูด้วย" สิ้นเสียงพูดของชายหนุ่ม เขาได้สัมผัสไปที่มังกรยักษ์ก่อนจะค่อยๆ สอดมันเข้าไปในช่องแคบของภรรยาอย่างเบามือ "อืม แน่ใจนะคะว่าจะไม่มีผลต่อลูกของเรา" แม้ความต้องการของเธอจะมีมาก แต่นารีก็ยังเป็นห่วงลูกมากมายเช่นกัน "ไม่เป็นไรหรอกหนูนา ท่าเบสิกอย่ากลัวไปเลย ผมจะทำเบาๆ นะครับคนดี" นักรบพูดในขณะที่สะโพกของเขาเริ่มทำการขยับโยกเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ แม้ว่ามันจะไม่หนักหน่วงหรือรุนแรง แต่ทว่าความคับแน่นของช่องแคบ เมื่อมังกรยักษ์ผลุบเข้าผลุบออกก็ได้สร้างความเสียวซ่านให้กับสองสามีภรรยาไม่น้อยเลย "อ้า อ๊าคุณนักร
"ลูกของพ่อเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ย ทำไมแม่ถึงได้ดุจังเลย" การกระทำของสามีหนุ่ม ทำให้นารีนั้นรู้สึกใจเต้นแรง เมื่อตัวเธอเองก็โหยหาเขาเช่นกัน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่คืนกี่วัน ผู้ชายคนนี้ก็มักจะทำให้เธอรู้สึกดีเสมอ โดยที่เขานั้นไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ "เงยหน้าขึ้นมาสิ เดี๋ยวไม่ทำแผลให้เปลี่ยนใจไปนอนไม่รู้ด้วยนะ" นารียังคงใช้คำพูดแข็งกระด้าง มีใบหน้าที่เรียบเฉยอีกตามเคย แต่นักรบก็รู้ว่าเธอใจอ่อนลงไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เดินมาหาเขา เพื่อขอดูแผลแบบนี้หรอก สามีหนุ่มยอมทำตามภรรยาอย่างว่าง่าย ยอมแหงนหน้าขึ้นไปให้เธอทำแผลให้ พร้อมกับจ้องมองไปที่ดวงตากลมโต ที่เวลานี้ความหมองหม่นได้หายไปสิ้น "แผลบวมนูนขึ้นมาแบบนี้ ฉันว่าคุณไปเย็บแผลดีกว่า ไม่อย่างนั้นต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ" คราวนี้นารีพูดออกมาจากใจด้วยความรู้สึกผิด เมื่อแผลมันลึกและกว้างอยู่มาก และที่สำคัญเลือ
วันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่เธอเดินไปหาอะไรกิน ในตอนเช้านารีไม่ยอมเดินออกจากห้องอีกเลย เพราะไม่อยากเจอนักรบ หญิงสาวขังตัวเองไว้ในห้องที่ชั้นบนของบ้าน ส่วนข้าวปลาอาหารนั้นมีรินสาวใช้คนสนิทของพี่สาวคอยบริการเธอทุกอย่าง ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบยี่สิบนาฬิกาแล้ว นารีไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น เธออาบน้ำแล้วเตรียมตัวจะเข้านอน ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! "นารีขอแม่เข้าไปหน่อยได้ไหมลูก" เสียงของผู้เป็นมารดาดังแว่วมา หลังจากที่เสียงเคาะประตูเงียบไป ทำให้นาทีนั้นค่อยๆ ลุกจากเตียง เพื่อเดินไปเปิดประตูให้กับมารดา และเธอก็ต้องแปลกใจ เมื่อชายร่างสูงใหญ่รีบเบี่ยงตัวเข้ามาในห้องของเธอทันที พร้อมกับกระเป๋าใบเล็กๆ "แม่... แม่ แม่ค่ะ" นารีร้องเรียกหามารดา แต่จะดูเหมือนว่าเธอนั้นโดนหลอกเข้าให้ซะแล้ว "คุณไม่ต้องเรียกหรอก คุณแม่เดินเข้าห้องไปแล้ว" นักรบพูดพร้อมกับค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด จนทำให้นารีนั้นมองเขาตาเขียว "ออกไปให้พ้นจากห้องฉันเลยนะ คุณแม่นะ
"จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน สายแล้วนะคุณ ลุกไปอาบน้ำจะได้มาทานข้าวพร้อมกัน" เจสันกระซิบลงไปที่ข้างหูของรวี ทำให้หญิงสาวรู้สึกคุ้นกับเสียงทุ้มนี้เป็นอย่างมาก เธอค่อยๆ ปรือตาขึ้น ก่อนจะหลับลงอีกครั้ง เมื่อแสงมันแยงมา และคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป จากนั้นรวีค่อยๆ ปรือตาลืมขึ้นมาอีกครั้ง "ว้าย! เจสัน! คุณเข้ามาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไงออกไปเลยนะ" รวีพูดพร้อมกับหยิบหมอนตีลงไปที่ลำตัวของเจสัน ชายหนุ่มรีบเอามือขึ้นมาป้องตัวเอาไว้ พร้อมกับจับหมอนไว้แน่น ก่อนที่ทั้งสองจะยื้อกันไปมา "นี่คุณ! ไปเอาแรงมาจากไหนเนี่ย แรงอย่างกับช้างหยุดก่อนได้ไหม" เจสันพยายามพูดปรามรวีให้หยุดดึงหมอน แต่ดูท่าทีของเธอแล้วไม่น่าจะยอมเขาง่ายๆ "ใครอยู่ข้างนอก ทำไมปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องของฉันแบบนี้ รินอยู่ไหมเข้ามาช่วยหน่อยซิ" รวีตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ดูเหมือนว่าคนข้างนอกจะไม่ใส่ใจ เพราะไม่เห็นมีใครตอบกลับมาเลยสักคน"ผมจะบอกอะไรให้นะ คุณไม่ได้ลงกลอน ผมแค่เปิดประตูเดินเข้ามา ตอนแรกพ่อของคุณกำลังจะไปหากุญแจสำรองมาเปิดใ
"ดูสิของเด็กเล่นพวกนั้น เขาสั่งมาเป็นคันรถเชียวนะ เขาไม่รู้หรือไงว่านาเพิ่งท้องได้เดือนกว่า" คำถามของมารดาทำให้นารีเริ่มสงสัย นักรบรู้เรื่องที่เธอตั้งครรภ์ได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยบอกให้ใครที่บ้านนั้นทราบ"บอกให้เขาขนกลับไปค่ะพ่อ นาไม่ขอรับอะไรจากเขาทั้งนั้น คนแบบนี้ตบหัวแล้วลูบหลัง อย่าฝันว่าเอาของพวกนี้มาล่อแล้วนาจะใจอ่อน ลูกของนาไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้นหรอกค่ะ เสื้อผ้านาตัดเย็บให้ลูกเองก็ได้ ส่วนของเล่นก็ประดิษฐ์ขึ้นเอง ไม่เห็นยากอะไร ไม่ต้องใช้เงินซื้อมาให้ฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ" นารีพูดระบายออกมาซะยาวเหยียด เมื่อเธอนั้นยังรู้สึกโกรธและน้อยใจในตัวของสามี ซึ่งนารียังไม่คิดว่าจะคืนดีกับเขาง่ายๆ เมื่อชายหนุ่มพาภรรยาเก่ามาหยามน้ำใจ จนทำให้เธอต้องนอนร้องไห้สามเวลา "พ่อว่ามีอะไรก็พูดกันดีๆ สามีของลูกเล่าทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟังหมดแล้ว เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรมาก นาควรจะหันไปปรับความเข้าใจกันนะ ยังไงลูกก็ต้องมีพ่อ พ่อกับแม่ไม่อยากเห็นหลานเป็นกำพร้า เพราะสาเหตุที่หนูกับสามี ผิดใจกันเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย" นักรบได้เล่าทุกอย่างให้กับบิดาและมารดาของนารีได้รับฟัง ยกเว้นเร