ตอนที่ 8
ไม่ไร้หนทาง
นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด
จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด
บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า
"เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด
หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ"
เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ไม่ง่ายเลยกว่าจะพาร่างที่มีแต่กระดูกเช่นนี้ลงมาจากม้าได้ เล่นเอานางหายใจหอบอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว
"พิษกำเริบเช่นนั้นหรือ มียาหรือไม่" นางเอ่ยถามบุรุษที่พิงร่างอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
แล้วก็เป็นเช่นเดิม คือนางไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาแม้สักคำเดียว
"ไม่มียาแล้วจะทำเช่นไรดี พวกเราพักกันที่นี่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น"
ถึงแม้จะแน่ใจว่ามาได้ไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ พวกนางสองคนควรจะรีบพักเหนื่อยและรีบออกเดินทางต่อไปต่อจนกว่าจะเจอใครสักคนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ หรือไม่ก็ไปถึงเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดได้สำเร็จ
"ทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วเจ้าก็ไปซะเถอะ"
อีกแล้วประโยคไม่รักชีวิตเช่นนี้หลุดออกมาจากปากของเขาอีกแล้ว
"ถ้าคิดจะทิ้งเจ้า ข้าก็คงไม่พามาด้วยแต่แรก อีกอย่างข้าบอกแล้วว่าชีวิตท่านจากนี้เป็นของข้า แล้วจะเป็นจนกว่าเจ้าจะตาย"
"เช่นนั้นก็อีกไม่นาน เพราะข้าใกล้จะตายแล้ว" เจ้าของน้ำเสียงอ่อนแรงที่เอ่ยออกมาอย่างอยากลำบากนั้นเอ่ยพลางยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
รอยยิ้มนี้ของเขาเหมือนกำลังยิ้มให้ตัวของเขาเอง เป็นรอยยิ้มที่มองแล้วกลับไม่รู้สึกว่ามันคือรอยยิ้ม
รอยยิ้มนี้มันเหมือนรอยยิ้มเพื่อสมเพชเวทนาตัวเอง
"ชีวิตเจ้า หมดอะไรตายอยากขนาดนี้แล้วเหรอ" นางอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
"ก็...คงจะเป็นเช่นนั้น" เขาตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก คำพูดเริ่มจะเอ่ยออกมาได้อย่างอยากลำบากเต็มที อีกไม่นานทั่วทั้งร่างของเขาก็คงจะเจ็บปวดราวกับถูกกัดกินภายใน สุดท้ายก็คงหมดสติไปอีกเช่นที่เคย
"ถึงจะเป็นอย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตายไปง่าย ๆ หรอก พวกเราอย่างไรก็ต้องรอดไปพร้อมกัน" นางเอ่ยพลางเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของเขา เตรียมที่จะประคองอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อเดินทางต่อ
หลิวซือนัวไม่ได้คิดว่าตนจะเป็นเจ้าของชีวิตเขาจริง ๆ อย่างที่พูดไว้ คนอยากจะตายไม่มีใจที่จะมีชีวิตต่อแล้วนางจะทำอะไรได้
แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไม่สามารถปล่อยให้เขาตายไปได้ อย่างน้อยตอนนี้เขากับนางก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ยังไม่ถึงฝั่งจะปล่อยให้ใครคนหนึ่งกระโดดลงจากเรือไปก่อนได้อย่างไรกัน
หากรอดไปถึงฝั่งแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ถึงเวลานั้นเขาจะตายก็ไม่เกี่ยวกับนางแล้ว
เสียงฝีเท้าม้าที่เริ่มดังขึ้นมาใกล้เรื่อย ๆ ทำเอาหลิวซือนัวที่กำลังจะพยุงร่างซูบซีดให้ลุกขึ้นต้องชะงัก หัวใจนางเต้นเร็วขึ้นมาในทันที
มีคนตามพวกนางมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกที่ตามมานี้เป็นพวกโจรหรืออาจจะเป็นพวกที่ตามมาช่วยนางกันแน่ ในเมื่อยังไม่สามารถชี้ชัดได้ สิ่งที่ดีที่สุดและน่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ พวกนางต้องหนีไปก่อน
อาจเป็นเพราะนางผูกม้าไม่แน่นหรืออะไรก็ไม่ทราบ ม้าที่ควรถูกมัดเอาไว้ที่ต้นไม้ใกล้ ๆ กับหายไปแล้ว
"มีกลุ่มคนกำลังขี่ม้ามุ่งมาทางเรา ม้าหายไปแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปซ่อนตัวก่อน"
ม้าหายไปแล้ว พวกนางไม่สามารถขึ้นม้าแล้วควบหนีไปได้อีก จำต้องรีบพากันซ่อนตัวในพุ่มไม้หนา ๆ ใกล้ ๆ แทน
หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษซ่อนตัวภายใต้พุ่มไม้หนาทึบ ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งที่ควบม้าก็วิ่งมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ ที่พวกนางซ่อนตัวอยู่
"พวกมันต้องหนีมาทางนี้ไม่ผิดแน่หัวหน้า" ลูกสมุนคนที่หนึ่งเอ่ย
"พวกมันขี่ม้ามาด้วยกัน สตรีหนึ่งบุรุษใกล้ตายอีกหนึ่ง ดูท่าแล้วหากจับพวกมันสองคนไปเรียกเงินค่าไถ่ ก็คงจะได้เงินมามากโขทีเดียว" ลูกสมุนคนที่สองเอ่ย
"อยากจะได้เงิน ก็ต้องหาพวกมันให้เจอก่อน ไม่มีตัวประกัน ใครมันจะเอาเงินมาแลก" คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพวกมันพูดขึ้น น้ำเสียงเหี้ยมโหดเป็นที่สุด มองจากไกล ๆ ยังเห็นใบหน้าแสนอำมหิตของพวกมันได้อย่างชัดเจน
ถ้าปล่อยให้มันเจอตัว คงต้องถูกจับไปทรมานแน่ ยิ่งนางที่เป็นสตรี จุดจบคงจะยิ่งแล้วใหญ่ กว่าที่พวกมันจะได้เงินค่าไถ่พวกนางก็คงจะปางตายเป็นแน่ แล้วก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกโจรจะปล่อยพวกนางไปจริงหากได้เงินค่าไถ่แล้วพวกมันอาจจะฆ่านางและเขาทิ้งก็ได้ใครจะรู้
"พวกเราคงต้องเดินเข้าไปให้ลึกกว่านี้ ข้ากลัวพวกมันจะย้อนกลับมาอีกแล้วเจอพวกเราเข้า"
นางประคองคุณชายอวี้ให้เดินต่อไปอย่างอยากลำบาก หลิวซือนัวใช้แรงทั้งหมดที่นางมีเพื่อประคองเขา
แค่ตามองไม่เห็นก็ลำบากมากแล้ว นี่ยังมีพิษกำเริบเพิ่มเข้ามาอีก เจ้าของร่างซีดเซียวนี้กว่าจะก้าวเดินได้แต่ละก้าวนั้นไม่ง่ายเลย
โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง ผืนป่าแห่งนี้จึงพอที่จะมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมาให้พวกนางสามารถมองเห็นทางได้บ้าง
ในความโชคร้ายอย่างน้อย ๆ ก็ยังพอดีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้างล่ะหนา
กว่าหนึ่งก้านธูปที่พวกนางพากันเดินมาด้วยความทุลักทุเล โดยไม่ได้หยุดพักเลย หลิวซือนัวเหนื่อยหอบจนหายใจไม่ทัน ส่วนร่างที่นางกึ่งพยุงกึ่งลากมาตลอดทางนั้น ยามนี้ทรุดลงไปนั่งลงกับพื้นไปเป็นเรียบร้อยแล้ว
"น่า...น่าจะเดินเข้ามาลึกพอแล้ว เจ้าพวกนั้นคงตามเจ้าม้านั่นไปแล้วล่ะ" เจ้าของร่างอวบอิ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ นางเดินต่อไปแทบจะไม่ไหวแล้วเช่นเดียวกันจึงทรุดลงนั่งที่พื้นใกล้ ๆ กันกับเขา
ร่างซูบซีดไม่เอ่ยกับนางเช่นเคย เขาหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ เหงื่อออกเต็มใบหน้าซูบซีดนั้นไปหมด ร่างกายของเขาสั่นยิ่งกว่าเดิมเป็นสิบเท่า คล้ายกับว่าร่างกายของเขากำลังจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น
นางรู้สึกได้ว่าเขาพยายามควบคุมจังหวะหายใจของตนเพื่อให้มันกลับมาปกติ แต่ก็ดูจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่นัก เขากลับยิ่งดูทรมานมากขึ้นกว่าเดิม ยามเมื่อนางเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของเขาเพื่อดูอุณหภูมิร่างกายก็แทบจะชักมือออกในทันที
ร่างกายของเขาร้อนมากจนน่ากลัวทีเดียว หลิวซือนัวไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วในเวลานี้
สิ่งที่นางทำได้คือใช้ผ้าซึ่งฉีกจากแขนเสื้อของนางเช็ดเหงื่อตามใบหน้าให้เขาเท่านั้น นางรับรู้ได้ว่าบุรุษผู้นี้กำลังใช้ความอดทนอดกลั้นที่มีทั้งหมดของตนเพื่อข่มกลั้นพิษที่กำลังกำเริบจนถึงที่สุดที่จะทนได้แล้วจึงได้หมดสติไปในที่สุด
นางประคองตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะหงายหลังลงไป สุดท้ายจึงประคองศีรษะของเขาให้หนุนที่ตักของนางเอาไว้ก่อน เพราะว่านางในเวลานี้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะลากเขาไปพิงเอาไว้กับต้นไม้ได้อีกแล้วเช่นกัน เพราะความเหน็ดเหนื่อยนางจึงหลับไปหลังจากเขาไม่นาน
รุ่งขึ้น เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนั่งพิงกับต้นไม้ใหญ่หลับอยู่ ข้างตัวก็มีบุรุษผู้มีผ้าคาดปกปิดอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้างและศีรษะนั่งอยู่เช่นกัน ต่างกันเพียงแค่นางเพิ่งจะตื่นส่วนเขานั้นน่าจะรู้สึกตัวตื่นก่อนนางสักพักแล้ว
พอตื่นมาแล้วสิ่งแรกที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยก็คือความรู้สึกหิว นางจะรู้สึกหิวก็ไม่แปลกก็ในเมื่อนางไม่ได้ทานอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น มิหนำซ้ำยังใช้แรงเยอะขนาดนั้นด้วย
"เจ้าหิวหรือไม่" นางเอ่ยถามคนข้างตัว แล้วก็เป็นเช่นเดิมคือไม่ได้รับคำตอบใด ๆ
นางจึงได้ลุกขึ้นและเริ่มมองสำรวจบริเวณรอบ ๆ ตัว ซึ่งมีแต่ป่าไม้ปกคลุมหนาแน่นไปหมด
เมื่อคืนพวกนางถือว่าโชคดีไม่น้อยเลยที่สามารถอยู่ที่นี่ได้โดยรอดพ้นอันตรายจากสัตว์น้อยใหญ่ที่อาจจะมีอยู่ในป่าแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่ปราศจากการป้องกันใด ๆ
สวรรค์เมตตา สวรรค์เมตตาแล้ว
หากจะกล่าวว่าแต้มบุญที่เคยสะสมมาถูกใช้ไปเมื่อคืนจนหมดก็คงจะไม่เกินจริงไปนักหรอก
"ได้ยินเสียงน้ำไหม เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากทางด้านนั้น" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเริ่มออกเดินสำรวจ จึงได้ยินเสียงน้ำที่ดังมาจากไกล ๆ
คงเป็นเพราะเมื่อคืนความเหนื่อยล้าและเสียงพวกแมลงต่าง ๆ ภายในป่ากลบเสียงน้ำจนหมด เช้านี้เสียงรบกวนเช่นเมื่อคืนหายไปหมดแล้วจึงได้ยินเสียงน้ำไหลได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
"ที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั้นย่อมมีคนอาศัยอยู่แน่ พวกเรารีบไปดูเถอะ"
อดทนพากันเดินต่อมาอีกครึ่งก้านธูปในที่สุดน้ำตกแห่งหนึ่งก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในที่สุด
"น้ำตก พวกเรารอดตายแล้ว" นางปล่อยมือที่ประคองคนข้างกายออกก่อนจะวิ่งไปที่น้ำตกด้านหน้าตน หลิวซือนัวใช้มือของนางรองน้ำใส่มือแล้วยกขึ้นดื่มเพื่อดับกระหายทันที
เมื่อตนได้ดื่มน้ำแล้วก็ไม่ลืมที่จะกลับไปประคองเจ้าของร่างไร้เรี่ยวแรงให้ได้ลงมาสัมผัสกับสายน้ำบ้าง
เขานั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ นาง พลางใช้มือตนตักน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะใช้น้ำล้างตามใบหน้า ตามลำคอเช่นเดียวกันกับนาง
คิดไม่ถึงเลยว่าในป่าลึกแบบนี้จะมีน้ำตกเช่นนี้อยู่ด้วย อีกทั้งน้ำตกนี้ยังกว้างใหญ่ไม่เบาทีเดียว
จากที่นางมองสำรวจก็เห็นว่า ชั้นนี้เป็นชั้นน้ำตกชั้นรอง ด้านบนยังมีน้ำตกอีกชั้นหนึ่ง เบื้องหน้าของนางเป็นทางน้ำไหลที่สามารถเดินผ่านไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้
เบื้องหน้าเป็นทางน้ำไหลลงมาน้ำไม่ได้ลึก มีก้อนหินโผล่ขึ้นมาจากน้ำพอที่จะเป็นทางให้สามารถเดินผ่านไปได้ ส่วนด้านล่างที่น้ำไหลลงไปน่าจะเป็นน้ำตกชั้นล่างอีกชั้นหนึ่ง จากที่นางมองลงไปแล้วกับมองไม่เห็นแห่งน้ำที่อยู่ด้านล่างเลย
นั่นก็แปลได้ว่าเส้นทางสู่น้ำตกด้านล่างอาจเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่และลึกสุดลูกหูลูกตาทีเดียว นางไม่รู้ว่าน้ำเหล่านี้จะไหลลงไปได้ถึงไหน
"พวกเราควรจะเดินข้ามน้ำตกไปอีกฝั่ง ที่นั่นน่าจะมีคนอาศัยอยู่" นางเอ่ยบอกบุรุษข้างกาย
"เจ้ามั่นใจว่าพวกเราจะข้ามไปได้?" เขาเอ่ยถามนางกลับ หลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน
"น้ำตกนี้เชื่อมกับอีกฝั่งหนึ่ง พวกเราสามารถเดินผ่านไปได้ น้ำไหลผ่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
"ข้าถามว่าเจ้ามั่นใจใช่หรือไม่?" เขายังคงถามซ้ำประโชคเดิม
ก็…ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักหรอก
หากให้ตอบตามจริงนางคงตอบไปเช่นนั้น แต่หากตอบไปเช่นนั้นจริง ๆ เขาก็คงไม่เดินไปกับนางแน่ นางจึงได้แต่ตอบอีกอย่างหนึ่งออกไปแทน
"ข้าย่อมต้องมั่นใจอยู่แล้ว"
เป็นอีกครั้ง ที่มือของคนทั้งคู่ได้จับจูงกันไว้ หลิวซือนัวเดินนำอยู่ด้านหน้าโดยที่อวี้หนานไห่ผู้ที่ดวงตามองไม่เห็นก้าวตามที่นางสั่ง ที่ละก้าว ๆ อย่างมั่นคงไม่รีบร้อน
พวกนางเดินกันมาถึงบริเวณกลางน้ำตกแล้ว ฝ่าเท้าของทั้งคู่จมอยู่ใต้กระแสน้ำอันแสนเย็นฉ่ำ มือทั้งสองยังคงเกาะกุมกันแน่นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสมือกับสตรีบ่อยครั้งและเนินนานเช่นนี้ ตั้งแต่เจอกันคุณหนูแซ่หลิวผู้นี้ก็ทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วอยู่หลายหนจนนับไม่ถ้วนเสียแล้ว
แต่ถึงกระนั้น นางที่เป็นสตรีกลับไม่ย่อมทอดทิ้งเขาแม้จะยามที่มีอันตรายทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็สามารถหนีไปโดยไม่ต้องนำภาระเช่นเขาไปด้วยก็ได้
แม้เขาจะพยายามบอกให้นางทิ้งเขาไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่ยอมทิ้งเขาไปสักครั้ง ซ้ำยังเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นอีกว่า ชีวิตของเขานั้นเป็นของนางอีกด้วย
ถือว่านางหาเรื่องใส่ตัวเองก็แล้วกัน หากวันหนึ่งเขาไม่อยากเป็นอิสระ ถึงเวลานั้นชีวิตของเขาก็คงจะต้องเป็นของนางตลอดไปจริง ๆ แล้วล่ะ
"พวกมันอยู่นั่นไง!!!"
เสียงตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล ทำให้หลิวซือนัวที่หันไปมองตามเสียงเห็นว่าที่ฝั่งน้ำตกที่พวกนางข้ามมานั้น ยามนี้มีพวกโจรหน้าเหี้ยมยืนอยู่ และพวกมันก็กำลังจะวิ่งลงน้ำตกมาทางพวกนาง
"พวกมันตามมาแล้ว ไปเร็วไป!!!" นางรีบก้าวเดินต่อไป พร้อมกับลากเจ้าของร่างซีดเซียวให้รีบเดินตามนางมาไม่ห่างด้วย
"เจ้าไปเถอะ รีบไป" อวี้หนานไห่เอ่ย ก่อนจะแกะมือของนางที่กุมมือเขาแน่นออก
"ไม่ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน" นางไม่ย่อมทิ้งเขา เอื้อมมือบางไปเกาะกุมมือเขาเอาไว้อีกครั้ง
"ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้นแหละ!!!" เสียงเหี้ยมดังขึ้น
พวกมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าหลิวซือนัวไม่ปล่อยเขาและหนีไปคนเดียวก็จะไม่ทันการแล้ว
"ไปด้วยกัน ต้องไปด้วยกัน"
ยังไงนางก็ไม่ยอมปล่อยเขาอยู่ดี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราต้องถูกจับแน่
ในชีวิตนี้แม้จะมีหลายเรื่องที่ยังน่าเสียดายอยู่ก็เถอะ แต่อวี้หนานไห่กลับคิดว่าตนคงไม่เสียดายมันเท่าไหร่นักหรอก ถ้าจะต้องเลือกโดดลงไปข้างด้านล่างนั่นเพื่อให้นางรอด
ในเวลาต่อมา เขาตัดสินใจกระโดดลงไปทันที
ภาพที่เจ้าของร่างซีดเซียวอันคุ้นตาค่อย ๆ ล่วงตกลงไปที่น้ำตก ด้านล่างทำเอาหลิวซือนัวตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของนางจะพุ่งไป หมายจะคว้าตัวเขาเอาไว้โดยไม่ทันได้คิดถึงอันตรายเบื้องหน้า นั้นทำให้นางเสียหลักจนไม่สามารถทรงตัวได้อีก ร่างบางล่วงลงไปเช่นเดียวกับเขาในเวลาต่อมา
ทั้งสองคนดิ่งตามกันลงไปด้านล่างของน้ำตกอันเย็นยะเยือก ดำดิ่งลง สู่ห้วงลึกของสายน้ำที่ไม่รู้ว่าไปสิ้นสุด ณ ที่ใด...
ตอนพิเศษ 1แม่สามีของข้านั้นดียิ่งนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลอวี้ อวี้หนานไห่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่ออวี้จินเชียง จากที่อวี้หนานไห่เล่าให้ฟังก็คือ อวี้จินเชียงนั้นอยู่ที่บ้านเดิมกับท่านยายของพวกเขาตั้งแต่ยังเยาว์เพราะมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกไม่นานอวี้หนานไห่ก็จะพานางไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและน้องสาวของเขาเพราะว่าฮูหยินอวี้ไม่ใช่สิ เวลานี้นางควรจะเรียกว่าท่านแม่สามีถึงจะถูก เอ็นดูนางเป็นพิเศษดูแลต้อนรับนางเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างอบอุ่น เหมือนกับว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ซ้ำยังชอบให้ท้ายนางอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะยกเลิกไม่ต้องให้นางมาคารวะทุกเช้า ให้เปลี่ยนมาเป็นมาทานมือเช้าเป็นเพื่อนนางบ้างก็พอ ยิ่งเป็นเรื่องข้าวของเครื่องประดับหรืออาภรณ์ แน่นอนว่าอาภรณ์ใหม่ ๆ ของนางไม่มีวันขาดแคลนเพราะว่านางเป็นบุตรสาวจากสกุลที่เปิดร้านอาภรณ์ แต่ยิ่งนางมีเสื้อผ้ามากมายเท่าไหร่ ท่านแม่สามีก็ยิ่งจะยื่นเครื่องประดับจำนวนมากมาให้นาง ทั้งของที่ประมูลมา ของที่หาซื้อได้ตามร้านหรือว่าเครื่องประดับที่ต้องสั่งทำจนยามนี่นางมีเครื่องประดั
ตอนที่ 45คำนับฟ้าดิน"หนึ่ง คำนับฟ้าดิน""สอง คำนับบิดามารดา""สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน"หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ด้านเจ้าบ่าวก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในงานเลี้ยงมงคล เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานดื่มอวยพร เป็นธรรมเนียมปกติที่ในงานมงคลเช่นนี้เจ้าบ่าวจะต้องถูกมอมเหล้าจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายรวมไปถึงญาติมิตรต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอวี้หนานไห่ไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นมอมเหล้านานเกินไป เข้าทักทายแขกที่มาร่วมงานอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามก็แอบปลีกตัวออกมาแล้วคืนเข้าหอเวลามีค่าแค่ไหน ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาบอกเขาก็รู้ดี ทันทีที่เข้าได้ก้าวเข้ามาในเรือนหอของตน บนเตียงก็พบกับภรรยา ใช่แล้วหลิวซือนัวภรรยาของเขา และนางจะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์หลังจากคืนนี้ไป"อวี้หนานไห่เป็นเจ้าหรือ" เจ้าสาวของเขาซึ่งนั่งคลุมหน้าตัวตรงอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้น"เป็นข้าเองภรรยารัก เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว" เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเข้าไปหานาง และใช้ไม้ตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดออกจากศีรษะของนางยามเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกแล้ว ความงดงามที่แสนตราตรึงในใจเขาก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางในเวลานี้ค่อน
ตอนที่ 44ความจริงใจของข้า"ดู ๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าคุณหนูหลิวเหมือนใคร นางเหมือนฮูหยินหลิวนี่เอง ไม่ไหวหน้าผู้อื่นเช่นนี้ไม่มีผิด""ข้าน่ะหรือไม่ไว้หน้า พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ไว้หน้ากันก่อน" ฮูหยินหลิวตอกกลับทันที แม่สื่อพวกนี้นางทนพูดดีด้วยอีกไม่ได้แล้ว"ฮูหยิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลิวรีบเข้ามาห้ามผู้เป็นนายตน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว"จะให้ข้าใจเย็นได้อย่าง...." ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบประโยค ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้าเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างเสียก่อน"ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ""มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเรื่องตรงหน้ายังไม่ทันได้สะสางก็ดูท่าว่าจะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกเสียแล้ว"มีขบวน มีขบวน...ใหญ่ ขบวนใหญ่" อาจจะเป็นเพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว ซ้ำยังตื่นเต้นจึงทำให้บ่าวชายผู้นี้พูดออกมาไม่รู้ความจนฮูหยินหลิวต้องเอ่ยถามซ้ำหลายรอบ"ขบวน ขบวนอะไร ขบวนอะไรใหญ่กันแน่""เหมือนว่าจะเป็นขบวนสินสอดสินะ" แม่สื่อคนที่หนึ่งผู้ขึ้น บ่าวชายที่มาแจ้งข่าวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าใช่"คงเป็
ตอนที่ 43สู่ขออาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลมาหลายวัน และก็ไม่ได้นอนพักดี ๆ มาตลอดทาง วันนี้หลิวซือนัวเลยตื่นสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วยามด้วยกัน กว่าที่จะแต่งตัวหวีผมเสร็จก็กินเวลาช่วงเช้าไปไม่น้อยแล้ว"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า หากคุณหนูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณหนูไปพบฮูหยินใหญ่ที่โถงรับรองด้วยเจ้าค่ะ""ได้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปแจ้งท่านแม่นะว่าประเดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะรีบเข้าไปหาท่าน""เจ้าค่ะคุณหนู"สาวใช้ที่ท่านแม่ให้มาแจ้งข่าวนางจากกลับไปแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่นาง เสี่ยวหนิง และสาวใช้ในเรือนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใส่ในวันนี้อยู่"เสี่ยวหนิง เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ จะมีแขกสำคัญมาหรือไงนะ""บ่าวคิดว่าไม่น่าจะมีแขกนะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เช้าไม่เห็นว่าในโรงครัวคึกคักเลย" ผู้เป็นสาวใช้เอ่ยออกมาตามที่นางคิด เพราะถ้าหากในจวนมีแขกสำคัญ ปกติแล้วในครัวก็มักจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะต้องมีการเตรียมอาหารเอาไว้รับรองแขก"เช่นนั้นแล้วท่านแม่จะเรียกให้ข้าไปพบที่ห้องโถงทำไมกัน" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจคงมีแต่รีบ
ตอนที่ 42จากอีกเพียงวันเท่านั้นนางก็จะต้องเดินทางกลับเมืองเป่ยโจวแล้ว ตามกำหนดการเดินทางกลับที่ท่านแม่ของนางได้กำหนดเอาไว้ พี่ใหญ่ของนางหลิงเค่อกับพี่สะใภ้ฉือหนานเองก็จะเดินทางไปส่งนางกลับจวนและถือโอกาสให้พี่ฉือหนานได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วย หลังจากวันนั้นที่อวี้หนานไห่และนางได้เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกนางก็มีสถานะเป็นคนรักของกันและกันอย่างเปิดเผย แต่เปิดเผยที่ว่านี้ก็จะมีแค่คนในครอบครัวของพวกนางเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนนอกนางและอวี้หนานไห่ก็ไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดจะพูดถึงพวกนางอย่างไรมีบางครั้งที่นางและอวี้หนานไห่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกันบ้างก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในเมือง หลายครั้งก็มีข่าวลือตามมาบ้างทว่าส่วนใหญ่จะลือไปทางที่พวกนางเป็นสหายกันเสียมากกว่า ไม่มีการลือหรือการพูดไปถึงเรื่องเชิงชู้สาวใด ๆ ทั้งสิ้นแน่นอนว่าเรื่องลือเช่นนี้ไม่ถือเป็นผลเสียกับนาง หนำซ้ำยังถือว่าเป็นผลดีต่อร้านสกุลอาภรณ์สกุลหลิวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้ใดที่อยากสนิทสนมกับหมู่ตึกอวี้ฟางก็จะต้องเข้าหาร้านอาภรณ์สกุลหลิวซึ่งลือกันว่าเป็นสหายกับหมู่ตึกอวี้ฟางเพื่อทำต
ตอนที่ 41รัก"ที่ห้องโถงใหญ่เอะอะอะไรกัน เหตุใดถึงได้เสียงดังมาถึงนี่ เจ้าไปดูหน่อยเถอะ" ฉือหนานเอ่ยขึ้น ก่อนจะสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวันมงคลเช่นนี้นอกจากฉือหนานแล้วในห้องรับรองขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก็มีหลิวซือนัวน้องสามีของนาง และก็ฉือฮั่วลูกพี่ลูกน้องของนางที่มาเยี่ยมนางจากบ้านเกิดเมื่อสองวันก่อนใครจะคิดเล่าว่าการมาที่นี่ของฉือฮั่วซึ่งอ่อนวัยกว่านางเกือบสี่ปีจะทำให้นางได้เจอกับรักแรกพบที่นี่ หนำซ้ำยังถูกสู่ขออย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า นางและผู้เป็นสามีที่ถือเป็นญาติสนิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ของฉือฮั่วแทนบิดามารดาของนางที่ไว้ใจฝากฝังบุตรสาวเอาไว้ด้วยเพราะเชื่อมั่นและไว้ใจนางกับสามีด้วยเพราะว่าทั้งฝ่ายสู่ขอและฝ่ายถูกสู่ขอต่างก็มีใจต่อกัน การตัดสินใจจริงเป็นไปอย่างดี ทุกฝ่ายตกลงปลงใจที่จะปลูกเรือนร่วมกันวันนี้แค่แลกหนังสือสินสอดเสร็จสิ้นก็หาวันดีจัดงานแต่งได้เลย ด้านหลิวซือนัวยามนี้นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้าไหมสีแดงเพื่อตัดชุดแต่งงานให้กับฉือฮั่ว สำหรับฉือฮั่วนั้นนางก็เห็นเป็นสหายมาเนิ่นนาน ซ้ำเมื่อพี่ฉือหนานแต่งเข้ามาจวนสกุลหลิวแล้