“ทำไมหนูไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะว่าจะทำงานอยู่กรุงเทพ?” เจนรบเอ่ยปากถามปวีณา
“หนูบอกแล้ว แต่พ่อกับแม่ไม่ยอม” ปวีณาตอบ “ลุงจะให้หนูทำยังไงละคะ?”
ปวีณาบอกกับเจนรบว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ภาคภูมิและปิยะวรรณเรียกเธอกลับไป ช่วยงานธุรกิจรีสอร์ตทางบ้านที่เชียงใหม่ระหว่างรอรับปริญญาตรีและไปเรียนต่อปริญญาโทที่ อเมริกา เจนรบเริ่มรู้สึกว่ามันคือแผนการที่เพื่อนรักทั้งสองคิดเอาไว้ คือไม่ปฏิเสธ การคบหากันของเจนรบและปวีณา แต่จะใช้วิธีแยกให้คนทั้งคู่ห่างกันไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเจนรบและปวีณาก็ห่างจนต่อกันไม่ติด
ในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ภาคภูมิส่งคนมาช่วยขนของกลับบ้านที่เชียงใหม่ และไม่เปิดโอกาสให้ปวีณาได้ร่ำลาเจนรบ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ช่วงเวลาที่แสนหวานของเจนรบและปวีณากำลังจะจบลง แต่โชคยังดีที่มีสื่อโซเชียล เลยทำให้เจนรบและปวีณาได้พูดคุยกันผ่านทางไลน์ เด็กสาวบอกกับเจนรบว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เธอไปช่วยงานธุรกิจที่บ้านระหว่างรอรับปริญญา
“ลุงจอม…” ปวีณาไลน์คุยกับเจนรบ “หนูว่าพ่อกับแม่กำลังพยายามกีดกันหนูจากลุง”
“ไม่ต้องกลัวนะปลา” เจนรบไลน์ตอบ “ลุงจะขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไปคุยกับไอ้ภาคและเปิ้ล ลุงจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน”
“ค่ะ…” สาวน้อยตอบกลับมา เจนรบอดรู้สึกกังวลไม่ได้ เขากลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะต้องผิดหวังอีกครั้ง เหมือนที่เคยผิดหวังกับปิยะวรรณเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
เจนรบวางโทรศัพท์ลงหลังจากคุยกับปวีณาผ่านไลน์ แม้เธอจะพยายามทำเสียงให้สดใส แต่เจนรบก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดบางอย่างที่เธอไม่ได้พูดออกมา การต้องกลับไปอยู่ในกรอบของพ่อแม่ที่เชียงใหม่ การถูกจับตามอง และการถูกเร่งรัดเรื่องแผนการไปอเมริกา ดูเหมือนจะกำลังสร้างแรงกดดันให้เธอ เจนรบรู้สึกว่าแผนการของภาคภูมิและปิยะวรรณกำลังได้ผลเร็วกว่าที่คิด เขาไม่อาจทนรอให้เวลาและระยะทางกัดกร่อนความสัมพันธ์ของพวกเขา หรือรอจนปวีณาต้องยอมจำนนต่อแรงกดดันนั้นได้อีกต่อไป
ไม่ใช่แค่ความกลัว... แต่มันคือความตระหนักรู้... เขารอไม่ได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะความอดทนไม่พอ แต่เพราะทุกวินาทีที่ห่างกัน มันเหมือนกับการปล่อยให้ความสุขที่เพิ่งค้นพบหลุดลอยไป เขาจะไม่ยอมให้เงื่อนไขใดๆ หรือแผนการของใคร มาพรากปลาไปจากเขาอีก เขาต้องไปเชียงใหม่... ไม่ใช่ไปขอร้อง แต่ไปยืนยันในสิทธิ์ของหัวใจ สิทธิ์ที่จะรักและได้อยู่กับคนที่เขารัก... และสิทธิ์ที่ปลาควรจะได้เลือกทางเดินของตัวเอง
“รอให้ปลาเรียนจบโท...อีกกี่ปี? แล้วถ้าถึงตอนนั้น ปลาเปลี่ยนไปจริงๆ ล่ะ?” ความกลัวและความไม่มั่นคงกัดกินหัวใจของเจนรบ เขาตระหนักว่าเงื่อนไขที่เคยยอมรับนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงการซื้อเวลาที่นำไปสู่การสูญเสียในที่สุด มันไม่ใช่แค่เรื่องของเขาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องความสุขของปวีณาด้วย เขาเชื่อมั่นว่าเธอจะมีความสุขที่สุดถ้าได้เลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง...และทางนั้นคือการอยู่กับเขา
“ไม่ได้...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้” เขากำมือแน่น ครั้งนี้เขาจะไม่ใช่แค่ไปขอร้อง แต่จะไปยืนยันในความรักและความถูกต้องในฐานะคนที่ปวีณาเลือก เขาต้องทำให้ภาคภูมิกับเปิ้ลเห็นให้ได้ว่า ความสุขที่แท้จริงของปวีณาคือการได้ตัดสินใจเอง ไม่ใช่การถูกบีบบังคับด้วยแผนการใดๆ เขาตัดสินใจแน่วแน่
“ลุงจะขึ้นไปเชียงใหม่...อีกครั้ง” เขาพิมพ์ข้อความสั้นๆ แต่หนักแน่นส่งหาปวีณา “ครั้งนี้...ลุงจะสู้เพื่อเรา”
“กูนึกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องแล้วนะไอ้จอม” ภาคภูมิมองหน้าเจนรบตาขวาง หนุ่มใหญ่นักธุรกิจคาดไม่ถึงว่าเจนรบจะดื้อดึงได้ถึงขนาดนี้ ถึงขนาดลงทุนบินขึ้นมาที่เชียงใหม่อีกรอบ “กูบอกแล้วไงว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่มึงกับลูกสาวกูจะลงเอยกัน นี่มึงคิดจะจองเวรล้างแค้นกูให้ได้เลยใช่ไหม!!”
คำว่า 'แก้แค้น' เสียดแทงใจเจนรบอย่างแรง เพื่อนยังมองกูแบบนี้อยู่อีกหรือนี่... เขาเจ็บปวดที่ภาคภูมิไม่เคยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเลยตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา
“ไม่ใช่แบบนั้นไอ้ภาค กูไม่ได้คิดจะล้างแค้นมึงเลยแม้แต่น้อย” เจนรบสารภาพ “แต่กูขาดน้องปลาไม่ได้ กูยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่กูมีเพื่อน้องปลาแล้วไง กูขอร้องล่ะเพื่อน กูยอมมึงถึงขนาดนี้แล้ว สงสารกูเถอะนะ”
“มึงพูดเอาแต่ได้!!” ภาคภูมิเค้นหัวเราะ “ตลกแดกส์ละ!! กูไม่มีวันยอมยกลูกสาวให้มึง”
“เพราะกูเป็นเพื่อนมึงใช่ไหมไอ้ภาค?” เจนรบถาม “ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนมึง มึงจะยอมยกลูกสาวให้กูไหม?”
“ถึงมึงเป็นคนอื่นกูก็ไม่ยกให้ลูกสาวให้มึง มันไม่เกี่ยวกัน กูทำแบบนี้เพราะกูเห็นแก่อนาคตลูกสาวกูต่างหาก!!” ภาคภูมิตอบ “ผู้หญิงมีเยอะแยะ ทำไมมึงถึงไม่มองหาคนอื่น มึงจะมายุ่งกับลูกสาวกูทำไมวะ มึงไม่อายสายตากับขี้ปากชาวบ้านบ้างเหรอวะ? ไอ้วัวแก่กินหญ้าอ่อน กูรับไม่ได้สำหรับเรื่องแบบนี้ว่ะ!!”
“ภาค!!! ใจเย็นหน่อยซิ!!!” ปิยะวรรณที่นั่งอยู่เคียงข้างสามีพยายามห้ามปราม “จอม เปิ้ลว่าจอมกลับไปก่อนเถอะนะ เปิ้ลขอล่ะ”
“เปิ้ล…” เจนรบเรียกชื่ออดีตคนรักเก่า “มีสิ่งหนึ่งที่จอมไม่เคยพูดกับเปิ้ลเลยตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา คือจอมรักเปิ้ลมาก รักยิ่งกว่าอะไรในชีวิต จอมอยากบอกให้เปิ้ลรู้ว่า สิ่งที่จอมทำมาตลอดสามสิบปีมานี้ จอมอยากทำเพื่อให้เปิ้ลรู้ว่าจอมรักเปิ้ลมากแค่ไหนนะ”
เขาตัดสินใจพูดความจริงที่เก็บงำไว้ในใจมานาน ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ แต่เพื่อให้เพื่อนเข้าใจ... เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่เขาก้าวข้ามมาได้เพราะปลา... เพื่อให้รู้ว่าปลาสำคัญกับชีวิตที่เหลืออยู่ของเขามากแค่ไหน
“ไอ้จอม!!! ไอ้สัส!!” ภาคภูมิเริ่มเดือด เมื่อเห็นเพื่อนรักรำลึกความหลังกับภรรยาของตัวเอง “มึงคิดจะเคลมลูกกูไม่พอ มึงยังจะเคลมเมียกูอีกเหรอ!!??”
“ภาค!!! บอกแล้วไงว่าให้ใจเย็นหน่อย!!!” ปิยะวรรณเริ่มรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของภาคภูมิ “จอม กลับไปก่อนเถอะ เปิ้ลขอร้องล่ะ!!!”
“จอมยังพูดไม่จบเปิ้ล มึงด้วยไอ้ภาค ฟังกูให้จบก่อน” เจนรบตอบ “จอมรู้นะ ว่าจอมอาจเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อเกินไป ไม่ได้โรแมนติกเข้าอกเข้าใจผู้หญิงได้มากเหมือนไอ้ภาค จอมเลยยอมเป็นคนถอยออกมา ให้ภาคกับเปิ้ลได้รักกัน จอมทนอยู่กับฝันร้ายมาตลอดสามสิบกว่าปี จนวันหนึ่งจอมได้เจอกับน้องปลา จอมพยายามหักห้ามใจแล้ว แต่จอมทำไม่ได้….”
“เรารักกันค่ะ!!” ปวีณาที่ถูกสั่งให้เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง คงอดทนฟังต่อไปไม่ไหว ก็เลยเดินเข้ามาในห้องรับแขก โดยมีคนใช้พยายามกันตัวเอาไว้ “พอกันที!! ปลาไม่อยากให้ใครมาสั่งให้ปลาหันซ้ายหันขวาอีกแล้ว ปลาอยากเป็นตัวของตัวเองบ้าง!!”
เสียงพ่อที่ตวาดลั่นทำให้เธอทนอยู่ในห้องต่อไปไม่ได้... ต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแน่ๆ... ความกลัวแล่นจับใจ แต่ความเป็นห่วงลุงจอมมันมีมากกว่า... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะอยู่เคียงข้างเขา
“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะปลา!!!” ภาคภูมิที่กำลังเดือดได้ที่ พอได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาเดือดดาลมากขึ้นไปอีก “ไอ้จอม มึงทำอะไรกับลูกสาวกูวะ ถึงทำให้ลูกสาวกูเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้!!!”
“ลุงจอมไม่ได้ทำอะไรปลาหรอกค่ะพ่อ!!” ปวีณาเดินเข้าไปยืนข้างเจนรบ “ถ้าพ่อกับแม่จะโทษใครสักคน โทษหนูเถอะค่ะ ลุงจอมพยายามปฏิเสธแล้ว แต่เป็นเพราะความเอาแต่ใจและอยากเอาชนะของหนูเอง เลยทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา หนูเป็นคนตามตื้อลุงจอมเองค่ะ!!”
“ไอ้จอม!!! ไอ้สารเลว!!! กูกับมึงคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วว่ะ!!!”
พูดจบ ภาคภูมิก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานด้วยท่าทางที่น่ากลัว ปิยะวรรณใจหายวาบเมื่อเห็นแววตาของสามี เธอรู้ทันทีว่าเขาจะไปเอาอะไร รีบตามไปห้าม “คุณภาค! อย่า!” แต่ไม่ทันเสียแล้ว
วินาทีที่เห็นโลหะสีเงินวาววับในมือเพื่อน หัวใจเจนรบกระตุกวูบ... ไม่ใช่ความกลัวตาย แต่เป็นความรู้สึก... เสียใจ... เสียใจที่มิตรภาพอันยาวนานของพวกเขากำลังจะจบลงแบบนี้... และเป็นห่วง... ห่วงปลาเหลือเกินว่าเธอจะต้องมารับรู้เหตุการณ์เลวร้ายนี้
“คุณ!?/พ่อคะ!?” ปิยะวรรณและปวีณารีบเข้าไปห้ามภาคภูมิที่กำลังจะยิงปืนใส่เจนรบ “คุณคิดจะทำอะไรของคุณเนี่ยภาค!!”
“ปล่อยผม!!!” ภาคภูมิพยายามปัดป้องปิยะวรรณและปวีณาที่เข้ามาห้าม “ผมจะฆ่ามัน!! ปล่อย!!!”
“คุณจะบ้าเหรอภาค!!! ถ้าทำแบบนั้นชั้นกับลูกจะอยู่ยังไง!!!” ปิยะวรรณออกโรงห้ามสามี “จอม เปิ้ลขอร้องล่ะ กลับไปก่อนเถอะนะ!!”
ภาคภูมิเดินกลับออกมา ในมือขวาของเขาถือปืนลูกโม่สีเงินวาววับ แม้จะยังไม่ได้ยกขึ้นเล็งโดยตรง แต่สีหน้า แววตา และมือที่กำปืนจนสั่นเทาของเขา บ่งบอกถึงความโกรธแค้นที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกวินาที บรรยากาศในห้องรับแขกพลันเย็นเยียบลงทันที
เธอทนฟังอยู่ข้างบนต่อไปไม่ไหวแล้ว เสียงตวาดของพ่อทำให้ใจเธอสั่น แต่ภาพที่พ่ออาจจะทำร้ายลุงจอมมันน่ากลัวยิ่งกว่า... ไม่! เธอจะยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด! เธอรักลุงจอม! ต่อให้ต้องเจ็บ ต้องตาย เธอก็จะปกป้องเขา!
“คุณ!/พ่อคะ!” ปิยะวรรณและปวีณาที่ทนไม่ไหวแอบลงมาดูจากชั้นบน)หน้าซีดเผือด รีบเข้ามาขวางระหว่างภาคภูมิและเจนรบ
“ถอยไป!!” ภาคภูมิตวาดเสียงกร้าว แม้ยังไม่ได้ยกปืนขึ้นเล็ง แต่สายตาจ้องเขม็งไปที่เจนรบราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความขัดแย้งภายในใจฉายชัดในแววตาที่วูบไหวระหว่างความโกรธและความเป็นเพื่อนเก่า “นี่มันเรื่องของกูกับมัน! อย่ามายุ่ง!”
“อยากยิงกูก็ยิงเลย แต่กูอยากจะพูดอะไรสักอย่าง” เจนรบตอบ “ที่กูไม่เคยพูดกับมึงมาตลอดสามสิบปีมานี้ให้มึงได้ฟังก่อนตาย”
“มึงอยากพูดอะไรมึงพูดมา” ภาคภูมิกัดฟันแน่น
“กูคิดเสมอว่ามึงคือเพื่อนรักกู ไอ้ภาค เมื่อก่อนกูต้องช่วยมึงเรื่องเรียน เพราะมึงมัวแต่เอาเวลาไปซ้อมฟุตบอล แล้วก็ทำกิจกรรม มึงเคยบอกกูว่าถ้ามึงไม่ได้กูช่วย มึงคงเรียนไม่จบ” เจนรบย้อนความหลังสมัยยังเรียน “เราเคยสาบานกันว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น มึงกับกูจะเป็นเพื่อนกันจนวันตาย มึงยังจำวันที่กูโดนนักเลงร้านเหล้ากระทืบวันที่เราไปเที่ยวหอนางโลมนายเคี้ยงได้ไหม? ถ้ามึงไม่ช่วยกูวันนั้น กูคงตายไปแล้ว”
“ไอ้จอม…” ภาคภูมิดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มใหญ่ลดปืนลง มองหน้าเพื่อนรักด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
“ชีวิตกูเป็นหนี้บุญคุณมึงไอ้ภาค” เจนรบสารภาพ “มึงมีอะไรหลายอย่างที่กูไม่มี กูเลยไม่แปลกใจที่เปิ้ลจะรักมึงมากกว่าคนอย่างกู กูอิจฉามึงที่สร้างครอบครัวที่อบอุ่นขึ้นมาได้ ในขณะที่กูต้องใช้ชีวิตจมปลักกับอดีต จนทำให้กูต้องอยู่คนเดียวมานานสามสิบกว่าปี”
“ไอ้จอม ถ้ามึงคิดจะมาพูดทำซึ้งเพื่อให้กูยกลูกสาวให้มึง” ภาคภูมิขัดจังหวะ “กูบอกเลยมึงคิดผิด”
“กูรู้…” เจนรบตอบ “กูแค่อยากบอกมึงว่า กูไม่ได้คิดแค้นอะไรมึงหรอกไอ้ภาค กูดีใจกับมึง ที่มึงกับเปิ้ลได้รักกัน”
“มึงทำตัวของมึงเองไอ้จอม” ภาคภูมิตอบ “กูเองก็สงสารมึงนะเพื่อน แต่มึงทำตัวของมึงเอง แล้วตอนนี้มึงจะมาเรียกร้องอะไรอีก ผู้หญิงบนโลกมีเยอะแยะ ทำไมต้องมาเป็นลูกสาวกูด้วยวะ?”
“พอกันที!!” ปวีณาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ก็เลยเดินเข้าไปยืนกางแขนขวางหน้าเจนรบเอาไว้ “ถ้าพ่อจะยิง ก็ยิงหนูด้วยซิคะ หนูบอกแล้วไงหนูเป็นคนผิดทุกอย่าง หนูมันไม่รักดี หนูไปให้ท่าลุงจอมเอง ยิงซิคะพ่อ!!! ยิงหนูซิ!!! ฮือ!!!”
พูดไปน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปสำหรับปวีณา แต่ใจกลับนิ่งและแน่วแน่กว่าครั้งไหนๆ เธอจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว นี่คือชีวิตของเธอ คือความรักของเธอ พ่อกับแม่ต้องยอมรับ! เธอรักลุงจอม และจะอยู่เคียงข้างเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
“ปลา…” ปิยะวรรณเริ่มน้ำตาคลอ “คุณคะ ชั้นว่าคุณลดทิฐิลงเถอะค่ะ จอมเขายอมคุณถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังจะใจดำได้อีกเหรอ?”
“ผมทำเพื่ออนาคตลูกสาวเราต่างหาก!!” ภาคภูมิตอบ “ปลา ถอยกลับมา!!”
“ไม่!!!” ลูกปลาปฏิเสธเสียงแข็ง
“พ่อบอกให้ถอย!!” ภาคภูมิตวาดเสียงดัง “ป้าแอ้ว!! ไปพาปลาออกมาเดี๋ยวนี้!!”
“คุณปลาคะ ออกมาเถอะค่ะ!!” ป้าแอ้วที่เป็นคนใช้พยายามดึงแขนน้องปลาออกมา แต่สาวน้อยปฏิเสธ
“ไม่!!! หนูจะไม่ยอมให้ใครมาสั่งหนูอีกแล้ว!!!” ลูกปลาสะบัดแขนป้าแอ้ว ก่อนเดินเข้าไปกอดเจนรบ ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เธอก็กอดเจนรบไว้แน่น เงยหน้าสบตาพ่ออย่างไม่ยอมแพ้ *หนูรักของหนู! พ่อจะทำร้ายคนที่หนูรักไม่ได้! ถ้าจะยิง ก็ต้องยิงหนูไปด้วย!*
“ปลา…อย่าทำแบบนี้!!!” เจนรบพยายามอ้อนวอนสาวน้อยคนรัก
“ไม่!!! ถ้าเราจะตาย เราก็ตายด้วยกัน!!” ลูกปลาปล่อยโฮออกมา “หนูรักลุงจอม!!”
“คุณคะ!!! ชั้นขอร้องเถอะค่ะ!!!” ปิยะวรรณยืนขวางทางปืนของภาคภูมิทั้งน้ำตา “ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ให้ลูกของเราตัดสินใจอนาคตเองเถอะ ไหนคุณบอกว่าคุณอยากเห็นลูกสาวเรามีความสุขไงล่ะ ตอนนี้ลูกของเราก็พูดออกมาแล้ว เธอต้องการอะไร แล้วคุณจะยอมให้ลูกสาวเราไม่ได้เลยเหรอ?”
“แต่นั่นมันไอ้จอม!!!” ภาคภูมิตอบแบบไม่ต้องคิด
“แล้วคนแบบจอมมันแย่ยังไง?” ปิยะวรรณตอกกลับคนเป็นสามี “ผู้ชายคนนี้ยอมเสียสละให้เราสองคนมีความสุข แล้วเขาต้องทนทุกข์มาสามสิบปี คุณไม่คิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเราบ้างเลยเหรอ? ในเมื่อลูกสาวเราเลือกแล้ว เราก็ควรยอมรับในสิ่งที่ลูกสาวเราเลือกเถอะค่ะคุณ!!!”
คำพูดของปิยะวรรณและความมุ่งมั่นในแววตาของลูกสาวทำให้ภาคภูมินิ่งอึ้งไป... ภาพเจนรบที่ยอมคุกเข่า... ภาพลูกสาวที่ยอมเอาตัวเข้าบัง... ความรักที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้นี้ มันรุนแรงและจริงจังขนาดนี้เชียวหรือ... เขานึกถึงอดีต นึกถึงวันที่เจนรบยอมหลีกทางให้เขา... หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อชดใช้? หรือเขาควรจะปล่อยวางทิฐิเพื่อความสุขที่แท้จริงของลูกสาว? ความโกรธค่อยๆ ลดลง ถูกแทนที่ด้วยความเหนื่อยใจและความรู้สึกที่ซับซ้อน... บางที... บางทีเปิ้ลอาจจะพูดถูก
ภาพตรงหน้าทำให้ภาคภูมิจุกจนพูดไม่ออก... ภาพเพื่อนรักที่ยอมทิ้งศักดิ์ศรี... ภาพลูกสาวสุดที่รักที่เติบโตจนกล้าตัดสินใจเพื่อความรักของตัวเอง... ภาพภรรยาที่ยืนหยัดด้วยเหตุผลและความเข้าใจ... ทุกอย่างถาโถมเข้ามา คำพูดของทุกคน... โดยเฉพาะคำพูดของเจนรบเรื่องหนี้บุญคุณในอดีต... และแววตาของลูกสาวที่เหมือนจะบอกว่านี่คือความสุขของเธอจริงๆ... ทิฐิที่เคยแข็งกร้าวมันค่อยๆ อ่อนลง... บางที... บางทีเขาอาจจะผิดเองที่ยึดติดกับความคิดของตัวเองมากเกินไป... บางทีการปล่อยวาง อาจจะดีที่สุดสำหรับทุกคน... รวมถึงตัวเขาเองด้วย
“คุณคะ?/พ่อคะ?” ปิยะวรรณและปวีณาเรียกภาคภูมิที่ดูสงบลงด้วยความสงสัย
“มึงรักลูกสาวกูจริงใช่ไหมไอ้จอม?” ภาคภูมิถามเพื่อนรักอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ กูรักลูกสาวมึง” เจนรบตอบ และต่อให้อีกฝ่ายถามแบบนี้อีกเป็นร้อยเป็นพันรอบ เขาก็จะตอบแบบเดิม ไม่ว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ก็ตาม
“ถ้างั้นกูมีอะไรจะขอมึงสักอย่าง” ภาคภูมิมองหน้าเจนรบ “มึงต้องดูแลลูกสาวกูให้ดีที่สุด ห้ามคิดนอกใจลูกสาวกูไปหาผู้หญิงคนอื่น ห้ามเป็นอะไรตายไปซะก่อน กูอยากให้มึงลืมความทุกข์ที่มึงเจอมาตลอดสามสิบปีเพื่อที่มึงจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในช่วงเวลาที่เหลือกับลูกสาวของกู มึงจะทำให้กูได้ไหมเพื่อน?”
พอได้ยินคำพูดจากปากของคนอย่างภาคภูมิ เจนรบ ปิยะวรรณ และปวีณา ต่างยิ้มด้วยความยินดี ที่ในที่สุด ภาคภูมิก็ยอมลดทิฐิลงเพื่อให้ทุกคนได้มีทางออกร่วมกัน
โดยเฉพาะกับเจนรบและปวีณา ทั้งคู่สบตากัน แววตาเต็มไปด้วยความโล่งอก ดีใจ และความรู้สึกเหลือเชื่อ... ผ่านมาได้แล้วจริงๆ หรือ? ปวีณายิ้มทั้งน้ำตา เจนรบเองก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้าอาจจะยังไม่ง่ายนัก แต่ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“ได้ซิไอ้ภาค กูสัญญา กูจะดูแลลูกสาวมึงให้ดีที่สุด” เจนรบตอบด้วยรอยยิ้ม
“น้องปลา เรื่องเรียนต่อปริญญาโท พ่อคิดว่าลูกตัดสินใจเองก็แล้วกัน ชีวิตลูก ลูกโตแล้ว พ่อเชื่อว่าลูกจะตัดสินใจในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวของลูกเอง” ภาคภูมิเอ่ยปาก “แล้วก็…ถ้ามึงไม่รีบกลับ กูอยากให้มึงค้างคืนกับกูที่นี่สักคืนสองคืน กินเหล้าเล่าเรื่องความหลังกับกูก่อนกลับได้ไหมเพื่อน”
“ได้ซิ” ทนายความพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
“อ้าว…มองหน้าผมทำไม?” ภาคภูมิเห็นปิยะวรรณ ปวีณา รวมถึงป้าแอ้วมองหน้าภาคภูมิด้วยรอยยิ้ม “ใครมีงานอะไรก็ไปทำซิ!!!”
พอเห็นภาคภูมิยอมเปิดทางให้เจนรบและปวีณารักกัน ก็เลยสร้างความยินดีและชื่นมื่นให้คนในบ้าน ปวีณากอดเจนรบด้วยความสุข จนปิยะวรรณต้องส่งเสียงกระแอมเตือนถึงความไม่เหมาะสม
“ขอโทษค่ะแม่…” ปวีณายิ้มเขิน ก่อนผละออกมาจากอกของเจนรบ โดยมีปิยะวรรณจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจ
“จอม ดีใจด้วยนะ” ปิยะวรรณพูดกับคนรักเก่า “แต่เปิ้ลก็อยากจะขอจอมสักเรื่อง คือถ้าจะสู่ขออะไรยังไง ให้ปลารับปริญญาเสร็จก่อน แล้วตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกที โอเคนะ”
“ได้ซิ” เจนรบพยักหน้า “อีกหน่อยจอมจะได้เป็นลูกเขยของเปิ้ลกับไอ้ภาคแล้วซินะ”
“น้อยๆ หน่อยเถอะ!!” ปิยะวรรณค้อนใส่เจนรบ “พอภาคยอมหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะ รู้งี้ไม่น่าห้ามภาคเลย เห๊อะ!!”
แล้วทุกคนภายในบ้านก็หัวเราะร่วนอย่างมีความสุข เจนรบขอตัวกลับไปนอนพักที่โรงแรม ส่วนปิยะวรรณ ปวีณา ก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง
ในค่ำคืนนั้น ภาคภูมิ เจนรบ ปิยะวรรณ ได้พากันไปนั่งกินอาหารมื้อเย็นในภัตตาคารสุดหรูใจกลางเมืองเชียงใหม่ ต่างพูดถึงเรื่องราวในอดีตสมัยเรียน ส่วนปวีณาถูกสั่งให้นอนเฝ้าบ้าน ลูกปลาได้แต่บ่นอุบเพราะไม่พอใจ แต่แม่เปิ้ลสั่งว่า อยากจะคุยเรื่องบางอย่างเป็นการส่วนตัวกับภาคภูมิและเจนรบ ก็เลยทำให้ปวีณาหมดสิทธิ์เข้าร่วม
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีความรู้สึกเกร็งๆ อยู่บ้าง ภาคภูมิพยายามพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แต่ก็ยังมีแววตาคาดคั้นเจนรบอยู่เป็นระยะ ปิยะวรรณคอยชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนเจนรบก็พยายามทำตัวสบายๆ แต่ก็ยังระมัดระวังคำพูดอยู่เสมอ
“นี่เปิ้ลไม่รู้มาก่อนเลยนะ ว่าภาคกับจอมจะเป็นคนแบบนี้ ไม่กลัวโรคติดต่อหรือไง!!!” ปิยะวรรณบ่นอุบหลังจากได้ยินเรื่องสัปดนระหว่างเจนรบและภาคภูมิสมัยวัยหนุ่ม ที่ทั้งคู่นัดกันไปเที่ยวหอนางโลมด้วยกัน แล้วมีครั้งหนึ่งที่ทั้งคู่ลงขันกันมีเซ็กส์กับผู้หญิงคนเดียวแบบสองรุมหนึ่ง “แล้วถามจริงเถอะ ผู้หญิงคนเดียวกับผู้ชายสองคน มันจะทำไปได้ยังไง?”
“เปิ้ลยังไม่รู้อะไร” ภาคภูมิยิ้มกริ่มในสภาพเมาแอ๋ “ยังมีประตูหลังไงล่ะ ตอนนั้นผมจองประตูหน้าแล้ว ไอ้จอมมาจากไหนไม่รู้มาเสียบข้างหลัง ผมนี่งงเลย”
“ก็จะให้กูทำยังไงล่ะ?” เจนรบสารภาพ “ก็จ่ายตังค์ไปแล้ว เลยอยากลองเป็นประสบการณ์ชีวิตบ้าง”
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เกือบจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง แต่ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และสายใยแห่งมิตรภาพที่ตัดกันไม่ขาด สุดท้ายเพื่อนรักก็กลับมาเป็นเพื่อนรัก และเผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของทนายเจนรบ ที่ไม่ได้มีแต่ความเคร่งขรึม แต่ก็มีมุมสนุกสนานห่ามๆ แบบชายหนุ่มทั่วไปเช่นกัน
“พอเถอะ!! เปิ้ลไม่อยากฟังแล้ว!!!” ปิยะวรรณออกโรงห้าม “สัปดนที่สุด ให้มานั่งฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้!!”
ภาคภูมิและเจนรบหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข เรียกได้ว่าเป็นการรียูเนี่ยนของสามเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน และถือเป็นโอกาสดีที่ในที่สุดทั้งสามคนก็ได้พูดคุยเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมาสักที
“ชีวิตคนเรามันแสนสั้นนะ” ภาคภูมิเอ่ยปากขณะกำลังรินเหล้าใส่แก้วของเจนรบ “กูเข้าใจสัจธรรมชีวิตแล้วว่าบางทีคนเราก็ต้องปล่อยวางกันบ้าง ทั้งกูและมึง”
“ขอบคุณ” เจนรบรับแก้วเหล้าที่ภาคภูมิเสิร์ฟให้ไปดื่ม “กูก็คิดแบบนั้น”
“ดูแลลูกสาวกูให้ดีนะมึง” ภาคภูมิชี้หน้าเจนรบ “ถ้ามึงทำลูกสาวกูเสียใจ กูเล่นมึงแน่”
เจนรบยิ้มกริ่ม นึกถึงภาพในอดีตที่ตัวเองเป็นคนขู่ภาคภูมิให้รักปิยะวรรณตลอดไป ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะย้อนกลับมาหาเขาเองซะแล้ว
“กูสัญญา” เจนรบตอบ “ชนแก้ว”
“ชนแก้ว” ภาคภูมิและปิยะวรรณต่างชนแก้วเพื่อฉลองในมิตรภาพ แล้วเพื่อนทั้งสามก็พูดคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะ จนร้านปิด ภาคภูมิเลยขับรถพาเจนรบกลับไปโรงแรม ก่อนตัวเองจะขับรถพาปิยะวรรณกลับไปนอนที่บ้านด้วยเช่นกัน
“ยินดีด้วยนะลูก” คู่สามีภรรยายืนถ่ายภาพนิเทศศาสตรบัณฑิตคนใหม่อย่างปวีณาด้วยความชื่นมื่น หลังจากเสร็จสิ้นจากพิธีรับปริญญาที่ศูนย์การประชุมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ลูกปลาสวมชุดครุยประจำคณะ ยืนถ่ายภาพกับพ่อและแม่อย่างมีความสุข
“ปลา!! มาถ่ายรูปด้วยกันเร็ว!!” กลุ่มเพื่อนพ้องบัณฑิตใหม่จากคณะนิเทศศาสตร์กวักมือเรียกปวีณาไปถ่ายรูปร่วมกัน โดยคู่สามีภรรยายินยอมให้ลูกไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับเพื่อน
“ไปเถอะปลา ไปถ่ายรูปกับเพื่อนนะลูก” ภาคภูมิยิ้มให้ลูกสาว
“ค่ะพ่อ” ปวีณาในชุดครุยที่แสนสง่างามเดินไปถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกัน โดยมีกลุ่มรุ่นน้องมาล้อมวงบูมเชียร์คณะอำลารุ่นพี่เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากบูมเสร็จปวีณาและพรรคพวกก็จับกลุ่มกันเซลฟี่ เพื่อบันทึกภาพความสำเร็จของชีวิตไว้ในความทรงจำ
ขณะเดียวกัน เจนรบกำลังง่วนอยู่กับงานเอกสารด้านกฎหมายบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน หนุ่มใหญ่เดินไปชงกาแฟแล้วกลับมานั่งทำงานบนโต๊ะ พอรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่การงาน เจนรบก็เลยเปิดเฟซบุ๊กดูข่าวสารบ้านเมืองแก้เซ็งไปตามเรื่อง จนมาสะดุดกับภาพการรับปริญญาของปวีณาอยู่
เจนรบยิ้มบางๆ เมื่อเห็นภาพปวีณาในชุดครุย... ภาพอดีตเมื่อสามสิบปีก่อนซ้อนทับขึ้นมา วันที่เขารับปริญญาด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า มองเพื่อนรักกับอดีตคนรักมีความสุขโดยที่ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์... แต่มาวันนี้... เขากำลังมองภาพบัณฑิตสาวคนสวยตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยความรักและความหวัง... ขอบคุณโชคชะตา... ขอบคุณปลา... ที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตที่เคยขาดหายของเขา... อดีตคือบทเรียน แต่นับจากนี้ไป เขาจะมีเพียงปัจจุบันและอนาคตที่สดใส... เคียงข้างเธอ
เจนรบยิ้มที่มุมปาก พอเห็นปวีณาในชุดครุยแล้ว หนุ่มใหญ่ก็อดคิดถึงอดีตสมัยที่เขารับปริญญากับไอ้ภาคไม่ได้ มันผ่านมากี่ปีแล้วนะ? สามสิบปีน่าจะได้ แล้วภาพความทรงจำในอดีตที่เลือนลางไปบ้างตามกาลเวลา ก็ฉายซ้ำกลับมาให้ทนายความได้นึกถึง
“ใครเป็นเด็กคณะนิติศาสตร์ ขอถ่ายรูปหน่อยครับ” ช่างภาพที่ถูกจ้างมากวักมือเรียกนิติศาสตรบัณฑิตป้ายแดงที่เพิ่งเดินออกมาจากหอประชุมเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนอำลา ภาคภูมิและเจนรบเดินไปจับกลุ่มกับพรรคพวกที่เหลือ และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนอำลา
“ไอ้จอม จบปริญญาตรี แล้วชีวิตมึงจะเอายังไงต่อ?” ภาคภูมิเอ่ยปากถามเพื่อนสนิท
“กูจะเรียนต่อปริญญาโท แล้วก็สอบเป็นทนายความ” เจนรบตอบ “แล้วมึงล่ะ?”
“กูว่ากูอาจไปเรียนต่อเมืองนอก” ภาคภูมิตอบด้วยสีหน้าที่ดูมั่นใจ “กูตั้งใจว่าถ้าเรียนจบแล้วจะกลับมาช่วยกิจการพ่อกับแม่กูที่เชียงใหม่ แล้วก็ขอเปิ้ลแต่งงาน”
“อืม…” เจนรบพยักหน้า ภาคภูมิสังเกตว่าเพื่อนรักดูเศร้าสร้อย ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรไปพูดอะไรแบบนั้น
“กูขอโทษทีเพื่อน กูไม่น่าพูดแบบนั้นเลย” ภาคภูมิรีบเอ่ยปากทันที
“ช่างเถอะ” เจนรบยิ้ม “กูไม่เป็นไร รักกันให้ดีละ”
“ภาค!! จอม!!” ปิยะวรรณในชุดครุยคณะอักษรศาสตร์เดินตามออกมาจากหอประชุม หญิงสาวโบกมือทักทายสองหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวกูต้องไปก่อนนะ กูมีธุระ” เจนรบตบบ่าเพื่อนรัก
“อะไรวะ? จะรีบไปไหนเนี่ยมึง?” ภาคภูมิตอบ
เจนรบยิ้มกริ่มไม่พูดอะไร ก่อนเดินออกจากหน้าหอประชุมไปหาพ่อกับแม่ที่ขับรถมารับเขาเพื่อกลับไปเลี้ยงฉลองที่บ้าน ส่วนปิยะวรรณก็แปลกใจไม่น้อย ที่เจนรบปลีกตัวออกไปก่อนแบบนั้น
“ภาคคุยอะไรกับจอม?” ปิยะวรรณทำเสียงตำหนิภาคภูมิ “ไปพูดอะไร จอมถึงได้เดินหนีไปแบบนั้น?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ภาคภูมิปฏิเสธ “ว่าแต่วันนี้เปิ้ลสวยมากเลย”
“จริงเหรอ!?” ปิยะวรรณยิ้มหวาน หญิงสาวใช้มือทัดปอยผมไว้ข้างหู “เนี่ย เปิ้ลตื่นตั้งแต่ตีสี่มาแต่งหน้าทำผมเพื่อวันนี้เลยนะ”
แล้วภาคภูมิกับปิยะวรรณก็พูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ในขณะที่เจนรบเดินขึ้นไปนั่งเบาะหลังรถที่พ่อกับแม่ขับมารับไปเลี้ยงฉลองว่าที่บัณฑิตใหม่ที่บ้าน
เจนรบหันไปมองภาคภูมิและปิยะวรรณหยอกล้อกันอย่างมีความสุข โลกของทั้งคู่อบอวลไปด้วยความรักเหลือเกิน แต่โลกของเจนรบนับตั้งแต่นี้ไป จะมีเพียงแต่ความเดียวดาย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเป็นทนายความให้ได้ เรื่องอื่นที่ไม่ใช่สาระสำคัญต้องตัดทิ้งไปก่อน โดยเฉพาะเรื่องของความรัก เจนรบรู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เขาจะทำใจลืมปิยะวรรณได้ในเร็ววัน
หลังจากนั้น เจนรบก็ไปฝึกงานกับสำนักงานทนายความของญาติและเรียนต่อปริญญาโทควบคู่ไปด้วย เขาใช้เวลาไปกับการทบทวนตำราเพื่อสอบเป็นทนายความให้ได้ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้
“ทำไมคุณถึงอยากเป็นทนาย คุณเจนรบ?” อาจารย์ผู้ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการในการคัดเลือกทนายความเอ่ยปากถามเจนรบในวันสอบปากเปล่า
“ผมอยากใช้ความรู้ความสามารถของผม ช่วยเหลือผู้คนที่ถูกข่มเหงรังแก และรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายครับ” เจนรบตอบอย่างฉะฉาน ท่ามกลางสายตาของคณะกรรมการที่มองเจนรบด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“พูดจาฉะฉานดี” คณะกรรมการรายหนึ่งเอ่ยปาก “ผมชอบในความมีอุดมการณ์ของคุณนะ คุณเจนรบ ประเทศไทยต้องการคนหนุ่มไฟแรงแบบคุณมาเป็นกำลังหลักของชาติ พวกเราคาดหวังกับคุณไว้มากนะ คุณเจนรบ”
เจนรบผ่านบททดสอบมากมาย ทั้งภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีจนในที่สุดเขาก็ได้เป็นทนายความหนุ่มสมใจ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานและช่วยเหลือผู้คน จากคดีเล็กๆ เริ่มพัฒนาไปสู่คดีที่ใหญ่ขึ้น จนทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังและได้รับการยอมรับมากขึ้น
เขามุ่งมั่นกับการทำงานเป็นทนายความ จนพ่อของเขาเสียชีวิตไปด้วยโรคร้าย เหลือเพียงแต่แม่ แม่ของเจนรบขอร้องให้เขาหาภรรยาเป็นตัวเป็นตน เพราะความเป็นห่วง กลัวว่าสุดท้ายแล้วลูกชายจะต้องอยู่คนเดียวจนแก่ แต่เจนรบกลับบ่ายเบี่ยง อ้างว่าติดงาน จนแม่ของเขาเสียชีวิตไปในตอนที่เจนรบมีอายุได้ 40 ปี
แม่ของเจนรบเคยเปรยไว้ว่าก่อนตาย เธออยากเห็นเจนรบเป็นฝั่งเป็นฝา อยากเห็นหน้าหลาน แต่น่าเสียดายที่เจนรบทำให้แม่ไม่ได้ ในงานศพของแม่ เจนรบต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวเพราะเสียใจที่ไม่สามารถทำตามคำขอร้องของแม่ได้ ก็เลยยิ่งทำให้เขาปิดกั้นหัวใจตัวเองหนักขึ้นไปอีก
เจนรบนั่งจิบกาแฟแก้ง่วงในช่วงเช้ามืดที่สนามบินเชียงใหม่เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพ เมื่อคืนเขาได้รับข้อความจากน้องปลาว่าถ้าหากลงไปเที่ยวกรุงเทพจะไปเยี่ยม
“ลุงจอม ไว้ถ้าหนูลงไปเที่ยวกรุงเทพ หนูจะไปเยี่ยมนะคะ”
“ได้ซิจ๊ะ แต่ถ้าจะมาวันไหนก็บอกลุงล่วงหน้านะ จะได้นัดเจอได้”
“ค่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะคะลุงจอม ปลาเป็นห่วง”
เจนรบยิ้มหวานให้กับข้อความของปวีณา มันนานมาแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจอะไรแบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากไปเจอลูกปลาตอนนี้เดี๋ยวนี้ แต่คงทำไม่ได้ เพราะติดธุระด่วน เลยต้องบินกลับกรุงเทพ
“ลุงก็คิดถึงหนู ไว้ถ้าลุงเคลียร์ธุระอะไรเรียบร้อย ลุงจะมาดำเนินเรื่องสู่ขอหนูกับไอ้ภาคและเปิ้ลนะจ๊ะ”
“ค่ะ ปลาจะรอนะคะ” ลูกปลาพิมพ์ตอบกลับมา พร้อมตบท้ายด้วยรูปตัวการ์ตูนน่ารัก
เจนรบยิ้ม ก่อนปิดหน้าจอสมาร์ทโฟน เพื่อเตรียมพร้อมขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร เพื่อเคลียร์ธุระที่ยังคั่งค้างอยู่มากมาย หลังจากที่ภารกิจพิชิตหัวใจว่าที่พ่อตาและแม่ยายอย่างภาคภูมิและปิยะวรรณได้เป็นผลสำเร็จ
หนุ่มใหญ่อยากจะกลับลงไปเคลียร์งาน เก็บเงินให้ได้อีกสักหน่อย เพราะคิดว่าถ้าจะไปขอน้องปลามาแต่งงาน ก็อยากจัดงานให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติสมฐานะเสียหน่อย ในฐานะที่ฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ของภาคเหนือและเป็นเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง
แน่นอน มันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความรักระหว่างเจนรบและปวีณา จะต้องตกเป็นข้อครหาของผู้คนในสังคม แต่ในเมื่อคนสองคนรักกันแล้ว เรื่องความต่างของวัยไม่ใช่ปัญหา และพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ยินยอมแล้ว เจนรบก็ไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรอีก เพราะที่ผ่านมา เขาแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมาพอแล้ว นับจากนี้ไป เขาอยากจะแคร์ความรู้สึกของตัวเองบ้าง จะเป็นอะไรไป
มันคือการรอคอยที่นานแสนนานเหลือเกิน สำหรับเจนรบ จากความรักที่ไม่สมหวังกับปิยะวรรณผู้เป็นแม่ ก็เลยทำให้เขาครองตนเป็นโสดมาตั้งแต่หนุ่มจนวัยล่วงเลยสู่หลักห้า จนได้มาพบรักกับปวีณา ว่าที่นิเทศศาสตรบัณฑิตป้ายแดงลูกสาวคนสวยของภาคภูมิเพื่อนรักและปิยะวรรณคนรักเก่า ซึ่งก็ถือได้ว่า การรอคอยที่แสนยาวนานนี้ได้จบลงเสียที
เวลาผ่านไปอีกราวสองปี น้องอุ้มบุญ กันยกร ในวัยสามขวบ กำลังอยู่ในช่วงวัยแห่งการเรียนรู้และพลังงานอันล้นเหลือ บ้านหลังใหญ่ของเจนรบและปวีณาที่เคยมีแต่ความสงบ (หรือความหวานชื่นของคู่รัก) บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงเรียก “พ่อจ๋า” “แม่จ๋า” และเสียงวิ่งตึงตังของเจ้าตัวเล็กที่พร้อมจะสำรวจโลกกว้างตลอดเวลาเช้าวันเสาร์ เจนรบในวัยใกล้จะเกษียณอายุราชการ ถ้าหากเขารับราชการ แต่ในความเป็นจริงคือทนายความอาวุโสชื่อดังวัย 56 ปี ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเล็กๆ ที่ดังอยู่ข้างเตียง“พ่อจ๋า...ตื่น...เล่น...” น้องอุ้มบุญในชุดนอนลายการ์ตูน กำลังใช้มือป้อมๆ เขย่าแขนพ่อปลุก ดวงตากลมใสแป๋วแหววไร้เดียงสา“อุ้มบุญเหรอลูก?” เจนรบลืมตาขึ้น ปากก็ยิ้มรับลูกสาว แต่ร่างกายกลับประท้วงเบาๆ ด้วยความปวดเมื่อยหลังจากโหมงานเอกสารและเตรียมตัวสำหรับรายการทีวีมาทั้งสัปดาห์ “จ๊ะลูก...พ่อตื่นแล้ว...แต่อุ้มบุญให้พ่อพักอีกแป๊บได้ไหมจ๊ะ?”“ม่ายอาววว...เล่นเยย...” เด็กน้อยไม่ยอมง่ายๆ เริ่มปีนขึ้นมาบนเตียง ทิ้งตัวลงบนอกพ่ออย่างแรง“โอ๊ย!! จุกนะลูก!!” เจนรบร้องเบาๆ แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ คว้าตัวลูกสาวมากอดฟัด จั๊กจี้จนเสียงห
เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอเพียงชั่วพริบตาเดียว นางฟ้าตัวน้อยของบ้านทนายเจนรบและปวีณา—เด็กหญิงกันยกร หรือน้องอุ้มบุญ—ก็อายุครบหนึ่งขวบพอดิบพอดี จากทารกน้อยที่นอนร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขน วันนี้กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เริ่มตั้งไข่ หัดเดินเตาะแตะ และส่งเสียงอ้อแอ้เรียก “ป้อ” “แม่” ได้เป็นคำๆ สร้างความสุขและความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านหลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์“ป้อ!! ป้อ!! แม่!!”“น่ารักน่าชังจริง ๆ ลูกพ่อ!!”“หนึ่งขวบแล้วน๊า น้องอุ้มบุญ!!”เช้าวันเกิดขวบปีแรกของน้องอุ้มบุญอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของแพนเค้กฟักทองเนื้อนุ่มที่ปวีณาตั้งใจทำให้ลูกสาวเป็นมื้อพิเศษ เจนรบนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายตาจับจ้องมองสองแม่ลูกด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาแทบไม่เชื่อว่าชีวิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ จากทนายความผู้เคยใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว มีแต่งานเป็นเพื่อน ตอนนี้เขากลายเป็น “พ่อ” เต็มตัว เป็นสามีของหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ และเป็นโลกทั้งใบของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังใช้มือเล็กๆ พยายามหยิบแพนเค้กเข้าปากอย่างเงอะงะ“ค่อย ๆ ซิจ๊ะลูกแม่ เลอะหมดแล้วเห็นไหม” ปวี
พาดหัวข่าวตัวไม้บนหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับ และฟีดข่าวที่ร้อนแรงในโลกโซเชียลมีเดีย ต่างประโคมข่าว ‘วิวาห์หวานชื่น…ทนายดังต่างวัยคว้าลูกสาวเพื่อนสนิทเข้าประตูวิวาห์’ ภาพของเจนรบ ทนายความชื่อดังขวัญใจคนยากจน วัย 54 ปี ในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ยืนเคียงข้าง ปวีณา เจ้าสาวแสนสวยวัย 22 ปี ทายาทคนเล็กของนักธุรกิจรีสอร์ตหรูแห่งเชียงเหนือ ในชุดไทยล้านนาประยุกต์อันงดงาม กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เพียงชั่วข้ามคืนคอมเมนต์หลั่งไหลเข้ามามากมายราวกับสายน้ำหลาก บ้างแสดงความยินดี บ้างตั้งคำถามถึงความเหมาะสม บ้างก็อดอิจฉาเจ้าบ่าวสูงวัยที่ได้ภรรยาสาวสวยราวกับนางฟ้ามาครองไม่ได้“อิจฉาคนแก่ว่ะ! มีดีอะไร สาวสวยถึงได้ยอมแต่งด้วย?”“สายเปย์รึเปล่า? แต่บ้านฝ่ายหญิงก็รวยนะ”“ไม่แน่...ฝ่ายชายอาจจะเกาะฝ่ายหญิงก็ได้ ใครจะรู้”“หรือว่าเขารักกันจริงๆ ความรักมันไม่เกี่ยวกับอายุหรอกน่า อย่าคิดอกุศลเลย”เจนรบและปวีณาเตรียมใจรับมือกับกระแสสังคมเหล่านี้ไว้แล้ว ทั้งคู่เลือกให้สัมภาษณ์กับสื่อเพียงไม่กี่แห่งเท่าที่จำเป็น โดยเน้นย้ำถึงความรักความเข้าใจที่ทั้งสองมีให้กัน และการยอมรับจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย พวกเขาไม่ได
“ทำไมหนูไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะว่าจะทำงานอยู่กรุงเทพ?” เจนรบเอ่ยปากถามปวีณา“หนูบอกแล้ว แต่พ่อกับแม่ไม่ยอม” ปวีณาตอบ “ลุงจะให้หนูทำยังไงละคะ?”ปวีณาบอกกับเจนรบว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ภาคภูมิและปิยะวรรณเรียกเธอกลับไป ช่วยงานธุรกิจรีสอร์ตทางบ้านที่เชียงใหม่ระหว่างรอรับปริญญาตรีและไปเรียนต่อปริญญาโทที่ อเมริกา เจนรบเริ่มรู้สึกว่ามันคือแผนการที่เพื่อนรักทั้งสองคิดเอาไว้ คือไม่ปฏิเสธ การคบหากันของเจนรบและปวีณา แต่จะใช้วิธีแยกให้คนทั้งคู่ห่างกันไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเจนรบและปวีณาก็ห่างจนต่อกันไม่ติดในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ภาคภูมิส่งคนมาช่วยขนของกลับบ้านที่เชียงใหม่ และไม่เปิดโอกาสให้ปวีณาได้ร่ำลาเจนรบ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ช่วงเวลาที่แสนหวานของเจนรบและปวีณากำลังจะจบลง แต่โชคยังดีที่มีสื่อโซเชียล เลยทำให้เจนรบและปวีณาได้พูดคุยกันผ่านทางไลน์ เด็กสาวบอกกับเจนรบว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เธอไปช่วยงานธุรกิจที่บ้านระหว่างรอรับปริญญา“ลุงจอม…” ปวีณาไลน์คุยกับเจนรบ “หนูว่าพ่อกับแม่กำลังพยายามกีดกันหนูจากลุง”“ไม่ต้องกลัวนะปลา” เจนรบไลน์ตอบ “ลุงจะขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไปคุยกับไอ้ภาคและเปิ้ล ลุง
ตอนนี้ปวีณากำลังศึกษาอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ในชั้นปีที่สี่ อีกแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น สาวน้อยก็จะเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี และเตรียมพร้อมสู่การเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาภาคภูมิและปิยะวรรณตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยอมเปิดทางให้เจนรบและปวีณาได้คบหากัน พอได้รับไฟเขียวจากเพื่อนรักและอดีตแฟนเก่าเช่นนั้น เจนรบก็รับปากว่าจะขอดูแลลูกปลาเป็นอย่างดี และจะรอคอยจนกว่าเธอจะเรียนจบปริญญาโท เมื่อถึงตอนนั้น คู่สามีภรรยาทั้งสองถึงจะยินยอมให้เจนรบและปวีณาได้ครองคู่กันฟังดูความรักระหว่างเจนรบและปวีณากำลังไปได้สวย แต่ว่าด้วยระยะทางและภาระหน้าที่ของแต่ละคน เจนรบวุ่นวายกับการเดินทางไปถ่ายทำรายการกฎหมายน่ารู้ทางโทรทัศน์ และล่าสุดเจนรบได้เปิดช่องยูทูบเพื่อทำเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อให้ความรู้ผู้คนทั่วไปเพื่อหารายได้เสริม ส่วนหนังสือกฎหมายที่เพิ่งตีพิมพ์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนอ่าน ด้วยภาษาเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยทำให้หนังสือกฎหมายของเจนรบได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองและสามตามลำดับฝ่ายเจนรบเอง ก็ครุ่นคิดว่าช่วงนี้แทบไม่ได้เจอปลาเลย งานของเขาก็ยุ่ง ส
หลังจากสอบเสร็จปลายภาคในช่วงชั้นปีที่สาม เจนรบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป หนุ่มใหญ่ตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพมหานครมุ่งตรงสู่เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนรักทั้งสองอย่างตรงไปตรงมาเสียที“ลุงจอม? ไหนลุงว่าจะรอให้หนูเรียนจบปริญญาตรีก่อนไง?” ปวีณาที่กลับเชียงใหม่ไปก่อนแล้วถึงกับตกใจ เมื่อทราบข่าวว่าลุงจอมตัดสินใจจะเดินทางตามมาด้วยเพื่อพูดคุยกับภาคภูมิและปิยะวรรณถึงเรื่องขอหมั้นหมายกับเธอก่อน “ถ้าพ่อกับแม่หนูรู้ หนูตายแน่!!”“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงคิดว่าไอ้ภาคกับเปิ้ลน่าจะมีเหตุผลพอ” เจนรบตอบ ขณะกำลังเตรียมขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวลุงต้องขึ้นเครื่องก่อน แล้วเจอกันที่เชียงใหม่นะคนดีของลุง”สุดท้ายปวีณาก็ไม่อาจทัดทานความต้องการของเจนรบได้ สาวน้อยเลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับปิยะวรรณผู้เป็นแม่ ที่รับรู้ทุกอย่างและมีเหตุผลมากพอที่จะรับฟังเธอ“มีอะไรเหรอจ๊ะปลา?” ปิยะวรรณที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจเอกสารในห้องทำงานของตัวเองเอ่ยปากถามลูกสาว“เอ่อ…หนูมีเรื่องสำคัญจะมาบอกแม่ค่ะ” ปวีณาเดินเข้ามาด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ