เสวี่ยเหมยนางรู้สึกว่าท้องน้อยๆ ของนางนั้นเหมือนมีกระแสอุ่นๆ ไหลเข้ามาเป็นสายไม่ขาด ไหลผ่านลำคอจนร้อนผ่าว แต่แล้วปากนางก็เผลอคายออกไปเสียนี่
ไม่นะ! นางต้องการอีก ได้โปรดเถอะ
“เหมยเอ๋อร์ นางชอบดื่มนมเจ้าถึงเพียงนี้” เสียงหัวเราะน้อยๆ ของบุรุษค่อยๆ ดังขึ้น เรียกสติสัมปชัญญะของเสวี่ยเหมยขึ้นมาอย่างแจ่มชัด
ฉับพลัน ดวงตานางเบิกโพล่งทันที
นี่นางถึงกับดื่มนม นางดื่มนม! เด็กทารกปกติคนอื่นจะมีใครที่มาคอยรับรู้ว่าตัวเองดื่มนมจากเต้ากัน มีแต่นางเท่านั้นหรือที่ได้สัมผัส สวรรค์ ท่านกำลังลงโทษหรือช่วยเหลือนางอยู่กันแน่ ให้นางไม่ต้องรับรู้เหมือนเด็กคนอื่นได้หรือไม่ แต่..นางกลับปฏิเสธไม่ได้ว่ารสน้ำนมที่กำลังอบอวลอยู่ในปากเล็กนั้น ช่างหอมหวานชวนให้คิดถึงยิ่งนัก
ช่างเถอะ... ดื่มก็ดื่ม ไม่ใช่เรื่องยาก เด็กทารกอย่างนางจะกินอะไรได้เล่าตอนนี้
“นางน่าชังนัก ลูกของข้า ‘เสวี่ยเหมย’ ” เสียงของสตรีที่นางจับจองไว้เป็นมารดาในชาตินี้ดังขึ้น ข้างๆ ของนางมีบุรุษอยู่ด้วยอีกคน เสวี่ยเหมยจึงนึกคิดสักครู่...
งั้นท่านก็เป็นบิดาข้าก็แล้วกัน
เสวี่ยเหมยรึ... อา ชื่อนี้นับว่าไม่เลว คิดได้ดังนั้นเปลือกตาน้อยๆ ของทารกก็ค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง ภาพจำต่างๆ ว่านางเป็นใคร เคยมีชื่อว่าอย่างไร มาจากที่ไหน ก็ค่อยๆ จางลงช้าๆ ไปพร้อมกับความรักอันอบอุ่น แสนบริสุทธิ์อย่างหาได้ยาก เพิ่มเข้ามาในใจนางเป็นเวลาเดียวกัน
ณ จวนแม่ทัพใหญ่เมืองหมาน ทิศทักษิณ ในแคว้นฝูหยวน
“อาเหว่ย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น อย่ามาหลบข้า ข้าเห็นชายเสื้อของเจ้าแล้ว”
จางเหว่ยบุตรชายของจางจิ้งวัยสิบสามปีถอนหายใจอย่างแรงก่อนค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหลังพุ่มไม้ใหญ่ที่เขาซ่อนอยู่
“คุณหนูใหญ่ ปล่อยข้าไปฝึกยุทธ์เถอะ เกรงว่าอาเหล่ยคงฝึกแซงหน้าข้าไปหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว”
“เรื่องนั้นย่อมได้ แต่ข้าขอตามไปฝึกด้วย” ได้ยินดังนั้นเด็กชายก็สะดุ้งโหยง
นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพเชียวนะ! เรื่องอย่างสตรีเหตุใดไม่ทำ มารบเร้าขอไปฝึกฆ่าฟันเยี่ยงบุรุษ ชายใดจะมาแต่งกับท่านกันแบบนี้ เสียงของจางเหว่ยกึกก้องถามตัวเองในหัว แต่กลับหาได้มีผู้ใดตอบไม่ จะมีผู้ใดรับรู้เรื่องปวดหัวของเขาได้อีก
“คุณหนูเจ้าคะ” ทันใดนั้นเหมือนจางเหว่ยเห็นเทพธิดาน้อยจากฟากฟ้าลงมาช่วย เสียงของนางสดใสราวกระดิ่งเงินเล็กๆ ที่ถูกกระแสลมพัดโดนเบาๆ อย่างไม่ตั้งใจ
เสวี่ยเหมยไม่ได้หันไปมองแต่อย่างใด แต่บุรุษข้างๆ นางกลับหันไปเสียรวดเร็ว จนเสวี่ยเหมยได้แต่คิด
ฮึ อาเหว่ยเอ๋ย เจ้านี่มันเก็บซ่อนอารมณ์ไม่เก่งจริงๆ โดนแม่นางน้อยวัย ‘ห้าขวบ’ เช่นข้าเห็นยังไม่รู้ตัวอีก
“เจ้ากลับมาแล้ว อาซิง” ในที่สุดนางก็หันไปมองทางต้นเสียง ดรุณีน้อยวัยสิบปีต้นๆ ซึ่งตอนนี้อยู่ในวัยกำลังแรกแย้มทีเดียว ยิ้มของซิงซิงสดใส ทำให้ผู้ใดที่พบเห็นเป็นต้องหลงรักเด็กสาวนางนี้
ซิงซิงมองไปยังคุณหนูของนาง เวลานี้คุณหนูของนางอายุเพียงห้าปี แต่นิสัยการพูดการจาของนางนั้น ดูโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านางที่เป็นสาวใช้เสียอีก นี่คือสิ่งที่นางภูมิใจ! คิดได้ดังนั้นซิงซิงก็ยิ้มกว้างขึ้น ตาทั้งสองข้างหยีเป็นเส้นตรงพาให้คนเอ็นดูยิ่งนัก
“เจ้าไปตลาดเสียนานเสี่ยวซิง ดูสิข้าเกือบโดนคุณหนูหลอกให้พานางไปฝึกยุทธ์อยู่แล้ว” เสียงของเด็กชายดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังกล่าวต่อไปอีกว่า “นางตัวแค่นี้ แต่วิชาของนางจะเทียบเคียงข้าและอาเหล่ยได้อยู่แล้ว เจ้าพาคุณหนูไปหัดดีดพิณ เขียนกลอนเสียเถิด เดี๋ยวนี้เลยยิ่งดี!”
เสียงของจางเหว่ยบ่นดังขึ้นมาไม่หยุดไม่หย่อน เสวี่ยเหมยทนฟังไม่ไหวเลยแอบลาก ‘คนงามน้อย’ ของเขาออกมาอย่างเงียบๆ พอจางเหว่ยรู้ตัวก็ตะโกนลั่นเสียงดังทั่วจวน “นี่! คุณหนูใหญ่ พวกท่านจะทิ้งข้ารึ!”
เสียงคำรามบุรุษน้อยดังลั่น เสียงสตรีน้อยรับตาม หัวเราะใสกังวานทั่วจวนแม่ทัพในเวลาจวบเย็นยามเซิน1
เมื่อกลับมาถึงเรือนเยว่เหมย เสวี่ยเหมยนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาต่างๆ
จวนแม่ทัพนับว่าทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม่ทัพใหญ่ ‘เสวี่ยถง’ บิดาของนางนั้น ในยุคนี้อาจจะโดนผู้คนกล่าวหาได้ว่ากลัวภรรยา เพราะพ่อของนางมีฮูหยินในบ้านแค่ท่านแม่ของนางเพียงผู้เดียว แต่ในโลกยุคที่นางตายจากมาถือว่าเป็นบุรุษที่ใครๆ ต่างก็ต้องการ แม่ของนาง ‘เหยียนเยี่ยน’ เป็นเพียงบุตรสาวของพ่อค้าธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นฝั่งท่านตาของนางชื่อเสียงก็นับว่ามีไม่น้อย มองเข้าไปในเมืองหลวง การค้าหลายอย่างนั้นเป็นของตระกูลเหยียน หอสุรานับไปจนถึงร้านเครื่องประดับเสื้อผ้าทั้งหลายก็ล้วนใช่
แต่ตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพกลับกลายเป็นแม่ของนางอย่างง่ายดาย ผู้คนต่างนึกอิจฉามารดาของนางไม่น้อย แม้ฮูหยินชราตระกูลเสวี่ยจะโน้มน้าวให้ตำแหน่งนางเป็นเพียงอนุ ท่านพ่อก็หาได้ยอมไม่
นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น ก็ผ่านล่วงเลยมาห้าปีเลยทีเดียว เป็นห้าปีที่ไม่ต้องไปเสียเงินเรียนรู้ภาษา จ้างอาจารย์แพงๆ มาสอน ก็อย่างที่ว่าเด็กที่ไปเกิดและเติบโตต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก ถึงพูดได้แม้จะไม่ใช่ประเทศตัวเอง
และก็เป็นห้าปีเช่นกันที่นางได้มีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา เพียงเพราะนางมีพ่อแม่อย่างคนอื่นเขาเสียที ชีวิตใหม่นี้ที่สวรรค์มอบให้ นางก็นับว่าคุ้มแล้ว…
ณ วังหลวง แคว้นฝูหยวน ในเมืองฟาไฉ่
เสียงเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังนั่งหัวเราะกันอย่างสนุกสนานในสวนดอกไม้หลวง เสียงใบไม้บรรเลงเพลงแว่วเสียดสีกันดั่งกับกำลังเกี้ยวดอกไม้สาวอยู่รำไร กระทบกันไพเราะเสนาะหู ลมเย็นพัดโชยมาจนแทบอยากจะเคลิ้มหลับลงไปบนพื้นหญ้านุ่มๆ ในตอนนี้เสียจริง มองลึกเข้าไปในกลางสวนเห็นเหล่าองครักษ์ยืนอยู่ด้านหลังพวกกลุ่มเด็กหนุ่มน้อยใหญ่ทั้งหลาย ฉับพลันก็มีเสียงหนึ่งกล่าวแทรกขึ้นมา
“แล้วบุตรสาวในจวนแม่ทัพเล่า สหายของน้องสี่รู้หรือไม่ ข้าเคยได้ยินมาว่านางฉลาดนัก” เมื่อจู่ๆ คำถามนี้ดังแทรกขึ้นมาเหล่าองค์ชายทั้งหลายกลับพากันตัวแข็งค้าง ทุกสายตาหันไปมองเจ้าของคำถามเป็นตาเดียว
ทั้งที่เมื่อกี้ ‘องค์ชายสาม’ ผู้นี้ไม่พูดไม่จา จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาจึงพาทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน
เหล่าองค์ชายทั้งหลายที่นั่งสนทนากัน ยามนี้มีองค์รัชทายาทร่วมวงด้วย โดยที่องค์รัชทายาทหรือองค์ไท่จื่อนี้เป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาและได้นามว่า ‘ฝูอี้หลาน’ องค์ชายสี่ ‘ฝูอี้ไจ่เยี่ย’ ที่เป็นผู้เปิดประเด็นสนทนามานั้นเกิดมาจาก เสียนเฟย องค์ชายสี่นั้นมีสหายจากด้านนอกวังหลวงไว้คอยส่งข่าวสารบ้านเมืองไม่ขาด องค์ชายใหญ่ ‘ฝูอี้เจิ้ง’ เกิดจากกุ้ยเฟยได้แต่นั่งฟังเงียบๆ และยังไม่ทันได้กล่าวอะไรก็ประหลาดใจไปกับองค์ชายสาม ‘ฝูอี้หรงจวิ้น’ ไปเสียก่อน
ฝูอี้หรงจวิ้นคือโอรสอีกองค์ที่เกิดจากฮองเฮา เป็นสายเลือดแท้ๆ มารดาเดียวกันกับองค์รัชทายาท ส่วนองค์ชายรองนาม ‘ฝูอี้เฮยจิ่น’ เป็นโอรสเกิดจากเต๋อเฟยเขานั่งฟังอย่างตั้งใจ โดยข้างๆ มีองค์ชายห้าที่มารดาอยู่ในตำแหน่งเป่าหลิน นามว่า ‘ฝูอี้หย่ง’ ที่กำลังพากันสะกิดดูพี่สามน้องสามของตนเองทั้งคู่
“พี่สาม ไม่ยักรู้ว่าท่านสนเรื่องสตรีด้วย แต่ข้าว่าท่านอย่าไปอะไรกับบุตรสาวแม่ทัพเลยเถอะ ถึงนางจะฉลาดแต่เกรงว่าวันหน้าคงมีคนจะแต่งนางยาก” เสียงหัวเราะก้องดังขององค์ชายสี่กระเพื่อม พาพัดให้ใบไม้พลิ้วไหวไปตามเสียงหัวเราะ
“ทำไม” หน้าตาของเด็กหนุ่มวัยสิบสองปี ขมวดคิ้วเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย
“น้องสาม เจ้าสนใจนางจริงๆ รึเนี่ย” เมื่อคำถามที่องค์รัชทายาทถามออกไป เต็มไปด้วยความอยากรู้ของเหล่าองค์ชายที่เหลือ แต่รออยู่นานแล้วน้องชายในไส้เดียวกันดันไม่ตอบเสียที จึงกล่าวต่อไปว่า “ได้ยินว่านางเป็นหญิงแต่กลับเรียนอย่างเด็กชาย มีลูกสาวบ้านใดกันทำเช่นนี้”
ฝูอี้เจิ้งพลันกล่าวแทรก “จะว่าไปเมื่อสองปีก่อนจวนแม่ทัพได้คลอดแม่ทัพน้อยไว้สืบทอดหน้าที่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวว่า ว่าที่ภรรยาจะโดนตำแหน่งผู้สืบทอดแม่ทัพแย่งไป” องค์ชายใหญ่กล่าวเสร็จก็พากันหัวเราะก้องดังในสวนดอกไม้หลวงแห่งนี้
ยามนี้หรงจวิ้นไม่ได้ตอบอะไร แล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า องค์ชายสามผู้นี้นั้นคิดสิ่งใดอยู่เหตุใดจึงได้เหม่อลอยไปเช่นนี้
“ข้าได้ยินว่า บุตรสาวท่านอัครเสนาบดีนั้นงามยิ่ง วันหน้าจะต้องเป็นโฉมสะคราญในเมืองฟาไฉ่ของเราเป็นแน่”
สายลมน้อยค่อยๆ พัดพาเสียงของเหล่าองค์ชายลอยออกไป เสียงเล็กใหญ่เริ่มจางหายไปตามแรงลมที่พาพัดให้ปลิวขึ้นไปบนฟากฟ้า
แต่สุดท้ายนี้ก็ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่า องค์ชายสามคิดจินตนาการถึงสิ่งใด รวมถึงตัวหรงจวิ้นเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้
คำตอบนี้เกรงว่าคงต้องถามบุพเพวาสนาเสียแล้ว…
1 ยามเซิน คือ เวลาประมาณ 15.00 น. – 17.00 น.
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในจวนแม่ทัพสือจบลงชินอ๋องก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กำราบชนเผ่าหลาเหม่าจนสิ้น ไม่ให้เหลือรอดมีชีวิตแม้แต่คนเดียว องค์หญิงฝานฮุ่ยเองก็ไม่กลับวังหลวงของแคว้นตัวเองแต่เลือกที่จะอยู่เป็นฮูหยินแม่ทัพอยู่ที่เมืองเหอเถิงชินอ๋องหนุ่มกลับจวนมายามใดเป็นอันต้องกรอกสุราเข้าปากไม่จบไม่สิ้น บางวันถึงขั้นไม่อาบน้ำนอนอยู่ศาลาที่มีหิมะตกลงมาเป็นสาย หมัวมัวและเสี่ยวจูที่ยังร้องจนสองตาปูดบวมอยู่ก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปอีกที่ชินอ๋องเป็นเช่นนี้พระชายาจากไปแล้วไม่หวนกลับ นี่คือเรื่องจริง...หลิงหมัวมัวอุ้มเสี่ยวซื่อจื่อน้อยไว้อย่างดี เด็กน้อยไม่รู้สักนิดว่ายามนี้จวนแห่งนี้กำลังอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า ได้แต่หัวเราะคิกคักชี้ดอกเหมยที่ปลิวไปมาตามสายลมดอกเหมยกลีบหนึ่งร่วงลงมาสัมผัสบนใบหน้าชินอ๋องที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ฉับพลันน้ำตาเขาก็ไหลลงมาไม่หยุด ดอกเหมยกลีบนี้เสมือนภรรยาเขาที่กำลังมาปลอบโยนเขาเช่นทุกครั้ง แต่ดอกเหมยกลีบนี้กลับไม่อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของนางสักนิดไม่มีนางเขาอยู่ไม่ได้ ขอแค่คืนนางกลับมา...“คืนนางมาให้ข้า...” เสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ศัพท์ร้องบอกเบื้องบนหวังว่าจะมีสักคนที่ไ
ในฤดูร้อนที่เมืองหมานของอาณาจักรแคว้นฝูหยวนคนต่างเมืองมักจะชอบมาเที่ยวกันจนเมืองหมานที่ใหญ่เกือบเท่าเมืองหลวงแออัดไปในทันที เสวี่ยเหมยที่ยามนี้เพิ่งจะห้าขวบแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นครั้งแรกเพื่อเปิดหูเปิดตาบ้าง ผู้ใดใช้ให้จางเหว่ยกับจางเหล่ยทิ้งนางไปฝึกวรยุทธ์กัน ส่วนซิงซิงเองก็ทอดทิ้งนางไปปักผ้าอะไรก็ไม่รู้ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นมาส่งนางในห้องแล้วทำเป็นกล่อมนางเข้านอน นางแค่แกล้งหลับตาซิงซิงก็ติดกับแล้ว!เสวี่ยเหมยแอบหยิบถุงเงินที่ท่านตาชอบมอบให้เวลาไปเยี่ยมบ้านนู้นที่นางซุกซ่อนไว้อย่างดีออกมาด้วย นางมองเห็นร้านขนมน้ำตาลปั้นมาแต่ไกล สองตาเล็กก็ลุกวาวด้วยความอยากกินมานาน อยู่ในจวนซิงซิงมักสั่งห้ามนาง บอกว่าเป็นสตรีกินเดือนละครั้งก็พอ ไม่อย่างนั้นสุขภาพฟันจะไม่ดีนางรู้วิธีรักษาหรอก! บังอาจมาบังคับให้เด็กอายุห้าขวบเช่นนางงดกินของโปรดงั้นหรือแต่ใกล้ๆร้านนั้น กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเหม่อลอยอยู่ สายตาของเขากวาดมองผู้ใดอยู่นางก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ยอมมองตามเขาก่อนจะพบว่าเขามองผู้คนถือขนมแล้วกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ช่างน่าสงสารนัก!“ท่านลุงๆ เอาขนมรูปกระต่ายสองไม้เจ้าค่ะ” พ่อค้าขายขนมได้ยินแต่เ
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงจวนแม่ทัพ เสวี่ยเหมยที่นั่งอยู่ในรถม้าเพียงคนเดียว ก้าวลงมาช้าๆ เหมือนเหตุการณ์เดิมทุกอย่างขาดแค่บุรุษเคียงข้างกายเท่านั้น ยามนี้เขาอยู่ซุ่มรอโจมตีกับพวกทหารในใต้บังคับบัญชา แอบแฝงตัวอยู่รอบจวนแม่ทัพโดยที่ซ่อนตัวอย่างดีไม่ให้ใครได้รู้“เกี้ยวแต่งงานขององค์หญิงฝานฮุ่ยแคว้นชุนไห่เสด็จมาถึงแล้ว!”เสวี่ยเหมยมองไปยังขบวนยาวเหยียด ที่ยามนี้เจ้าสาวในเกี้ยวโผล่หัวออกมามองด้านนอกอย่างกับเด็กซนๆ ผู้หนึ่ง สือหลุนอี้ไม่ได้ผงะให้กับเจ้าสาวของเขาอีกต่อไปแต่ทว่าดวงตาบุรุษฉายแววมีความสุขและความอาลัยจนมากล้น“เซียนข้าว!!” ฝานฮุ่ยเห็นร่างที่คุ้นเคยผ่านผ้าคลุมสีแดงผืนบาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมอยู่นางก็จำสหายได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานานเกือบสามเดือน จึงโบกมือให้นางมาแต่ไกล “ข้าอึดอัดจะแย่!”“กลับเข้าไปซะ!” หญู๋เติ้งข่านบังคับม้ามาข้างเกี้ยว ดันหัวน้องสาวกลับเข้าไปตามเดิม นางอายุสิบเก้าแล้วแท้ๆ ยังดื้อดึงไม่เปลี่ยนเลยสักนิดนางมองเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างเหมือนเดิมทุกอย่างเงียบๆ ขอแค่ผ่านตรงนี้ไปได้ทุกคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ขอแค่ผ่านมันไปได้ก็พอหลังจากผ่านพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล
เสวี่ยเหมยพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ดูแล้วเขาไม่ได้มีท่าทีสนิทกับนางเลยสักนิด อาจจะพูดว่าทำตัวห่างไกลเสียด้วยซ้ำ แถมแววตาก็ดูมีความเคารพนางเสียส่วนใหญ่ไม่ใช่!หากเป็นเขาจะต้องเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าเหมยเอ๋อร์ เขาไม่เคยเรียกชื่อนางลักษณะนี้ด้วยซ้ำนอกจากเวลาโกรธ แววตาคู่นั้นก็ไม่ได้มองมาราวกับรักนางอย่างลึกซึ้งเช่นเขา แต่แล้วพอชายหนุ่มตรงหน้าค่อยๆ ถอดผ้าปิดปากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นนางก็แทบจะสลบไปทันที“แม่ทัพสือ”นางจำได้แล้ว! ชายที่ถูกรถชนพร้อมกับนางเป็นเขาย่อมไม่ผิดแน่ ยามนั้นนางเห็นเขาสวมผ้าปิดปากเช่นตอนนี้ แต่ว่าตอนนั้นทั้งคู่ก็สองตาพร่ามัวล้วนจำใบหน้ากันไม่ได้ แต่ยามนี้พอได้เห็นอีกฝ่ายที่เคยพบกันในแคว้นฝูหยวนต่างก็เดาเรื่องราวและจำกันได้ทันทีทั้งสองจึงหาที่นั่งคุยกันพร้อมกับเปิดใจหาคนรักที่โลกอีกโลกหนึ่ง นางได้ยินสือหลุนอี้เล่าว่าเขาเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่ากลับชอบมีแฟนคลับมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ จนเขาต้องสวมผ้าปิดปากไว้ไม่ให้เด่นจนเกิดไป พอกลับมาโลกเดิมเขาวิ่งมาที่ขายไอศกรีมเป็นที่แรกแต่พบว่ามันไม่มีเหตุการณ์เหมือนเดิมแล้ว เขาอยากกลับไปห
“ไม่!” เสวี่ยเหมยหายใจเฮือกใหญ่แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทว่าตัวนางในยามนี้กำลังอยู่บนเครื่องบิน! ไม่ถูก นี่มันไม่ถูกต้อง“ลิสา อย่าเสียงดัง ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ฝันร้ายหรือ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งสะกิดไล่นางเบาๆ แต่ว่าทำไมช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน ไม่จริง! นี่มันไม่จริงล่ะมั้ง“ผิง”เสียงเอ่ยตอบเพื่อนสาวแผ่วเบาออกมาจากปากเล็ก รูปร่างหน้าตาทุกอย่างเหมือนกับเสวี่ยเหมยในแคว้นฝูหยวนทุกอย่าง แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมหน้าตาเช่นนี้จึงกลายเป็นโฉมสะคราญในโลกยุคนั้นได้ ทั้งที่ยุคสมัยปัจจุบันนี้คนหน้าตาสวยกว่านางมีมากถมไป“ไม่สบายเหรอ” ขนมผิงรีบเอามือแตะหน้าผากตัวเธอแล้วก็เพื่อนสาวที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไปพร้อมกัน “ตัวไม่ร้อนนี่นา”เสวี่ยเหมยได้แต่คิดว่าหรือเรื่องทั้งหมดนางแค่ฝันไป หากแต่ถ้าเป็นความฝันไยต้องร้องไห้ออกมาทันทีที่ตื่น หากเป็นความฝันไยต้องเจ็บหน้าอกที่ถูกธนูยิงผ่านไม่จางหาย หากเป็นความฝันใช่ว่านางจะติดอยู่ยาวนานตั้งแต่เกิดจนอายุยี่สิบปีเชียวหรือ! มันย่อมไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง เพียงตื่นขึ้นมาก็เกือบจะจำสหายทั้งสามคนไม่ได้แถมนางยังฟังภาษาของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เ
เผลอครู่เดียวฤดูเหมันต์จะผ่านไปอีกแล้วเสวี่ยเหมยนั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่พลันคิดเงียบๆ ผู้เดียว เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ทั้งที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่นางก็รู้สึกว่ามันดำเนินไปเร็วจริงๆเส้นทางคดเคี้ยวไปมาก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนหลังใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด แม่ทัพสือหลุนอี้แต่งอาภรณ์สีแดงยืนอยู่หน้าจวนแม่ทัพ เวลาผ่านมาเพียงสองปีแต่รูปร่างเขากลับกำยำขึ้นมาไม่น้อยหิมะขาวโพลนตกลงมาไม่หยุด ทั้งที่ปีก่อนปลายเหมันต์หิมะก็เริ่มเบาบางลงมาแล้ว ชินอ๋องหนุ่มนั่งกอดภรรยาที่เหม่อลอยครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่อยากไปรบกวนนางได้แต่ตระกองกอดไว้แนบแน่นให้ความอบอุ่นผ่านกายใหญ่ไปสู่กายเล็กแสนบอบบาง“หรงจวิ้น เราก็ลงกันเถอะ” นางได้สติก่อนจะหันไปหาสามีที่นัยน์ตาเริ่มทอประกายเร่าร้อนขึ้นมา เสวี่ยเหมยจึงรีบตัดความคิดเขาทันที “ลงกันเถอะ!”“เมื่อครู่จะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้ว แต่ถูกเสี่ยวอี้ขัดขวางเสียได้” เขาพูดพร้อมกับใช้มือใหญ่ล้วงเข้าไปในอาภรณ์ร่างบาง นางสั่นสะท้านน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาเขา ให้ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมครึ่งหน้าออกแล้วสอดเรียวลิ้นเย็นเฉียบเข้ามาในโพรงปากควานหาน้ำหวานใน