LOGINด้านมิราจึงได้แต่มองตามหลังคนเป็นพ่อตาละห้อย สีหน้าหงอยเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม ทว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ยังเด็กเธอจึงประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการหนีปัญหาไปอยู่ในที่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเขาคนที่ทำให้ใจดวงน้อยของเธอเจ็บปวดอีก
จากนั้นเธอก็หันกลับมามองข้าวในจานของตัวเองที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะกินไปแค่คำสองคำเป็นคำเล็กๆเพียงข้าวแค่ปลายช้อนเท่านั้น หรือแทบจะไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเงยหน้าพูดกับสาวใช้วัยสามสิบกลางๆ มีนามว่าชมพู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
"พี่ชมพู่เก็บจานเลยค่ะน้องมิอิ่มแล้ว" น้ำเสียงเบาราวกับคนไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น
"ได้ค่ะคุณหนู"
"ไม่ต้อง"
ไม่ทันที่ชมพู่จะเดินมาเก็บจานตามคำสั่งของคุณหนูตัวน้อย ก็ต้องชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เพราะเสียงทุ้มของอีกคนดันเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มจะเดินเข้ามาหาคุณหนูตัวน้อย แล้วหยุดยืนอยู่ข้างเธอที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคู่คมมองใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา ซึ่งเขาไม่ชอบเลยที่แววตาของเธอตอนนี้มีแต่ความเศร้า เพราะเธอเหมาะที่จะยิ้มและมีดวงตาที่สุกใสมากกว่า
"กินข้าวให้หมดจานด้วยครับ" เขาบอกกับเด็กสาวประหนึ่งเป็นคำสั่งด้วยความเป็นห่วง เพราะเขามองเธออยู่ตลอดและเห็นว่าเธอแทบจะไม่ได้ตักข้าวเข้าปากเลยด้วยซ้ำ
ด้านมิรามองคนตรงหน้านิ่งๆ โดยไม่พูดหรือคิดจะกินข้าวตามคำสั่งของเขาเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเบี่ยงตัวหลบร่างสูง เลือกที่จะเดินผ่านเขาไปเลย แต่ทว่า
"ดื้อ! เด็กดื้อไม่น่ารักรู้ไหมครับ" เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลังขณะที่คุณหนูตัวน้อยไม่ทันจะได้เดินไปไกล ทำเอาสาวใช้ที่ยืนอยู่สองคนและบอดี้การ์ดอย่างภีมมองมาทางเจ้าของเสียงสลับกับมองคุณหนูตัวน้อยเป็นตาเดียวกัน
ด้านมิราจึงหยุดชะงักเท้าทันที เธอยืนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ขณะที่ดวงตากลมโตกลอกไปมาเพื่อไล่น้ำใสๆที่เอ่อคลอเบ้าตาออกไป พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกคนที่ต่อว่าเธอ ก่อนจะเอ่ยพูดออกมาน้ำเสียงสั่นเครือ
"มิรารู้ค่ะไม่ต้องมาย้ำหรอก มิรารู้ดีว่าตัวเองไม่น่ารักและยังน่ารำคาญอีกด้วย ถ้าคุณเหนื่อยหรืออึดอัดที่ต้องมาดูแลเด็กน่ารำคาญอย่างมิรา คุณก็ไปลาออกกับคุณพ่อของมิราได้เลยเพราะมันเป็นสิทธิ์ของคุณอยู่แล้ว" เธอพูดประหนึ่งประชดประชันด้วยความน้อยใจเขา พอพูดจบก็หันหลังให้แล้วเดินจากไปทันที ทำเอาใจแกร่งกระตุกวูบ ขณะดวงตาคู่คมมองตามหลังเด็กสาวไม่ละไปไหน
กระทั่งเธอเดินพ้นสายตาเขาไปแล้วเขาก็ยังคงยืนมองจุดที่เธอเดินหายออกไป โดยที่ในหัวเอาแต่นึกถึงคำพูดแต่ละประโยคของเด็กสาวและสรรพนามที่เธอใช้แทนตัวเองและใช้เรียกเขาเมื่อครู่มันเปลี่ยนไปหมด ความกลัวปนความเจ็บปวดเข้ามาเกาะกินใจเขา โดยที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้มีผลต่อใจเขามากขนาดนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะทนเก็บความรู้สึกที่มีต่อเธอได้อีกนานแค่ไหนกัน
ด้านภีมที่มองอยู่ก็นึกสงสารคุณหนูตัวน้อยของเขาและเห็นใจรุ่นพี่ของตัวเองด้วย เขาจึงเดินมาตบบ่าของรุ่นพี่เบาๆประหนึ่งเป็นการให้กำลังใจ พลางคิดว่าความรักของทั้งสองคนคงเป็นไปได้ยากหรืออาจจะไม่สมหวังเลยด้วยซ้ำ เพราะทั้งคู่มีสถานะที่ต่างกัน และตอนนี้มามีเรื่องผิดใจกันอีก ไหนจะเจ้านายผู้เป็นพ่อของเด็กสาวคงไม่มีทางยอมให้ลูกสาวตัวเองคบหากับบอดี้การ์ดอย่างพวกเขาแน่นอน ดูแล้วอุปสรรคมันช่างใหญ่หลวงซะเหลือเกิน
เวลาต่อมา
00:35 น.
บ้านพักบอดี้การ์ด
ภายในห้องพักส่วนตัวของวายุ มีเจ้าของห้องนอนอยู่บนเตียงนอนขนาดห้าฟุต โดยแขนแกร่งข้างหนึ่งวางเกยไว้บนหน้าผาก แขนแกร่งอีกข้างวางพักไว้บนหน้าท้องโดยมีโทรศัพท์เครื่องหรูอยู่ในมือวางคว่ำหน้าจอไว้บนหน้าท้องแกร่ง
เพราะความกังวลและว้าวุ่นใจเรื่องของเด็กสาวจึงทำให้เขานอนไม่หลับ พลิกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่หลายครั้งต่อหลายครั้งจนเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง ปาไปเที่ยงคืนกว่าก็ยังไม่มีข้อความใดๆส่งมาหาเขาเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาเลย เขานอนไม่หลับเสมือนไม่ยอมนอนมากกว่าเพราะยังอยากที่จะรอข้อความจากเด็กสาว ทั้งที่เวลานี้เธออาจจะหลับไปแล้วก็ได้แต่เขาก็ยังจะรออยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงและใบหน้าก็ยังเรียบนิ่งเป็นปกติแต่ในใจกลับอยู่ไม่สุขเอาเสียเลย รู้สึกว้าวุ่นใจไปหมด
การที่เด็กสาวหมางเมินกับเขาแบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอด แต่ทำไมพอเอาเข้าจริงเขากลับรับไม่ได้ที่ถูกเธอเมินใส่ แค่ตอนนี้เธอไม่ไลน์หาเขาเหมือนทุกคืน เขาก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
"เด็กบ้า มาทำให้พี่รักทำไมวะ" ถึงขั้นบ่นกับตัวเอง ต่อว่าเด็กสาวเสมือนเธอเป็นคนผิดยังไงยังงั้น ขณะมองหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เปิดห้องแชทไลน์ของเด็กสาวค้างเอาไว้ นิ้วโป้งใหญ่กดสไลด์หน้าจอลงมาเรื่อยๆพลางลากสายตาอ่านข้อความเก่าๆที่เด็กสาวเคยส่งมา ขณะที่ปากหนาได้รูปยิ้มบางๆ อ่านไปยิ้มไปอยู่คนเดียว แชทเก่าๆของเธอมันช่วยเยียวยาใจของเขาได้ดีเลยทีเดียว
แต่กระนั้นเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ไลน์หาเด็กสาวเอง โดยไม่ต้องรอให้เธอไลน์มาก็ได้ เขาไม่เข้าใจไม่รู้แม้กระทั่งจะจัดการความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ยังไงด้วยซ้ำ และถ้ายังเป็นแบบนี้มีหวังคืนต่อๆไปเขาคงนอนไม่หลับเช่นเดียวกับคืนนี้อย่างแน่นอน...
(ป่วนหัวใจนายบอดี้การ์ดหน้านิ่ง)วันต่อมา09:35 น.บริเวณศาลาสวนหย่อม มิรากำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่บนศาลา เธอมักจะมาอ่านหนังสือหรือมานั่งเล่นที่ศาลาตรงนี้เป็นประจำ เรียกได้ว่าเป็นมุมโปรดของเธอก็ว่าได้ โดยมีบอดี้การ์ดส่วนตัวอีกสองคนยืนอารักขาอยู่หน้าศาลาไม่ห่าง พวกเขาทั้งสองคนยืนคนละฝั่งของศาลาโดยหันหน้าเข้าหากันเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่มายืนอารักขาเด็กสาวบริเวณนี้วันนี้มิราอ่านนิยายของนักเขียนคนใหม่ตามที่เพื่อนของเธอแนะนำมา เธอเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการที่จะอ่านมัน และการอ่านนิยายมันก็ช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของเธอได้เยอะเลยทีเดียว แต่กระนั้นเนื้อหาของหนังสือนิยายเล่มนี้มันอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ยากกว่านิยายของนักเขียนคนโปรดที่เธออ่านอยู่เป็นประจำและเมื่ออ่านไปได้สักพักเธอก็ต้องงงและไม่เข้าใจอีกแล้ว ซึ่งเนื้อหาในนิยายที่เธออ่านแล้วไม่เข้าใจมันคือเนื้อหาของคำพูดตัวละคร ที่พระเอกพูดขู่นางเอก เธอขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง พยายามอ่านและจิตนาการตามแล้วตามอีก อ่านแล้วอ่านอีกก็ไม่เข้าใจเสียทีว่าคำพูดที่พระเอกขู่นางเอกมันหมายความว่าอะไร และในเมื่ออ่านไม่เข้าใจเธอจึงเงยหน้าจากหนังสือนิยายแล
ด้านมิราจึงได้แต่มองตามหลังคนเป็นพ่อตาละห้อย สีหน้าหงอยเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม ทว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ยังเด็กเธอจึงประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการหนีปัญหาไปอยู่ในที่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเขาคนที่ทำให้ใจดวงน้อยของเธอเจ็บปวดอีกจากนั้นเธอก็หันกลับมามองข้าวในจานของตัวเองที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะกินไปแค่คำสองคำเป็นคำเล็กๆเพียงข้าวแค่ปลายช้อนเท่านั้น หรือแทบจะไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเงยหน้าพูดกับสาวใช้วัยสามสิบกลางๆ มีนามว่าชมพู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ"พี่ชมพู่เก็บจานเลยค่ะน้องมิอิ่มแล้ว" น้ำเสียงเบาราวกับคนไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น"ได้ค่ะคุณหนู""ไม่ต้อง"ไม่ทันที่ชมพู่จะเดินมาเก็บจานตามคำสั่งของคุณหนูตัวน้อย ก็ต้องชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เพราะเสียงทุ้มของอีกคนดันเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มจะเดินเข้ามาหาคุณหนูตัวน้อย แล้วหยุดยืนอยู่ข้างเธอที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคู่คมมองใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา ซึ่งเขาไม่ชอบเลยที่แววตาของเธอตอนนี้มีแต่ความเศร้า เพราะเธอเหมาะที่จะยิ้มและมีดวงตาที่สุกใส
ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ บนเก้าอี้ตำแหน่งหัวโต๊ะมีประมุขของบ้านนั่งอยู่ และยังมีบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาและบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกสาวที่ยืนประจำตำแหน่งเดิมคือข้างหลังคนเป็นเจ้านายของตัวเอง"ยัยหนูของพ่อมาพอดีเลย พ่อกำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี พวกเธอก็ตักข้าวสิลูกสาวฉันมาแล้ว" เดชาหันไปพูดกับลูกสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ประโยคหลังหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้ในบ้านที่ยืนรอรับใช้อยู่สองคนด้านภีมจึงเดินไปดึงเก้าอี้ตำแหน่งที่ประจำของคุณหนูออกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามานั่ง ภีมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนปกติทุกวันที่เคยทำด้านวายุที่ยืนอยู่ มองเด็กสาวตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้ว แต่ครั้งนี้เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยสักนิด ผิดกับทุกครั้งที่เธอมักจะลอบมองและแอบส่งยิ้มให้เขาอยู่ตลอด เมื่อเห็นท่าทีหมางเมินของเธอใจแกร่งก็กระตุกวูบทันที ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังนิ่งเป็นปกติ ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการใดๆออกมาเลย"ไม่สบายรึเปล่ายัยหนู ทำไมตาหนูถึงดูบวมๆและแดงแบบนั้นล่ะ" เดชาเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้สีหน้าของลูกสาวเขาดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย พลางใช้หลังมือเอื้อมไปแตะหน้า
"ผมเคยเตือนพี่แล้วใช่ไหมว่าอย่าเผลอใจให้คุณหนู แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ มีหวังถ้านายรู้นายเอาพี่ตายแน่พี่วายุ" ภีมพูดเปิดประเด็นประหนึ่งบ่นรุ่นพี่ไปทันที เพราะเขาเป็นห่วงกลัวว่ารุ่นพี่จะโดนเจ้านายเล่นงาน อีกอย่างเขาห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ที่คงไม่มีทางลงเอยกันได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เพราะผู้เป็นเจ้านายคงไม่ยอมให้ลูกสาวอันเป็นที่รักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบอดี้การ์ดในบ้านเป็นอันขาด"มึงพูดอะไร มึงคิดอะไรของมึง กูไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูทั้งนั้น" วายุปฏิเสธเสียงแข็ง พูดเหมือนหลอกตัวเองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตนคิดไม่ซื่อกับเด็กสาว"ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะพี่ที่จะดูไม่ออก พี่เล่นหึงหวงคุณหนูกับผมขนาดนี้พี่ยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอ" ภีมเถียงกลับอย่างรู้ทัน รุ่นพี่ของเขาโมโหหึงเด็กสาวซะขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออก "ไร้สาระ กูบอกว่ากูไม่ได้คิดอะไร กูไม่มีทางชอบคุณหนูเพราะกูไม่ชอบเด็ก สำหรับกูเด็กอย่างคุณหนูมันน่ารำคาญ" วายุยังคงพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ มองหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาดุดัน เขารู้ตัวเองดีว่าคิดยังไงกับเด็กสาว ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องมายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้ารุ่นน้อง หรือต้องมาบอกว่าเขาชอบเด็กสาว
หลายวันต่อมาตอนนี้มิราได้สอบปิดภาคเรียนที่สองและจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม โดยระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาเธอได้ส่งไลน์หาบอดี้การ์ดคนของใจทุกคืน ใจจริงเธออยากไลน์หาเขาแทบทุกเวลาที่เธอว่างเลยด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเขาจะรำคาญเธอเสียก่อน เลยไลน์หาเขาแค่ตอนก่อนนอนเพื่อบอกชอบบอกคิดถึงและบอกฝันดี ถึงแม้เขาจะตอบกลับบ้างไม่ตอบบ้างก็ตาม แค่เธอได้ไลน์หาเขาทุกคืนก่อนนอนและเห็นว่าเขาอ่านไลน์ทุกข้อความที่เธอส่งไป แค่นี้เธอก็พอใจแล้วบริเวณโต๊ะริมสระว่ายน้ำของคฤหาสน์หลังใหญ่"พี่ภีมคะ พี่วายุไปไหนเหรอคะ" มิราที่เดินออกมาจากในบ้าน เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของบอดี้การ์ดคนสนิท แล้วเอ่ยถามหาบอดี้การ์ดคนของใจเมื่อไม่เห็นเขา พลางกวาดสายตามองหาร่างสูงของเขาไปด้วย ปกติบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอทั้งสองคนจะตัวติดกันตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยด้านภีมที่นั่งอยู่ก็หันมาตามเสียง ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าเจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยถามเขา โดยยืนอยู่ในท่ากุมมือไว้ด้านหน้าหรือท่าประจำของบอดี้การ์ด แล้วเอ่ยตอบออกไป"พี่วายุไปเข้าห้องน้ำครับ คุณหนูมีอะไรใช้ผมก็ได้
เวลาอาหารมื้อเย็น ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ มีประมุขของบ้านหรือเดชานั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร และมีคนเป็นลูกสาวหรือมิรานั่งเก้าอี้ตัวถัดมาเยื้องกับผู้เป็นพ่อ"เออ จริงสิ ยัยหนูจำพี่มาตินลูกชายเพื่อนพ่อได้ไหมลูก" เดชาเอ่ยถามลูกสาวของตนเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเด็กหนุ่มที่ตัวเองหมายปองอยากได้มาเป็นลูกเขยด้านมิราที่กำลังกินข้าวอยู่จึงเงยหน้ามาพูดกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทีปกติ"พี่มาตินลูกชายคุณลุงมานพน่ะเหรอคะ"โดยมีสายตาคู่คมของบอดี้การ์ดคนใหม่ที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังของเธอไม่ห่าง มองเธออยู่ตลอดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง"ใช่ครับ ตอนนี้พี่เขาเรียนจบโทแล้วนะลูก เห็นว่าอาทิตย์หน้าจะกลับไทยแล้ว" ขณะที่ปากขยับพูด เดชาก็มองสังเกตท่าทีของลูกสาวไปด้วย ว่าจะมีอาการหรือแสดงความดีใจอะไรออกมาหรือเปล่าเมื่อรู้ว่าลูกชายของเพื่อนเขากำลังจะกลับไทย"ค่ะ" แต่ทว่ามิราแค่เพียงพยักหน้าตอบสั้นๆเป็นการรับรู้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่ได้สนใจอะไรคนเป็นพ่อเห็นเช่นนั้นจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อลูกสาวดูไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นกับการกลับมาของอีกคนเลย ผิดกับตอนเด็กที่เวลาลูกชายเพื่อนเขามาที่บ้าน ลูกสาวของเขาก็จะวิ่งหน้าตั้งเข้า







