 LOGIN
LOGINเวลาต่อมา
22:15 น.
ณ บ้านพักบอดี้การ์ดของคฤหาสน์หลังใหญ่ ภายในห้องพักของวายุ ในเวลายี่สิบสองนาฬิกาสิบห้านาที เสียงข้อความไลน์โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอนบนหมอนใบใหญ่ก็หันไปตามเสียงไลน์ที่ดังทันที ก่อนจะหยัดกายขึ้นเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาเปิดดู
ห้องแชทLINE
มิรา : ก๊อกๆ นอนยังคะพี่วายุสุดหล่อ
เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากใครที่ส่งมาหาเวลานี้ คิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันทันที แล้วขยับกายแกร่งขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา
"เด็กแสบ"
เขาเสียรู้ให้เด็กจนได้ นึกแล้วก็ไม่น่าให้เธอยืมโทรศัพท์ในตอนนั้นเลย
มิรา : อ่านแล้วไม่ตอบ หยิ่งอะ
เขานั่งอ่านข้อความที่เด็กสาวส่งมาเรื่อยๆด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง โดยไม่คิดจะตอบกลับข้อความไลน์ของเธอแต่อย่างใด
มิรา : งือ~ อย่าเงียบสิคะ ถ้าไม่ตอบน้องจะงอนแล้วนะ
วายุยังคงนั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีจะตอบกลับข้อความของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย
มิรา : รำคาญน้องเหรอ ขอโทษค่ะ งั้นน้องไม่กวนแล้วก็ได้ (อิโมจิหน้าเศร้า)
เมื่ออ่านข้อความล่าสุดของเด็กสาว ก็ทำเอาใจแกร่งอ่อนยวบลงทันที สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนยอมส่งตอบกลับไป
วายุ : ดึกแล้วทำไมคุณหนูยังไม่นอนอีกครับ
มิรา : เย่ๆ พี่วายุตอบน้องแล้ว ดีใจจังเลยค่ะ
เมื่ออ่านข้อความล่าสุดที่เด็กสาวส่งมา ใบหน้าที่มักจะนิ่งตลอดเวลา บัดนี้มุมปากหนายกยิ้มขึ้นมาเพราะนึกเอ็นดูเจ้าของข้อความนี้ ก่อนจะพิมพ์ข้อความถามย้ำกลับไปอีก
วายุ : ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีกครับ
มิรา : น้องอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ค่ะ วันจันทร์นี้จะสอบปิดภาคเรียนที่2แล้ว น้องกำลังจะจบม.6แล้วค่ะ เลยต้องขยันอ่านหนังสือหน่อย
มิรา : แล้วพี่วายุล่ะคะทำไมยังไม่นอนอีก
วายุ : กำลังจะนอนแล้วครับ แต่คุณหนูส่งไลน์มาพอดี
มิรา : แฮๆ น้องขอโทษนะคะ งั้นน้องไม่กวนแล้วค่ะพี่วายุนอนเถอะ ฝันดีนะคะพี่วายุของมิรา จุ๊บๆ (อิโมจิรูปหัวใจสีชมพู)
"หึ" ทันทีที่อ่านข้อความสุดท้ายของเด็กสาวจบ ปากหนาก็กระตุกยิ้ม หลุดหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู ใจแกร่งรู้สึกพองโตและใจฟูขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะตอบกลับข้อความสุดท้ายของเด็กสาวแต่อย่างใด เพราะเขาไม่อยากถลำลึกไปมากกว่านี้ ถึงเด็กสาวจะแสดงออกชัดเจนว่าชอบเขาและถึงเขาจะรู้สึกดีกับเธออยู่มากก็ตาม แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ เพราะสถานะของเขากับเธอมันต่างกัน มันคนละชั้นกันเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเธอยังเด็ก อายุน้อยกว่าเขาเป็นสิบปี อะไรหลายๆอย่างมันไม่เหมาะสมกันเลย เขาไม่ควรดึงเธอลงมาและเธอก็ไม่ควรลงมาเกลือกกลั้วกับบอดี้การ์ดอย่างเขา...
ด้านมิรา
ภายในห้องนอนของมิรา มีเจ้าของห้องนั่งพิงหัวเตียงนอนหรูขนาดคิงไซส์ ในมือบางถือโทรศัพท์เครื่องหรูราคาแพงของตัวเองอยู่ ดวงตากลมโตมองหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆอย่างรอคอยข้อความจากคนในแชทไลน์ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีข้อความใดๆจากอีกคนส่งตอบกลับมาเลย เสียงหวานจึงพึมพำออกมาคนเดียว
"ไม่คิดจะตอบกลับหรือบอกฝันดีน้องกลับบ้างเหรอพี่วายุ ชิ! เย็นชาจริงๆเลย"
ทว่าเพียงไม่นานเธอก็หัวเราะคิกคักออกมา เปลี่ยนอารมณ์อย่างไว
"คิกๆ แต่ไม่เป็นไรถึงยังไงน้องก็ชอบ คิกๆ"
จากนั้นก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอนตะแคงข้าง กอดเกยหมอนข้างเอาไว้แน่น ก่อนจะหลับตาพริ้มนอนคิดถึงคนในแชทไปด้วยอย่างคนมีความสุข ไม่นานเธอก็หลับสนิทเข้าสู่ห้วงนิทราไป

(ป่วนหัวใจนายบอดี้การ์ดหน้านิ่ง)วันต่อมา09:35 น.บริเวณศาลาสวนหย่อม มิรากำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่บนศาลา เธอมักจะมาอ่านหนังสือหรือมานั่งเล่นที่ศาลาตรงนี้เป็นประจำ เรียกได้ว่าเป็นมุมโปรดของเธอก็ว่าได้ โดยมีบอดี้การ์ดส่วนตัวอีกสองคนยืนอารักขาอยู่หน้าศาลาไม่ห่าง พวกเขาทั้งสองคนยืนคนละฝั่งของศาลาโดยหันหน้าเข้าหากันเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่มายืนอารักขาเด็กสาวบริเวณนี้วันนี้มิราอ่านนิยายของนักเขียนคนใหม่ตามที่เพื่อนของเธอแนะนำมา เธอเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการที่จะอ่านมัน และการอ่านนิยายมันก็ช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของเธอได้เยอะเลยทีเดียว แต่กระนั้นเนื้อหาของหนังสือนิยายเล่มนี้มันอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ยากกว่านิยายของนักเขียนคนโปรดที่เธออ่านอยู่เป็นประจำและเมื่ออ่านไปได้สักพักเธอก็ต้องงงและไม่เข้าใจอีกแล้ว ซึ่งเนื้อหาในนิยายที่เธออ่านแล้วไม่เข้าใจมันคือเนื้อหาของคำพูดตัวละคร ที่พระเอกพูดขู่นางเอก เธอขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง พยายามอ่านและจิตนาการตามแล้วตามอีก อ่านแล้วอ่านอีกก็ไม่เข้าใจเสียทีว่าคำพูดที่พระเอกขู่นางเอกมันหมายความว่าอะไร และในเมื่ออ่านไม่เข้าใจเธอจึงเงยหน้าจากหนังสือนิยายแล
ด้านมิราจึงได้แต่มองตามหลังคนเป็นพ่อตาละห้อย สีหน้าหงอยเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม ทว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ยังเด็กเธอจึงประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการหนีปัญหาไปอยู่ในที่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเขาคนที่ทำให้ใจดวงน้อยของเธอเจ็บปวดอีกจากนั้นเธอก็หันกลับมามองข้าวในจานของตัวเองที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะกินไปแค่คำสองคำเป็นคำเล็กๆเพียงข้าวแค่ปลายช้อนเท่านั้น หรือแทบจะไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเงยหน้าพูดกับสาวใช้วัยสามสิบกลางๆ มีนามว่าชมพู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ"พี่ชมพู่เก็บจานเลยค่ะน้องมิอิ่มแล้ว" น้ำเสียงเบาราวกับคนไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น"ได้ค่ะคุณหนู""ไม่ต้อง"ไม่ทันที่ชมพู่จะเดินมาเก็บจานตามคำสั่งของคุณหนูตัวน้อย ก็ต้องชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เพราะเสียงทุ้มของอีกคนดันเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มจะเดินเข้ามาหาคุณหนูตัวน้อย แล้วหยุดยืนอยู่ข้างเธอที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคู่คมมองใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา ซึ่งเขาไม่ชอบเลยที่แววตาของเธอตอนนี้มีแต่ความเศร้า เพราะเธอเหมาะที่จะยิ้มและมีดวงตาที่สุกใส
ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ บนเก้าอี้ตำแหน่งหัวโต๊ะมีประมุขของบ้านนั่งอยู่ และยังมีบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาและบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกสาวที่ยืนประจำตำแหน่งเดิมคือข้างหลังคนเป็นเจ้านายของตัวเอง"ยัยหนูของพ่อมาพอดีเลย พ่อกำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี พวกเธอก็ตักข้าวสิลูกสาวฉันมาแล้ว" เดชาหันไปพูดกับลูกสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ประโยคหลังหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้ในบ้านที่ยืนรอรับใช้อยู่สองคนด้านภีมจึงเดินไปดึงเก้าอี้ตำแหน่งที่ประจำของคุณหนูออกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามานั่ง ภีมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนปกติทุกวันที่เคยทำด้านวายุที่ยืนอยู่ มองเด็กสาวตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้ว แต่ครั้งนี้เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยสักนิด ผิดกับทุกครั้งที่เธอมักจะลอบมองและแอบส่งยิ้มให้เขาอยู่ตลอด เมื่อเห็นท่าทีหมางเมินของเธอใจแกร่งก็กระตุกวูบทันที ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังนิ่งเป็นปกติ ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการใดๆออกมาเลย"ไม่สบายรึเปล่ายัยหนู ทำไมตาหนูถึงดูบวมๆและแดงแบบนั้นล่ะ" เดชาเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้สีหน้าของลูกสาวเขาดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย พลางใช้หลังมือเอื้อมไปแตะหน้า
"ผมเคยเตือนพี่แล้วใช่ไหมว่าอย่าเผลอใจให้คุณหนู แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ มีหวังถ้านายรู้นายเอาพี่ตายแน่พี่วายุ" ภีมพูดเปิดประเด็นประหนึ่งบ่นรุ่นพี่ไปทันที เพราะเขาเป็นห่วงกลัวว่ารุ่นพี่จะโดนเจ้านายเล่นงาน อีกอย่างเขาห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ที่คงไม่มีทางลงเอยกันได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เพราะผู้เป็นเจ้านายคงไม่ยอมให้ลูกสาวอันเป็นที่รักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบอดี้การ์ดในบ้านเป็นอันขาด"มึงพูดอะไร มึงคิดอะไรของมึง กูไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูทั้งนั้น" วายุปฏิเสธเสียงแข็ง พูดเหมือนหลอกตัวเองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตนคิดไม่ซื่อกับเด็กสาว"ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะพี่ที่จะดูไม่ออก พี่เล่นหึงหวงคุณหนูกับผมขนาดนี้พี่ยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอ" ภีมเถียงกลับอย่างรู้ทัน รุ่นพี่ของเขาโมโหหึงเด็กสาวซะขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออก "ไร้สาระ กูบอกว่ากูไม่ได้คิดอะไร กูไม่มีทางชอบคุณหนูเพราะกูไม่ชอบเด็ก สำหรับกูเด็กอย่างคุณหนูมันน่ารำคาญ" วายุยังคงพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ มองหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาดุดัน เขารู้ตัวเองดีว่าคิดยังไงกับเด็กสาว ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องมายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้ารุ่นน้อง หรือต้องมาบอกว่าเขาชอบเด็กสาว
หลายวันต่อมาตอนนี้มิราได้สอบปิดภาคเรียนที่สองและจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม โดยระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาเธอได้ส่งไลน์หาบอดี้การ์ดคนของใจทุกคืน ใจจริงเธออยากไลน์หาเขาแทบทุกเวลาที่เธอว่างเลยด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเขาจะรำคาญเธอเสียก่อน เลยไลน์หาเขาแค่ตอนก่อนนอนเพื่อบอกชอบบอกคิดถึงและบอกฝันดี ถึงแม้เขาจะตอบกลับบ้างไม่ตอบบ้างก็ตาม แค่เธอได้ไลน์หาเขาทุกคืนก่อนนอนและเห็นว่าเขาอ่านไลน์ทุกข้อความที่เธอส่งไป แค่นี้เธอก็พอใจแล้วบริเวณโต๊ะริมสระว่ายน้ำของคฤหาสน์หลังใหญ่"พี่ภีมคะ พี่วายุไปไหนเหรอคะ" มิราที่เดินออกมาจากในบ้าน เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของบอดี้การ์ดคนสนิท แล้วเอ่ยถามหาบอดี้การ์ดคนของใจเมื่อไม่เห็นเขา พลางกวาดสายตามองหาร่างสูงของเขาไปด้วย ปกติบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอทั้งสองคนจะตัวติดกันตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยด้านภีมที่นั่งอยู่ก็หันมาตามเสียง ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าเจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยถามเขา โดยยืนอยู่ในท่ากุมมือไว้ด้านหน้าหรือท่าประจำของบอดี้การ์ด แล้วเอ่ยตอบออกไป"พี่วายุไปเข้าห้องน้ำครับ คุณหนูมีอะไรใช้ผมก็ได้
เวลาอาหารมื้อเย็น ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ มีประมุขของบ้านหรือเดชานั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร และมีคนเป็นลูกสาวหรือมิรานั่งเก้าอี้ตัวถัดมาเยื้องกับผู้เป็นพ่อ"เออ จริงสิ ยัยหนูจำพี่มาตินลูกชายเพื่อนพ่อได้ไหมลูก" เดชาเอ่ยถามลูกสาวของตนเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเด็กหนุ่มที่ตัวเองหมายปองอยากได้มาเป็นลูกเขยด้านมิราที่กำลังกินข้าวอยู่จึงเงยหน้ามาพูดกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทีปกติ"พี่มาตินลูกชายคุณลุงมานพน่ะเหรอคะ"โดยมีสายตาคู่คมของบอดี้การ์ดคนใหม่ที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังของเธอไม่ห่าง มองเธออยู่ตลอดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง"ใช่ครับ ตอนนี้พี่เขาเรียนจบโทแล้วนะลูก เห็นว่าอาทิตย์หน้าจะกลับไทยแล้ว" ขณะที่ปากขยับพูด เดชาก็มองสังเกตท่าทีของลูกสาวไปด้วย ว่าจะมีอาการหรือแสดงความดีใจอะไรออกมาหรือเปล่าเมื่อรู้ว่าลูกชายของเพื่อนเขากำลังจะกลับไทย"ค่ะ" แต่ทว่ามิราแค่เพียงพยักหน้าตอบสั้นๆเป็นการรับรู้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่ได้สนใจอะไรคนเป็นพ่อเห็นเช่นนั้นจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อลูกสาวดูไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นกับการกลับมาของอีกคนเลย ผิดกับตอนเด็กที่เวลาลูกชายเพื่อนเขามาที่บ้าน ลูกสาวของเขาก็จะวิ่งหน้าตั้งเข้า








