"เฮ้ย ไอ้ธารพรุ่งนี้มีส่งรายงานนะเว้ย" ธาราพยักหน้าให้กับเพื่อนที่ตะโกนบอก เขาชื่อ ธารา อายุ 21 ปี เป็นนักศึกษาเอกวิชาภาษาจีน ธาราเป็นคนชื่นชอบภาษาจีนและนิยายจีนอย่างมาก นอกจากเรียนแล้วเวลาว่างเขาก็จะทุ่มเทกับการอ่านนิยายชีวิตของเขาวนลูปอยู่อย่างนี้ไม่มีอะเรียนเปลี่ยน จนกระทั่ง
เอี๊ยดดด!!
โครม!!!
"กรี๊ด มีคนโดนรถชน"
"มีคนโดนรถชนรีบโทรเรียกรถพยาบาลเร็ว"
"ดูท่าแล้วไม่น่ารอด"
"น่าสงสารจังยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย"
"อึก" ร่างของธาราเต็มไปด้วยเหลือดนอดแผ่หลาอยู่ตรงฟุตบาทเมื่อมีรถยนต์คันหนึ่งเสียหลักมาพุ่งชน ธารารู้สึกมึนงงร่างการปวดหนึบก็สติจะดับวูบไป
"ที่นี่ที่ไหน" ธารากวาดสายตารอบๆเห็นแต่เพียงความมืดมิด
"นี่เราตายแล้วเหรอ ฮึก" ความรู้สึกเศร้าตีตื้นขึ้นมาในอก เขายังมีความฝัน ยังมีสิ่งที่อย่างทำ ทำไมโชคชะตาถึงได้ใจร้ายนัก
"โอ๊ย!" ร่างของธาราทรุดลงกับพื้นมือกุมหัวด้วยอาการเจ็บปวด ภาพเหตุการณ์มากมายหลั่งไหลเข้ามาก่อนสติจะดับวูบไป
"อึก!" ธาราสลึมสลือลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะ
"เฟินหนิงเจ้าฟื้นแล้ว!" ธารามองชายตรงหน้าที่พูดกับเขาอย่างดีใจก็รู้สึกสงสารนัก ใช่ ธารารู้แล้วว่าในตอนนี้เขามาเกิดใหม่ในโลกยุคจีนโบราณที่มีผู้ชายท้องได้ โดยผู้ชายท้องได้จะเรียกว่า เกอ ซึ่งเป็นเพศชายแต่รูปร่างบอบบางงดงามเยี่ยงเพศหญิง ส่วนสาเหตุที่ธาราสงสารคนตรงหน้าน่ะหรือ เพราะเหตุการณ์ที่เขาได้เห็นอย่างไรล่ะ
ร่างที่ธารามาเกิดใหม่นั้นมีนามว่า หลี่เฟินหนิง เป็นเพศเกอ บิดามารดานั้นเสียชีวิตเดิมทีอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าของบิดากับผู้มีศักดิ์เป็นย่านามว่า ซูฮวา และลุงกับป้าสะใภ้ นามว่า หลี่เหลียนเจี๋ย และนางไป๋ฮวา ซึ่งมี 2 คน บุตรชายมีนามว่า หลี่อู๋เจี๋ย บุตรสาวมีนามว่า หลี่เจี่ยอิง เดิมทีบ้านเก่าหลี่เฟินหนิงนั้นไม่ชอบนางเป็นอย่างมากจึงใช้งานสารพัด ครั้นเมื่อกี่เดือนบ้านสกุลหลี่เงินไม่พอสำหรับส่งหลี่อู๋เจี๋ยเข้าสำนักศึกษา นางไป๋ฮวากับสามีและบุตรจึงวางแผนจัดฉากโดยการเรียก หวังลี่หมิง ชายอัปลักษณ์ในหมู่บ้านมาดื่มสุราแล้วแอบใส่ยาปลุกกำหนัดให้ทั้งสองได้เสียกันโดยผู้มาพบทั้งสองนอนด้วยกันคือนางซูฮวาผู้เป็นย่า เดิมทีนางซูฮวาก็ไม่ชอบหลานเกอคนนี้อยู่ด้วยเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ทั้งด่าทอและทุบตี จนนางไป๋ฮวาเสนอให้แต่งหลี่เฟินหนิงออกไปโดยเรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 5 ตำลึงเงินกับข้าวอีก 2 กระสอบ ซึ่งถือว่ามากโขสำหรับชาวบ้านทั่วไป เมื่อถึงวันที่หลี่เฟินหนิงแต่งออกไปความโหดร้ายก็ไม่จบแค่นี้เมื่อนางซูฮวาให้ผู้นำหมู่บ้านมาทำหนังสือตัดขาด โดยระบุว่าต่อไปนี้หลี่เฟินหนิงไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลหลี่ จะยากดีมีจนหรือจะทุกข์จะสุขก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน ผู้นำหมู่บ้านพยายามเกลี้ยกล่อมให้นางผู้เฒ่าหลี่ไตร่ตรองอีกทีแต่ก็ไม่เป็นผลสุดท้ายทั้งสองจึงได้หนังสือตัดขาดมาคนละฉบับ หลี่เฟินหนิงนั้นเกลียดสามีตนเป็นอย่างมากเพราะอีกฝ่ายมีหน้าตาอัปลักษณ์และทำให้ตนถูกญาติผู้น้องเยาะเย้ยว่าหาสามีทั้งทีแต่กลับหาดีได้เท่านี้ ได้สามีทั้งอัปลักษณ์ทั้งจน อีกทั้งยังทำให้ตนถูกตัดขาดจากตระกูล หลี่เฟินหนิงโยนความผิดทั้งหมดให้แก่หวังลี่หมิงผู้เป็นสามี จึงเอาแต่ด่าทอสามีทุกวัน จนท้ายที่สุดก็ทนความอัปยศไม่ไหวตัดสินใจโดดน้ำหวังฆ่าตัวตายแต่หวังลี่หมิงมาพบเข้าจึงช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ไม่สิ ไม่ทันเพราะหลี่เฟินหนิงคนเก่าได้ตายไปแล้ว
"หนิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่" หวังลี่หมิงเอ่ยถามภรรยา แม้้อีกฝ่ายจะเอาแต่เกลียดชังด่าทอตนแต่เขาก็เข้าใจ ผู้ใดจะมาอยากแต่งงานกับคนที่ทั้งอัปลักษณ์และยากจน
"อะ เอ่อ ข้าไม่เป็นอันใดขอรับ" หลี่เฟินหนิงตอบผู้เป็นสามีอย่างขัดเขิน รอยปานสีดำบนใบหน้าด้านขวาไม่ได้ทำให้หวังลี่หมิงดูดีน้อยลงเลย ในสายตาของหลี่เฟินหนิงหรือก็คือธาราในตอนนี้แล้วมันดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
"เจ้าไม่อันใดก็ดีแล้ว ข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้าลำบากข้าสัญญาว่าจะพยายามหาของป่าล่าสัตว์ไปขายให้เจ้าสุขสบายขึ้น เจ้าได้โปรดอดทนสู้ไปกับข้าได้หรือไม่" หวังลี่หมิงเอ่ยอ้อนวอนภรรยาแม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่หลี่เฟินหนิงไม่ด่าทอตน เขาเป็นบุรุษตัวคนเดียวญาติพี่น้องก็ตัดขาดเนื่องจากเขามีหน้าตาอัปลักษณ์ หลี่เฟินหนิงจึงเป็นครอบครัวเดียวของเขา
"ท่านพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น" หลี่เฟินหนิงรู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ แม้ว่าจะถูกหลี่เฟินหนิงคนเก่าด่าทอมากแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่เคยโกรธเคียง
"จะ เจ้าเรียกข้าว่าเยี่ยงไรนะ" หวังลี่หมิงถามด้วยความตกใจ
"ท่านพี่อย่างไรเล่า เราสองคนเป็นสามีภรรยากันควรเรียกแบบนี้ มิดีหรือ" หลี่เฟินหนิงตอบผู้เป็นสามีด้วยรอยยิ้ม
"ดี ดียิ่งนัก ข้าดีใจที่เจ้ายอมรับข้า" หวังลี่หมิงตอบด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็ถูกยอมรับจากใครสักคน
"ท่านพี่ ท่านบอกว่าท่านเข้าป่าหาของป่าและล่าสัตว์หรือ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถาม
"ใช่ มิใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วหรือ" หวังลี่หมิงถามอย่างสงสัย
"อะ เอ่อ เพราะข้าจมน้ำเลยทำให้หลงๆลืมๆไปบ้าง ท่านพี่โปรดอภัย" หลี่เฟินหนิงตอบอย่างตะกุกตะกัก
"พี่ไม่โทษเจ้า เจ้าคงอับอายมากที่ต้องมาแต่งงานกับคนอัปลักษณ์เช่นนี้" หวังลี่หมิงเอ่ยด้วยความเศร้าสร้อย
"ท่านพี่อย่าเศร้าไป ตอนนั้นเป็นเพราะข้ามัวแต่เศร้าเสียใจที่ถูกไล่ออกจากตระกูลจึงไม่ได้มองเห็นความดีของท่านพี่" หลี่เฟินหนิงเอ่ยปลอบผู้เป็นสามี
"ต่อไปนี้ข้าจะช่วยท่านพี่หาเงินเอง" หลี่เฟินหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม
"เจ้าไม่ต้องลำบาก" หวังลี่หมิงรีบเอ่ยปฏิเสธทันที
"ข้ามิได้ลำบาก ท่านพี่เราเป็นสามีภรรยากันช่วยกันทำมาหากินนั้นถูกต้องแล้ว" หลี่เฟินหนิงบอกกับผู้เป็นสามี ยังไงเขาก็ไม่ยอมหรอก
"ถ้าเจ้ายืนกรานเช่นนั้นก็ตามใจ แต่อย่าทำจนตัวเจ้าต้องเหนื่อยเข้าใจหรือไม่" หวังลี่หมิงยอมตามใจภรรยา ยอมให้หลี่เฟินหนิงช่วยทำงานดีกว่าให้กลับไปเกลียดตน
"ขอรับท่านพี่"
"เจ้าหิวแล้วหรือไม่ เดี๋ยวพี่จะไปทำอาหารให้เจ้ากิน" หวังลี่หมิงเอ่ยถามภรรยาเพราะตอนนี้ปลายยามเซินแล้ว
"อะ เอ่อ ข้าทำเองดีกว่าขอรับ" หลี่เฟินหนิงตอบกลับ เพราะหวังลี่หมิงทำอาหารรสชาติแย่มากน่ะสิ จึงทำให้หลี่เฟินหนิงคนเก่าด่าอยู่หลายครั้ง แต่จะว่าไปหลี่เฟินหนิงคนเก่าก็ไม่ได้ทำอาหารอร่อยนะ แค่พอกินได้
"แต่เจ้ายังป่วยอยู่" หวังลี่หมิงรีบเอ่ยขัด
"ข้ามิเป็นอันใดแล้วขอรับ ถ้าท่านไม่ให้ข้าทำข้าจะไม่พูดกับท่านพี่อีก" หลี่เฟินหนิงเอ่ยขู่ ส่วนหวังลี่หมิงเมื่อได้ยินภรรยาพูดดังนั้นก็ไม่กล้าขัดทันที
หลี่เฟินหนิงเดินเข้ามาในครัวก็พบไข่ไก่และผักที่ถูกเก็บมาไว้ นึกขึ้นได้ว่าในความทรงจำหลี่เฟินหนิงคนเก่านั้นทั้งสองมักได้กินแต่่ผักกับไข่ ส่วนเนื้อสัตว์นั้นมีราคาแพงมาก ไม่ใช่แค่ครอบครัวของหวังลี่หมิงที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ แต่แทบทุกคนในหมู่บ้านแถบนี้เนื่องจากเนื้อสัตว์มีราคาแพง บ้านที่มีเงินหน่อยก็จะซื้อไก่ที่ราคาถูกกว่าเนื้อหมูอยู่มากแทน ส่วนปลาชาวบ้านไม่ค่อยนิยมกันกันเพราะมันคาวมาก สำหรับหลี่เฟินหนิงคนใหม่คนว่าคงจะทำไม่เป็นกันมากกว่า หลี่เฟินหนิงสำรวจดูห้องครัวก่อนจะตัดสินใจหุงข้าวกินกับไข่ต้ม ผักลวก และน้ำพริก ถึงนี่จะเป็นโลกยุคจีนโบราณแต่เขาก็เป็นคนไทยนะเฟ้ย ข้าวน้ำพริกผักต้มนี่มันอร่อยสุดๆนะว่าไม่ได้
หลี่เฟินหนิงนำพริกสด หัวหอม กระเทียมไปคั่วจนสุกจากนั้นจึงนำมาตำ เครื่องปรุงรสมีไม่มากเขาจึงใส่แค่เกลือลงไป ตำทุกอย่างให้เข้ากันจนละเอียดจากนั้นตักใส่ถ้วยดินเผาขนาดเล็กรอไว้
หลี่เฟินหนิงลงมือต้มไข่เสร็จแล้วจึงลวกผัก ใส่เกลือเล็กน้อยระหว่างลวก พอทุกอย่างเสร็จข้าวก็สุกพอดี เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วจึงเดินไปเรียกหวังลี่หมิง
"นี่คืออันใดหรือหนิงเอ๋อร์" หวังลี่หมิงเอ่ยถามภรรยาเมื่อเห็นอาหารที่ไม่เคยเห็นอยู่ในถ้วยขนาดเล็ก
"สิ่งนี้เรียกว่าน้ำพริกขอรับ นำมากินกับข้าวร้อนและไข่ต้ม ผักต้มรสชาติดีนัก เดี๋ยวข้าจะกินให้ท่านดู" หลี่เฟินหนิงตอบพร้อมกับสาธิตการกินให้ดู หวังลี่หมิงเห็นดังนั้นจึงทำตาม
"รสชาติดียิ่งนัก!" หวังลี่หมิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น น้ำพริกนี่มีรสชาติเผ็ดและเค็มนิดหน่อยกินกับผักต้มไข่ต้มและข้าวร้อนๆนี่เข้ากันยิ่งนัก ปกติหวังลี่หมิงได้กินแต่ผัดผัดหรือผักต้มกับข้าวเปล่ารสชาติจืดชืด
"พรุ่งนี้ท่านพี่จะเข้าป่าหรือไม่ขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถามเขาเองก็อยากเข้าไปดูในป่าด้วย
"อืม พี่ว่าจะเข้าไปล่าสัตว์มาขายเสียหน่อย" หวังลี่หมิงตอบตอนนี้ที่บ้านของเขาเหลือเงินไม่ถึงร้อยอีแปะ
"ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ"
"ไม่ได้! ในป่าอันตรายพี่ให้เจ้าไปไม่ได้" หวังลี่หมิงเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
"ท่านพี่ขอข้าไปด้วยเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่เป็นภาระท่าน" หลี่เฟินหนิงยังคงไม่ละความพยายาม
"พี่ไม่ได้มองเจ้าว่าเป็นภาระเพียงแต่ในป่านั้นเต็มไปด้วยอันตรายและสัตว์ดุร้าย พี่กลัวว่าเจ็าจะได้รับบาดเจ็บ" หวังลี่หมิงบอกกับภรรยาเสียงอ่อน
"ท่านพี่ข้าสัญญาว่าจะระวังตัว เห็นเยี่ยงนี้ข้าวิ่งเร็วนักนะขอรับ ให้ข้าไปด้วยเถอะน้า" หลี่เฟินหนิงขอร้องสามีด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
"เฮ้อ ก็ได้แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะเชื่อฟังพี่" หวังลี่หมิงเอ่ยกับภรรยาอย่างอ่อนใจ
"ข้ารับปากขอรับ" จากนั้นสองสามีภรรยาก็กินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงถูกพามาที่ตำหนักเยว่ซินที่ฮ่องเต้ได้พระราชทานให้ ตัวตำหนักค่อนข้างกว้างขวางกว่าตำหนักของเหล่าสนมเสียอีก ภายในประดับด้วยของล้ำค่างดงามวิจิตร ภายนอกร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธุ์และหลากสีสันด้วยดอกไม้หากยาก อีกทั้งมีลำธารน้ำจำลองพร้อมกับสะพานข้ามเล็กๆอยู่ นับว่าเป็นตำหนักที่งดงามมากเลยทีเดียว หน้าตำหนักมีนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่"ถึงแล้วพะยะค่ะ" หลีกงกงเอ่ยบอก"ขอบใจหลีกงกง" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"เป็นหน้าที่ของกะหม่อม พวกเจ้าดูแลองค์ชายและท่านชายให้ดี" หลีกงกงหันไปสั่งนางกำนัลทั้งสองคน"เจ้าค่ะ""องค์ชายหก ท่านชายเฝิง กระหม่อมขอตัวลา" หลีกงกงคำนับก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก"ถวายพระพรองค์ชายหก ท่านชายเฝิงเพคะ" นางกำนัลทั้งสองคนย่อคุกเข่าหนึ่งข้างเป็นการเคารพเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์"พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"ขอบพระทัยองค์ชายหก" นางกำนัลทั้งสองคนยืนขึ้นประสานมือไว้ด้านหน้าและก้มหน้าเล็กน้อย"พวกเจ้ามีชื่อว่าอันใดหรือ" เซียวเฟินหนิงเอ่ยถาม"ทูลองค์ชาย หม่อมฉันเจียวหลินเพคะ""หม่อมฉัน เจียวเจียวเพคะ""อ้อ" เซียวเฟินหนิงมองหน้าสามีเพราะไม่รู้ว่าต้องทำ
"ท่านเจ้าเมืองมาพอดี สามีภรรยาสองคนนี้มาขัดขวางไม่ให้ข้านำบุตรสาวไปให้ท่านขอรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างนอบน้อม ท่านเจ้าเมืองหันไปมองทางด้านสองสามีภรรยาก็ต้องตกตะลึง ใบหน้างดงามนี่คืออันใดกัน เทพเซียนมาลงมาจากสวรรค์หรือ"เจ้าสนใจมาเป็นฮูหยินรองของข้าหรือไม่" เจ้าเมืองซานหลีใช้สายตาแทะโลมอย่างไม่ปิดปัง เฝิงลี่หมิงถึงกับกัดฟันกรอด"อย่ามายุ่งกับภรรยาข้า!" เฝิงลี่หมิงดึงภรรยามาหลบด้านหลังก่อนจะตวาดลั่นดวงตาจ้องเขม็งไปที่ชายตรงหน้าราวกับจะฆ่าทิ้งเสีย"เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้างั้นรึ! พวกเจ้าสั่งสอนมันเสียแล้วนำเกอผู้นั้นมาให้ข้า" เจ้าเมืองซานหลีหันไปสั่งมือปราบ เซียวเฟินหนิงถึงกับขมวดคิ้ว ไอ้แก่บ้ากามนี่มันถึงกับกล้าคิดจะฉุดภรรยาผู้อื่นต่อหน้าคนมากมายเชียวหรือ"หยุด! ท่านเจ้าเมือง นั่นภรรยาผู้อื่นนะขอรับ ท่านจะฉุดพรากภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้!" นายอำเภอที่เหมือนจะหมดความอดทนกับเหตุการณ์เหล่านี้เอ่ยขึ้น"เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า! จัดการมัน" เจ้าเมืองซานหลีเอ่ยเหล่ามือปราบก็ตรงมาหาสองสามีภรรยาทันที"ท่านพี่ ดูเหมือนว่าเมืองซานหลีต้องการเจ้าเมืองใหม่เสียแล้ว" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกสามี"พี่ก็ค
เพราะต้องอัญเชิญป้ายวิญญาณของมารดาและบิดาของเซียวเฟินหนิงไปที่เมืองหลวงสองสามีภรรยาจึงต้องจัดแบ่งงานให้กับคนงานอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเขารับคนในหมู่บ้านให้มาทำงานเพิ่มแล้วรวมถึงบิดาบุญธรรมอย่างท่านเจ้าเมืองก็สั่งให้คนมาคอยดูแลระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่"ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ก็ให้พวกท่านก็ทำตามที่ข้าแบ่งหน้าที่ไว้ให้นะขอรับ" เฝิงลี่หมิงแม้จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายแต่เขาก็ยังคงพูดจานอบน้อมเช่นเดิม"การไปเมืองหลวงครั้งนี้อาจใช้เวลาร่วมเดือนหากพวกท่านมีปัญหาอันใดให้แจ้งกับท่านลุงเมิ่งได้เลยนะขอรับ เขาจะเป็นผู้ดูแลพวกท่านระหว่างที่ข้ากับท่านพี่ไม่อยู่" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกแก่คนงาน "พะยะค่ะ" เหล่าคนงานเอ่ยรับมองดูเจ้านายทั้งสองด้วยสายตาที่ชื่นชม ดูสิจากเด็กน้อยที่ถูกครอบครัวขับไล่ออกจากตระกูลมาวันนี้ได้เป็นท่านชายองค์ชายเสียแล้ว ณ จวนเจ้าเมืองซานหลางเฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงอยู่ในชุดสีขาวจากผ้าไหมชั้นดีดูงดงามและสูงศักดิ์ปักลวดลายด้วยดิ้นเงิน เฝิงลี่หมิงสวมใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าสีเงินที่ชินอ๋องประทานให้ยิ่งทำให้ดูสง่างามลึกลับน่าค้นหา ทั้งสองแม้อยากจะคุกเข่าคำนับลาบิดามารดาบุญธรรมเม
"บังอาจ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าชินอ๋อง!! " เสียงขององครักษ์ประจำตัวชินอ๋องประกาศกร้าวสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่พากันมาชมเหตุการณ์เมื่อรู้ว่าบุรุษที่มากับท่านเจ้าเมืองนั้นเป็นผู้ใด"กะ โกหก ชินอ๋องจะมาทำอะไรที่นี่และคงไม่แต่งงานธรรมดาเช่นนี้ เจ้าอย่ามาแอบบอ้าง" หลี่อู๋เจี๋ยพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อแม่ว่าชาสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วก็ตาม ชินอ๋องยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับม้วนกระดาษที่มีตรามังกรปิดผนึกอยู่"ฝ่าบาทมีราชโองการ พวกเจ้าคุกเข่าลง! " ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พากันคุกเข่าลงทั้งสองข้าง"หลี่เฟินหนิงรับราชโองการ ทางราชสำนักสืบทราบมาว่า ฮูหยินน้อยเฝิง หลี่เฟินหนิง เป็นบุตรขององค์ชายรอง เซียวเฟยเยี่ยน ที่หายสาบสูญไปจึงนับว่ามีสายเลือดราชวงศ์ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งแต่งตั้งหลี่เฟินหนิงเป็น องค์ชายหกหลี่เฟินหนิง สามารถใช้แซ่เซียวได้ตามมารดาโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสกุลเดิม พระราชทานผ้าไหมชั้นดี 20 หีบ ผ้าไหมปักดิ้นทอง 10 หีบ ไข่มุก สวรรค์ 10 หีบ ไข่มุกนิลกาฬ 20 หีบ เครื่องเพชร 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ลวดลายหงส์ 1 หีบ เงินจำนวน 100,000 ตำลึงทอง คุณชายเฝ
ตำหนักชินอ๋องย้อนกลับไปก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนจดหมายถึง ชินอ๋องเซียวเฟยเทียนถวายพระพรชินอ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองซานหลางให้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพระองค์ เมื่อไม่นานมานี้ท่านเจ้าเมืองได้ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีลอบทำร้ายแต่ได้มีบุรุษผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บุรุษผู้นั้นมีจุดเด่นคือปานสีดำขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าด้านขวาคราแรกท่านเจ้าเมืองเพียงรู้สึกซาบซึ้งใจจึงเชิญให้ชายผู้นั้นมาพบที่จวนเพื่อตอบแทนแต่ภายหลังฮูหยินเฝิงรู้สึกถูกชะตาทั้งยังเห็นใจที่สองสามีภรรยาถูกครอบครัวรังแกจึงรับชายผู้นั้นเป็นบุตรบุญธรรม ชายผู้นั้นมีภรรยาเป็นเกอคราเเรกที่ท่านเจ้าเมืองและฮูหยินได้พบใบหน้าของภรรยาชายผู้นั้นทั้งสองรู้สึกคุ้นเคยใบหน้านั้นจึงรีบให้กระหม่อมเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงพระองค์ เกอผู้นั้นมีนามว่า หลี่เฟินหนิง บิดามีนามว่า หลี่อู๋ซิน ส่วนมารดามีนามว่า เซียวเฟยเยี่ยน เกอผู้นั้นบอกว่าบิดามารดาของตนได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ตนเพิ่งมีอายุเพียงเก้าหนาว ที่สำคัญคือเกอผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับองค์ชายรองถึงแปดส่วน ท่านเจ้าเมืองให้กระหม่อมบอกแก่ท่านอ๋องว่าหากต้องการมาพบเกอผู้นี้ก็ให้รอฤดูหนาวผ่านพ้
การแจกจ่ายอาหารจากสองสามีภรรยายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าหิมะจะตกลงมาอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เองก็เช่นกัน เพียงแต่วันนี้เขาเห็นว่าดูเหมือนจะมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมาด้วยหลี่เฟินหนิงจึงเดินเข้าไปสอบถามกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งลงมาจากเกวียน"พวกท่านมาทำอันใดกันหรือขอรับ" หลี่เฟินหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ สายตากวาดดูชาวบ้านราวๆ 30 กว่าคนกับเกวียนสี่เล่มมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่"พวกเราได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้แจกจ่ายอาหาร พวกเราจึงรวมเงินกันจ้างเกวียนเพื่อมาดูเจ้าค่ะว่าพอจะมีอาหารปันให้พวกเราบ้างไหม" สตรีวัยกลางคนถามอย่างกล้าๆกลัวๆ พวกเธอเป็นคนต่างหมู่บ้านไม่รู้ว่าจะได้รับอาหารที่แจกหรือไม่แต่นี่เป็นทางรอดระหว่างรอความช่วยเหลือจากทางการผู้ใหญ่นั้นยังพออดทนได้แต่เด็กและคนแก่นี่สิ"พวกท่านมาจากต่างหมู่บ้านกันหรือขอรับ แล้วเดินทางมาไกลหรือไม่" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถาม"ใช่เจ้าค่ะ หมู่บ้านของพวกเราอยู่ห่างไป 10 ลี้ลึกเข้าไปในหุบเขาทำให้การช่วยเหลือจากทางการมาช้ากว่าหมู่บ้านอื่น" สตรีวัยกลางคนอีกคนตอบ"ไกลอยู่นะขอรับ แล้วพวกท่านทราบได้อย่างไรขอรับว่าที่นี่มีอาหารแจกชาวบ้าน" "มีคนจากหมู่บ้านนี้นำอาหารไปให้ญาติที
เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงพากันเดินเท้ามาที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน ระหว่างทางก็ได้เห็นชาวบ้านที่เริ่มออกมากวาดหิมะและพูดคุยกัน ชาวบ้านหลายคนต่างมองว่าสองสามีภรรยานั้นจะเดินไปที่ใด เมื่อเห็นว่าทั้งสองไปหยุดที่หน้าบ้านของผู้นำหมู่บ้านก็หันมาพูดคุยเรื่องอื่นต่อ ผู้ใดจะกล้าไปยุ่งเรื่องของบุตรบุญธรรมของท่านเจ้าเมืองกันเล่า"คาระวะท่านป้าจาง ท่านลุงจางอยู่หรือไม่ขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยถามนางจางเหม่ยที่กำลังกวาดหิมะอยู่ลานหน้าบ้าน"อยู่ๆ เจ้าสองคนมีธุระอันใดเล่า" นางจางเหว่ยที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีต่างจากเมื่อก่อนจนสองสามีภรรยาได้แต่แปลก"ข้ากับภรรยาจะมาพูดคุยเรื่องทำอาหารแจกชาวบ้านน่ะขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยตอบ"เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาพูดคุยกันในบ้านเถิด อากาศข้างนอกหนาวเย็นประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา" นางจางเหว่ยรีบเชิญทั้งสองคนเข้ามาบ้านทันที"อ้าวลี่หมิง เฟินหนิง เจ้าสองคนมีอันใดหรือ" เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบกับจางเหว่ย"คาระวะท่านลุงจางขอรับ" สองสามีทำการคำนับผู้อาวุโสกว่าทันที"ที่ข้าสองคนมาวันนี้เพราะมีเรื่องให้ท่านลุงจางช่วยขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอก"เรื่องอันใดรึ" จางเหว่ยถามอย่างสงสัย ยังมีเรื่อง
"ไอ้ลูกอกตัญญู หากเจ้าไม่ยอมให้เงินและสะเบียงกับพวกข้าเช่นนั้นเจ้าก็มิต้องใช้แซ่หวังอีก" หวังหยวนคุนพูดอย่างโมโห"บุตรชายของข้าคงไม่กล้าใช้แซ่หวังอันสูงส่งของเจ้าหรอก" เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองพบเป็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีดูภูมิฐาน เมื่อผู้นำหมู่บ้านเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบทำการคำนับทันที"ข้าน้อย จางเหว่ย ผู้นำหมู่บ้านเซียนซาน คาระวะท่านเจ้าเมืองขอรับ" "ตามสบายเถิดท่านผู้นำจาง" เฝิงคงหรันพูดอย่างเป็นกันเอง เหล่าชาวบ้านเมื่อทราบว่าผู้ที่มาเป็นใครก็ต่างพากันตกใจและสงสัยว่าเหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงมาอยู่ที่นี่"คาระวะท่านพ่อขอรับ" เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงทำการคำนับบุรุษผู้น่าเกรงขาม คำที่ใช้เรียกยิ่งสร้างความตกใจตะลึงให้แก่ชาวบ้านและครอบครัสตระกูลหวัง"ท่านพ่องั้นหรือ""เหตุใดทั้งสองถึงเรียกท่านเจ้าเมืองว่าท่านพ่อเล่า""ท่านพ่อมีธุระอันใดหรือขอรับถึงได้มาถึงที่นี่" เฝิงลี่หมิงไม่ได้สนใจเสียงซุบซิบของชาวบ้านแต่อย่างใด เขาเอ่ยถามธุระของพ่อบุญธรรมทันที"มารดาของเจ้าให้พ่อมาดูว่าบ้านของเจ้าเป็นเช่นไร ฤดูหนาวนี้จะอยู่ได้หรือไม่นางเป็นห่วงเกรงว่าเจ้ากับสะใภ้จะลำบาก" เ
เมื่อฤดูหนาวมาถึงการเก็บเกี่ยวก็เสร็จสิ้นพอดีตอนนี้สองสามีภรรยากำลังจ่ายค่าแรงวันสุดท้ายให้กับเหล่าคนงานก่อนที่หิมะเเรกจะมาเยือน เหล่าคนงานต่างพากันเหงาหงอยเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกจ้างอีกเลยแต่ก็เข้าใจเพราะที่ผ่านมารายได้จากการทำงานที่นี่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ลำบาก"ท่านใดรับเงินไปแล้วรอสักครู่นะขอรับ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับพวกท่าน" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอกคนงานก่อนที่พวกเขาจะเดินกลับไป คนงานจึงอยู่รอฟังและได้แต่หวังว่าสองสามีภรรยาจะบอกว่าจะจ้างพวกเขาหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไป เพื่อจ่ายค่าแรงให้คนงานครบทุกคนเฝิงลี่หมิงจึงพูดขึ้น"ทุกท่านครับ ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังกังวลว่าข้ากับภรรยาจะเลิกจ้างพวกท่านข้าจึงอยากอธิบายว่าข้าจะหยุดจ้างงานแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้นขอรับ เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปข้าจะให้ทุกท่านกลับมาทำงานอีกครั้ง" สิ้นประโยคเหล่าคนงานก็ต่างส่งเสียงเฮด้วยความดีใจที่พวกเขายังจะได้ทำงานกับนายจ้างดีๆเช่นนี้"เรื่องต่อไปคือข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจทำงานให้ข้า""เจ้าไม่ต้องขอบใจพวกข้าหรอกหวังลี่หมิง ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกเจ้าสองคนที่ให้งานพวกข้าอีกทั้งยังเลี้ยงอาหารดีๆให้พวกข้าไ