เสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนร้องบอกให้นางตื่นได้แล้ว เหยาอี้เหยาไม่อยากตื่น นางจึงพลิกตัวไปด้านข้างแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว ทว่าสาวรับใช้ได้เปิดประตูเข้ามาดึงนางลุกขึ้นจากเตียง
‘ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ’ ‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย’ เหยาอี้เหยาเอนตัวนอนลงอีกรอบอย่างง่วงงุน ‘ไม่ได้นะเจ้าค่ะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์’ สาวรับใช้ดันหลังเหยาอี้เหยาขึ้นจากเตียง พวกนางหิ้วปีกนางออกไปยังนอกเรือน ‘เดี๋ยวก่อน นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด’ เหยาอี้เหยาเอ่ยถาม พวกนางส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะผลักนางเข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเรือนของฉู่ซีเย่ไม่มีผิด ‘ที่นี่คือ…’ ‘คุณหนู ได้เวลานอนกับซื่อจื่อเป็นคืนแรกแล้วเจ้าค่ะ’ ทั้งสองปิดประตูใส่นางที่กำลังยืนมึนงง สภาพแวดล้อมเหมือนหมุนได้ พริบตาเดียวนางก็มาอยู่ในห้องนอนแล้ว ‘ไม่นะ ให้ข้าออกไป’ เหยาอี้เหยารีบพุ่งตัวไปที่ประตู ทว่าไม่สามารถเปิดได้ นางจึงงัดอย่างแรง ใช้สองมือระดมทุบเพื่อให้ประตูเปิด ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตสายหนึ่ง ครั้นนางหันมามอง ก็เห็นฉู่ซีเย่ที่ยืนอยู่ห่างจากนางไม่ถึงห้าฉื่อ เขาหยักยิ้มร้ายกาจพร้อมทั้งเอื้อมมือมาหานาง ‘คุณหนูเหยา คืนนี้เป็นคืนแรกของเรา…’ เหยาอี้เหยาถูกรวบตัวเข้าไปหาเขา นิ้วมือราวกับกรงเล็บกุมแขนนางไว้กับพื้น ใบหน้าของเขาแสระยิ้มร้าย ก่อนจะก้มลงมา… “ไม่นะ!” เหยาอี้เหยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง เหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาจากหน้าผาก นางตบๆ อกตนเองเพื่อเรียกขวัญและปลอบประโลมจิตใจที่แตกตื่นจากความฝันเมื่อครู่ “แค่ฝันไป แค่ฝันไปเท่านั้น” เคราะห์ดีที่เป็นเพียงความฝัน... เสียงพูดของนางดังออกไปด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนซึ่งรออยู่ด้านนอกเสมอจึงเอ่ยขึ้น “คุณหนูเหยา ฝันร้ายหรือเจ้าคะ” “ข้าแค่แปลกที่น่ะ” นางผ่อนลมหายใจตนเองให้สงบ เช็ดเหงื่อพร้อมลูบหน้าตาให้เรียบร้อย ความหนาวทำให้นางไม่อยากลุกไปไหน แต่สาวรับใช้ด้านนอกเหมือนมีเรื่องจะพูดกับนาง นางจึงลุกขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง “ตอนนี้คือยามใดแล้ว” “ยามเหม่าแล้วเจ้าค่ะ” มิน่า ภายนอกจึงยังมืดเพียงนี้ “พวกเจ้าเข้ามาก่อนเถิด” เหยาอี้เหยาลุกขึ้นมาสวมรองเท้ากับเสื้อคลุมกันหนาว ก่อนจะอนุญาตให้พวกนางเข้ามาด้านในซึ่งอุ่นกว่าด้านนอก “เช้าขนาดนี้ พวกเจ้ามารอข้ามีเรื่องอะไรหรือไม่” “เรียนคุณหนูเหยา วันนี้ซื่อจื่อพร้อมทั้งเจ้าเมืองฉู่จะเดินทางไปวัดเพื่อทำบุญให้อดีตเจ้าเมืองฉู่ที่ล่วงลับไปเจ้าค่ะ” “ซื่อจื่อจะให้ข้าไปด้วยหรือ” นางคิดไม่ถึงว่าฉู่ซีเย่จะใจกว้างเพียงนี้ “เจ้าค่ะ แต่คุณหนูไม่ต้องรีบร้อน เวลานัดหมายคือยามเฉินเจ้าค่ะ” “เข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับสิ่งของเหล่านี้” “เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเหยา เชิญท่านตามสบาย” พวกนางเตรียมสิ่งของสำหรับล้างหน้าให้นางหยิบจับใช้สอยได้ง่าย “ขอบใจมาก” เหยาอี้เหยาล้างหน้าด้วยสบู่ซึ่งทำมาจากไขมันแพะและสมุนไพรชั้นดี ก่อนจะบ้วนปากและสวมใส่เสื้อผ้าที่คิดว่าดีที่สุดของชาวเมือง แต่เมื่อเทียบกับสาวรับใช้ในจวนสกุลฉู่ ชุดที่คิดว่าเลือกซื้อมาดีแล้วก็ผ้าขี้ริ้วดีๆ นี้เอง ส่วนเสื้อคลุมที่ดีที่สุดของนางยังไม่แห้งดี นางจึงต้องหยิบเสื้อคลุมเก่าๆ มาสวมแทน ความจริงเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ได้แย่เลย ทั้งยังกันหนาวได้ดียิ่งเนื่องจากยัดนุ่นด้วยสำลี แต่ตามมารยาทแล้วนางควรแต่งกายให้ดีกว่านี้หน่อย ทว่ากำลังทรัพย์ไม่เอื้อ นางจึงแต่งกายให้ดีได้เท่านี้ แต่เมื่อนางเดินออกมาจากฉากกั้นบังลม สาวรับใช้ก็ถือชุดหนึ่งรออยู่ “ชุดนี้คือ?” “เรียนคุณหนูเหยา เสื้อคลุมตัวนี้ถูกส่งมาเมื่อเช้าให้ท่านเจ้าค่ะ” “ผู้ใดส่งมาให้ข้าหรือ” เหยาอี้เหยาไม่กล้าแตะต้องเสื้อคลุมตัวนั้นแม้จะชอบตั้งแต่แรกเห็น นางรู้สึกว่าชุดต้องมีราคามากแน่ “คณะราชทูตจากต้าหย่งเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่นางจำได้ว่าชื่อจิ่งเถียนนำถาดใส่ชุดคลุมสีเขียวขนมิงค์มาให้นางสัมผัส พร้อมทั้งนำเสนออย่างละเอียด “คุณหนูเหยา ท่านอาจจะไม่ทราบแต่ชุดตัวนี้ตัดเย็บอย่างดีจากช่างทอแซ่เหลียนของเจียงหนาน เสริมด้วยขนมิงค์แท้จากชาวเผ่าทางเหนือ ประณีตงดงามมาก ท่านสวมใส่จะต้องดูดีมากเป็นแน่” เหยาอี้เหยาไม่เถียงสักคำ เนื่องจากชุดคลุมตัวนี้ดูยังไงก็เป็นของชั้นหนึ่ง ทั้งการตัดเย็บ ออกแบบหรือเนื้อผ้า ไร้ที่ติ “ข้าจะสวมชุดตัวนี้” นางลูบเนื้อผ้าอันอ่อนนุ่มแล้วขอบคุณบุคคลทั้งสามที่ส่งมอบของขวัญชิ้นนี้ให้นาง …ครั้นสวมใส่ก็อบอุ่นยิ่ง ยังมีเวลาอีกมากก่อนการเดินทาง เหยาอี้เหยาจึงเขียนจดหมายอวยพรและของขวัญเล็กน้อยให้ท่านย่า เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน หลายปีมานี้นางอยากจะส่งจดหมายให้เสมอ แต่นางอยู่นอกด่าน ส่งจดหมายลำบากยิ่ง ตอนนี้นางอยู่ในเมืองแล้ว อีกทั้งฉู่ซีเย่ยังอนุญาตให้นางมีตัวตนได้ นางจึงตั้งใจส่งจดหมายให้ท่านย่า “พ่อบ้านซุน ไม่ทราบว่าส่งของเช่นนี้ ควรส่งแบบใดหรือ” พ่อบ้านซุนตอบ “การส่งของมีสองแบบขอรับ ม้าเร็วใช้เวลาน้อยกว่าแต่ค่าใช้จ่ายสูง ส่งแบบปกติผ่านพ่อค้าวาณิชใช้เวลามาก แต่ค่าใช้จ่ายถูก” เหยาอี้เหยาคำนวณเงินในกระเป๋า นางน่าจะส่งได้เพียงแบบปกติ จึงขอให้พ่อบ้านซุนช่วยเป็นธุระจัดการให้ ซึ่งเป็นโชคดีของนาง เนื่องจากพ่อค้าวาณิชที่มาร่วมงานเทศกาลฤดูหนาวเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าจำนวนมากยังไม่ได้กลับถิ่นฐาน นางจึงหาพ่อค้าเพื่อฝากส่งส่งจดหมายได้ไม่ยาก “เจ้าวางใจได้ อีกสามเดือนจดหมายและของฝากของเจ้าถึงมือฮูหยินผู้เฒ่าสวี่แน่” พ่อค้าเกลือคนนี้รู้จักสกุลเหยา และกำลังจะลงใต้ผ่านเมืองหลวงพอดี เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับส่งจดหมาย เหยาอี้เหยาจ่ายเงินแล้วขอบคุณ “เดินทางปลอดภัย ขอให้กิจการรุ่งเรืองนะเจ้าค่ะ” เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เหยาอี้เหยาก็กลับมารอที่ห้องโถง เวลานั้นใกล้ยามเฉินแล้ว รถม้าจึงออกมารอท่าอยู่นอกจวน นางจึงรออยู่บริเวณนั้นด้วยเช่นกัน สักพักรถม้าคันเล็กของเจ้าเมืองก็มาถึง เหยาอี้เหยาเคยพบหน้าเจ้าเมืองฉู่มาบ้างแล้ว แต่เป็นเพียงการพบหน้าผิวเผิน ไม่ได้สนทนากัน ครั้งนี้นางจึงเกร็งเล็กน้อย พร้อมกับที่สมองส่งภาพและเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาไม่หยุด แม้เหยาอี้เหยาจะมั่นใจว่าท่านตาไม่ได้ยิงธนูใส่ฉู่หลิน ทว่าข้อกล่าวหาซึ่งไม่อาจลบล้างได้ก็คือ ท่านตามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนลงมือหรือไม่ แน่นอนว่านางเชื่อสนิทใจว่าท่านตาไม่มีทางเป็นกบฏ หรือถูกคนในราชวงค์ชักใย แต่นางไร้หลักฐานโต้แย้ง “เจ้าเมืองฉู่ ข้าน้อยเหยาอี้เหยาเจ้าค่ะ” นางยอบกายคารวะ ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเขาอนุญาต “ยินดีที่ได้พบหน้า ปีนี้เจ้าโตขึ้นไม่น้อยเลย” ฉู่ซีห่าวแย้มยิ้ม ทั้งแววตาและกลิ่นอายเป็นมิตรมาก ปีนั้นเขาไม่กล่าวโทษนางอย่างไร ปีนี้เขาก็ไม่กล่าวโทษนางอย่างนั้น “ดูเหมือนว่าเจ้าพึ่งกลับมาจากด้านนอก คงยังไม่ได้กินข้าวเช้า” ฉู่ซีห่าวคลายจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของนาง เขาจึงให้บ่าวรับใช้แกะห่อผ้า หยิบขนมออกมาให้นางหนึ่งชิ้น ก่อนจะส่งเข้าปากตนเองหนึ่งชิ้น “ขนมชนิดนี้เจ้าหาได้ได้เพียงจวนของข้า ที่อื่นไม่มีแล้ว เจ้ารับไปทานสักนิดเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยารับทั้งกล่องไม้มาถือไว้ ไม่กล้ากิน “อยู่นอกด่านหลายปี ลำบากหรือไม่” สุ่มเสียงเขาอ่อนโยนยิ่ง ชวนให้คนฟังอยากจะร้องไห้ “ไม่มากเจ้าค่ะ มีฉู่เซียนเซิงคอยดูแลข้าน้อยให้ปลอดภัย” “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ” ฉู่ซีห่าวมองนางอย่างจริงใจ “คุณหนูเหยามีอีกเรื่องที่ข้าอยากพูดกับเจ้ามาตลอด หกปีก่อนเจ้าส่งยามาให้ข้าและพี่น้องในกองทัพ ขอบคุณเจ้ามาก โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” ฉู่ซีห่าวไม่เคยลืมว่าเมื่อหกปีก่อนเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากนางอย่างไรบ้าง เขาจึงประสานมือให้นางเพื่อขอบคุณสำหรับความเสียสละในครั้งนั้น “ท่านเจ้าเมืองอย่าทำเช่นนี้ ข้าน้อยเพียงทำตามคำสั่งของซื่อจื่อเท่านั้น” เหยาอี้เหยาไม่กล้ารับคำขอบคุณ นางจึงคุกเข่า ฉู่ซีห่าวกลับคุกเข่าตาม “ให้ข้าขอบคุณเจ้าเถิด” ครั้นเขาประสานมือคารวะ ในตอนที่ฉู่ซีเย่เดินเข้ามา นางก็แตกตื่น รู้สึกเหมือนมีมีดจ่อลำคอจากสายตาของเขา ทั้งๆ ที่นางไม่ได้ทำอะไร แต่นางเหมือนทำเรื่องผิด หรืออาจจะผิดก็ได้เพราะท่านเจ้าเมืองได้ทำการคารวะนางเพื่อขอบคุณ ซึ่งไม่เหมาะควรอย่างยิ่ง “ทำอันใดกัน” ในสายตาเขา คือคนทั้งสองเหมือนคำนับฟ้าดินกันอยู่ “ขอบคุณนางที่เคยช่วยส่งยาให้ข้าและกองทัพ” ฉู่ซีห่าวตอบอย่างเปิดเผย ยิ้มแย้มเสมอ “แล้วเจ้าก็กล้ารับงั้นรึ” ฉู่ซีเย่ตวัดสายตามาทางนาง เชือดเฉือนยิ่ง “ข้าน้อย…” “อิ่นจื่อ เจ้าอย่าตำหนินาง เป็นข้าต้องการจะขอบคุณนางเอง” “ถึงอย่างนั้นก็ไม่เหมาะสม” ฉู่ซีเย่เอ่ยตอบมองนางเงียบๆ ด้วยสายตาชนิดหนึ่งซึ่งสามารถจับใจความได้ว่า ออกไป ได้ นางออกไปเดี๋ยวนี้ เหยาอี้เหยาค้อมตัวลง ค่อยๆ ถอยฉากอย่างช้าๆ ไม่ให้รบกวนทั้งสองคน “ใครให้เจ้าไป” ชัดๆ ว่าท่านตะคอกในใจให้ข้าออกไป “ข้าน้อยเห็นว่าไม่ควรจะอยู่ต่อ เลย…” “ออกไป” เอ๊ะ ตกลงท่านจะเอาอย่างไรแน่! “ไม่ได้ยินรึ ข้าบอกให้ออกไป”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”