วันนี้อากาศหนาวแต่ไร้หิมะโปรยปราย
ฉู่ซีเย่ผู้คุ้นชินกับอากาศเป็นอย่างดีจึงไม่ได้สวมใส่อาภรณ์กันหนาว สวมเพียงเสื้อตัวนอกสีครามลายเมฆา เกลาผมด้วยปิ่นหยก ร่างสูงแม้ยังอยู่ในวัยเยาว์กลับให้กลิ่นอายองอาจเหนือสามัญ นัยน์ตาคมที่หลุบลงดูสงบ ท่ามกลางหุบเขาที่กิ่งก้านโรยราในยามจำศีล ฉู่ซีเย่คล้ายหลับใหลไปในห้วงเวลาเหล่านั้น กระทั่งการมาถึงของชายผู้หนึ่ง ดาบคมวาวแหวกผ่านอากาศคล้ายอยากทักทาย ฉู่ซีเย่ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน กระบวนท่าเข้มแข็งแต่ไร้จิตสังหาร เขาพลิกกายหลบพร้อมลืมตาขึ้นมาเอ่ยปาก “ท่านจงใจลอบสังหารข้าหรือ?” “มิกล้าๆ ข้าไหนเลยจะกล้าทำเรื่องเช่นนั้นกัน” ‘ฉู่ซีห่าว’ แย้มยิ้ม เสือกส่งดาบราวกับอยากทักทายลูกพี่ลูกน้องคนสนิทอย่างแนบชิด แล้วหยุดมือเมื่อเล่นพอประมาณแล้ว “ฝีมือเจ้าก้าวหน้าขึ้นมาก กลับไปข้าจะไปเรียนท่านปู่ แต่ยังไงเจ้าก็ยังเตี้ยกว่าข้าอยู่ดี” “ท่านปู่สบายดีหรือไม่” ฉู่ซีเย่ยืนใกล้ผาศิลา เวลานี้เขาสูงน้อยกว่าฉู่ซีห่าวหนึ่งช่วงศีรษะ รูปร่างแบบบางกว่าสักหน่อยเมื่อเทียบกับแม่ทัพหนุ่มซึ่งบึกบึนสมชายชาตรี “มีข้าอยู่ ท่านปู่ย่อมสบายที่สุด เจ้าวางใจเถิดอิ่นจื่อ ข้าไม่มีทางปล่อยให้ท่านปู่เป็นอะไรแน่” “พวกท่านคงต้องอยู่ชายแดนต่ออีกสักพักใหญ่” ฉู่ซีเย่ยอมรับข้อตกลงสมรสเพราะหวังจะลดความระแวงจากทางราชวงศ์ พาท่านปู่และท่านพี่กลับมาจากชายแดนได้ แต่ตอนนี้แผนการเปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งการตายขององค์หญิง อาจจะจุดชนวนเหตุให้เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างรัฐหลู่และต้าหย่ง “เรื่องนั้นไม่เป็นอะไรเลย” “ปีนี้ท่านควรรับตำแหน่งเจ้าเมืองฉู่ แต่ทางราชวงศ์คงอ้างงานไว้ทุกข์องค์หญิง ไม่จัดงานรื่นเริง” สามปีแล้วที่ตำแหน่งเจ้าเมืองฉู่ของเมืองโจวอี้ไร้ผู้ดำรงตำแหน่ง เนื่องจากทางราชวงศ์ต้องการให้ฉู่ซีห่าวไว้อาลัยถึงสามปี เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบิดา แต่ฉู่ซีเย่รู้ว่านี่คือแผนถ่วงเวลาเพื่อลดความแข็งแกร่งของแดนเหนือเท่านั้น “ข้ากับท่านปู่รอได้ ชายแดนล้วนเป็นแผ่นดินของเรา เราอยู่ได้อยู่แล้ว” ฉู่ซีห่าวเป็นห่วงน้องชายมากกว่าสิ่งอื่นใด “อิ่นจื่อ ข้ากับท่านปู่ไม่อาจอยู่ปกป้องเจ้า เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” “ข้าจะดูแลตนเองให้ดี” ฉู่ซีเย่ตอบ บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องสถานการณ์ในปัจจุบัน “องค์หญิงทรงสิ้นแล้ว ไท่จื่อทรงกำลังมาหาเจ้าแน่ แผนรับมือของเจ้าเป็นอย่างไร” ขบวนกองทัพของไท่จื่อย่ำเท้าเฉียดใกล้เมืองโจวอี้ทุกที “ดูจากการที่ไท่จื่อกล้าสังหารองค์หญิงแล้ว ไม่มีทางที่ทรงจะก่อสงครามในตอนนี้ อย่างมาก พระองค์ก็ต้องการเพียงตักเตือนข้า เอากองทัพมาบีบให้ข้ารับเงื่อนไขบางอย่าง” ราชวงศ์ไม่โปรดปรานการเสียหน้า หากข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าองค์หญิงเจ็ดตั้งครรภ์ก่อนการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ราชวงศ์ย่อมไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ไท่จื่อเป็นคนสืบทอดบัลลังก์ เขาไม่อาจปล่อยให้ราชวงศ์ต้องด่างพร้อย ทว่า แม้ไท่จื่อจะเป็นคนจัดการเองสังหารองค์หญิง ก็ใช่ว่าทางราชวงศ์จะต้องรับผิดชอบ ฉู่ซีเย่รู้ว่าในที่สุดแล้ว เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงเจ็ด ทำเช่นนี้ราชวงศ์จึงจะพอใจ “ต้องมีคนถูกส่งมาแทนองค์หญิงแน่” ไท่จื่อต้องการวางสายให้อยู่ใกล้ฉู่ซีเย่มาตลอด จึงได้ทูลเสนอให้ฝ่าบาทคิดเรื่องแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรี แต่เมื่อแผนการนี้ล่มไม่เป็นท่า ย่อมต้องมีแผนต่อไป “ครั้งนี้เจ้าควรหาเหตุผลปฏิเสธให้ได้” ฉู่ซีเย่เพียงยิ้ม “เหตุใดต้องปฏิเสธ” “เจ้ารู้แล้วหรือว่าไท่จื่อจะส่งใครมา” ฉู่ซีเย่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เด็กคนนั้นหรือ” ฉู่ซีห่าวเอ่ย “เจ้าจงใจทำทีสนใจนางเพื่อให้ไท่จื่อส่งนางมาอยู่ข้างกายเจ้า” “นางบอกอยากชดใช้ให้สกุลเรา ข้าย่อมต้องทำให้สมใจนาง” เหยาอี้เหยานั่งอยู่ในรถม้าโดยมีจางลี่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เวลานี้กำลังมุ่งตรงกลับสู่เมืองโจวอี้ ประตูเมืองอยู่เบื้องหน้า เหตุการณ์คล้ายวันแรกที่มาถึง ทว่าทุกอย่างง่ายดายกว่ามาก เมื่อผู้นำขบวนในคราวนี้คือไท่จื่อหย่งสวิน แม่ทัพรักษาการณ์นำขบวนคนเข้าไปในเมือง ไท่จื่อแสดงความจริงใจโดยให้กองทัพของพระองค์คอยอยู่นอกประตูเมือง ห่างจากเมืองโจวอี้ไปสามสิบลี้ เป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าทรงมาเพื่อเจรจา ไม่คิดก่อสงคราม รถม้าเคลื่อนตัวไปยังถนน ลูกหินก้อนน้อยปะทะกับรถม้าจนเกิดเสียง เหยาอี้เหยาแหวกม่านขึ้นเล็กน้อย ซ่างเจวี๋ยควบม้าวิ่งมาขนาบข้างนาง จึงได้สนทนากัน “อี้เหยา รับสิ่งนี้ไป” เหยาอี้เหยาไม่ทันถามว่าสิ่งใดที่ให้นางรับ ซ่างเจวี๋ยก็โยนเข้ามาให้นางรับแล้ว ลักษณะของสิ่งของในมือคือนกหวีดที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโลหะ “ให้ข้าหรือ” “ใช่ มีภัยเมื่อไหร่ จงเป่าทันที ต่อให้ข้าอยู่ไกลแค่ไหน ข้าก็ได้ยิน” ซ่างเจวี๋ยไม่เห็นด้วยกับแผนการของไท่จื่อ เขาไม่อยากให้เหยาอี้เหยาเป็นสายลับ แต่ทำอย่างไรได้ ตอนนี้ทำอันใดไม่ได้แล้ว เขาจึงอยากให้ของกับนาง เวลามีภัยเขาจะได้ไปช่วย “แม่ทัพซ่าง ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาสวมไว้ ใส่เสื้อนอกปิดไว้ชั้นหนึ่ง “ข้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี” “ครั้งก่อนข้าขอโทษที่ไม่ไปช่วยเจ้า” ซ่างเจวี๋ยเห็นนางเป็นน้องสาว เขารู้สึกผิดทุกวันที่ต้องรอโดยไม่อาจจะเคลื่อนไหวหรือทำอันใด “ไม่ใช่ความผิดของท่าน แถมตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นไรแล้ว แม่ทัพซ่าง ท่านอย่ารู้สึกผิดเลย ไม่เช่นนั้นข้าจะรู้สึกผิดไปด้วยนะ” “เข้าใจแล้ว อี้เหยา จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง” ซ่างเจวี๋ยยิ้มแย้มกับเหยาอี้เหยา ครั้นเห็นลู่หมิงที่ตามหลังมารอยยิ้มก็เปลี่ยนไป “อี้เหยา ข้าไปก่อนนะ ไม่อยากติดเสนียดคนจัญไร” ลู่หมิงได้ยิน แต่เขาไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีอันใด ยกม้วนหนังสือมาอ่านต่อ เหยาอี้เหยาปิดม่าน ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็จอดเทียบจวนสกุลฉู่ นางเตรียมใจชั่วครู่ ก่อนจะลงไปโดยมีจางลี่จับม่านให้ เวลาอยู่ต่อหน้าธารกำนัล จางลี่สวมบทบาทสาวรับใช้ได้ดี พ่อบ้านผู้ดูแลสกุลฉู่ออกมาต้อนรับ จินเฟยคนสนิทของฉู่ซีเย่เรียนเชิญไท่จื่อไปยังเรือนรับรอง เหยาอี้เหยาและกงจิ้งไปพักยังอีกเรือนที่อยู่ใกล้กัน สาวรับใช้ประจำสกุลฉู่นำชาผลไม้มาต้อนรับคู่ขนมขึ้นชื่อ กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ไม่ได้แตะต้องมากนัก นางรู้สึกว่ากินอะไรไม่ค่อยลง “คุณหนูเหยา” กงจิ้งพูดกับนางเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ยังคงรักษาท่าที เคร่งขรึมเช่นเดิม “ไท่จื่อเป็นคนอันตราย แต่ฉู่ซื่อจื่ออันตรายยิ่งกว่า จากนี้เจ้าต้องระวังตัว” “เคราะห์ร้ายนัก อยู่ระหว่างคนอันตรายทั้งสอง จะระวังตัวอย่างไร” นางอยู่ในสถานะซึ่งหลีกไม่พ้น ราวกับกิ่งไม้ที่ไม่อาจต้านทานกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก “ข้าไม่อาจบอกได้ว่าจะปกป้องเจ้าเหมือนซ่างเจวี๋ย หากมีเหตุการณ์ให้ต้องทอดทิ้งเจ้าอีก ข้าคงทำโดยไม่ลังเล แต่ตราบใดที่เจ้ามีประโยชน์ต่อไท่จื่อและบ้านเมือง ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต” เหยาอี้เหยายิ้มเล็กน้อย นางพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่กงจิ้งพูด “วางใจเถอะ ข้าจะทำตัวมีประโยชน์” กงจิ้งเห็นว่าคนผู้หนึ่งกำลังมา เขาจึงถอยออกไป คอยจับตาดูนางห่างๆ แทน เหยาอี้เหยาก้มมองถ้วยชา น้ำชาใสหอมกรุ่นโชยเข้าจมูก ทัศนียภาพของเรือนรับรองสบายตาชวนมอง จิตใจนางเบาโหวงลอยล่องไปในอากาศ “อีกสักวัน…มีชีวิตเพิ่มอีกสักวันก็ยังดี” ฉู่ซีเย่เห็นเหยาอี้เหยานั่งอยู่ในบนเรือน ใกล้เตาอุ่นซึ่งขับไล่ความหนาว นางหันหน้าออกไปนอกสวนผ่านหน้าต่าง แววตาเหม่อลอยจนไม่รู้ตัวว่าเขามาถึงแล้ว “คุณหนูเหยา” “ซื่อจื่อ” เหยาอี้เหยาได้สติโดยพลัน นางทำถ้วยชารดมือด้วยความซุ่มซ่าม น้ำชาแม้จะไม่ร้อนมาก แต่ก็ยังร้อนจนลวกมืออยู่ดี “ไปเอาน้ำเย็นมาให้คุณหนูเหยาแช่มือ” สาวรับใช้รีบจัดการโดยทันที ไม่กล้าชักช้า นี่คือการไล่คนของฉู่ซีเย่ “ขออภัย ข้าน้อยซุ่มซ่ามอีกแล้ว” เหยาอี้เหยารวบมือคำนับ ไม่ยืดตัวขึ้นจนกว่าจะได้รับคำอนุญาต ฉู่ซีเย่มองนางเดินไปนั่งบนตั่งซึ่งนางเคยนั่งเมื่อครู่ บรรยากาศในเรือนรับรองเปลี่ยนโดยพลัน เหยาอี้เหยาตัวแข็งทื่อ ฉู่ซีเย่คือบุรุษซึ่งปราศจากความอบอุ่น เขาเหมือนมีฤดูหนาวส่วนตัวติดกายมาด้วย “หันมาทางนี้” “เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาหันหลัง โดยไม่ค้างอยู่ในท่าคารวะ “ข้าได้บอกให้เจ้ายืนขึ้นแล้วหรือ” ฉู่ซีเย่ใช้ถ้วยชาใบใหม่ รินชาให้ตัวเองดื่ม สายตาคล้ายไม่แยแส แต่ประเมินนางเงียบๆ “คารวะเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยารีบคารวะใหม่ สองมือประสานกันวางอยู่ระดับใต้คาง เขาค่อยๆ จิบชาอย่างพิรี้พิไรจนหมดแล้วจึงบอกให้นางลุกขึ้นได้ “ลุกขึ้น” “เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลุกขึ้นได้เสียที นางถอยไปสามก้าว แล้วนั่งลงชันขาพร้อมก้มหน้า ไม่พูดอันใดอีก ทั้งสองเงียบ ฉู่ซีเย่เป็นฝ่ายลุกขึ้นพร้อมจากไปเมื่อถึงเวลาอันสมควร “ข้ารู้ว่าเจ้ามีทางเลือกไม่มากนัก แต่ตอนนี้ข้าให้เจ้าเลือก ไปจากจวนข้า ข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับต้าหย่ง หรือที่ไหนก็ได้ที่เจ้าต้องการ” ฉู่ซีเย่มองออกว่านางคือหมากเกมต่อไปของไท่จื่อ เขาจึงตั้งใจมามอบทางเลือกให้นาง “ข้าอยากอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ ถ้าท่านบอกว่าให้ข้าเลือกได้ว่าจะอยู่ที่ไหน ข้าก็อยากอยู่ที่นี่” "ถ้าเช่นนั้น คุณหนูเหยา..."ฉู่ซีเย่หยักยิ้ม สืบเท้าเข้าหานาง เขาบดบังความสว่างกลืนร่างนางจนมิด “จวนสกุลฉู่ยินดีต้อนรับ” เหยาอี้เหยาสะท้านเยือก นางรู้สึกว่าอยากหันหลังแล้ววิ่งหนี แต่สายตาของฉู่ซีเย่ตรึงนางราวกับตะปูไว้ตรงนั้น แม้กระทั่งเขาจากไปแล้ว “ท่านแม่ ท่านตา คุ้มครองอี้เหยาด้วย”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”