 LOGIN
LOGINความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้
“ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผากเธอหลับตา สูดกลิ่นชื้นลึกเข้าเต็มปอด กลิ่นเหมือนกลีบเหมยที่ถูกเหยียบจนช้ำ ในอีกมุมหนึ่งของวังหลวง อวี้เหยียนนั่งอยู่ในห้องบัลลังก์ส่วนพระองค์ บนโต๊ะมีถ้วยชาที่เย็นชืด พระเนตรทอดอยู่บนช่อเหมยขาวหนึ่งดอกที่วางอยู่ตรงหน้า ดอกสุดท้ายที่เหลือจากช่อที่เขาให้ ขันทีคนสนิทเข้ามาเงียบ ๆ“ฝ่าบาท...จะให้หม่อมฉันส่งคำสั่งต่อไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ส่ง” “แต่ว่า...” “ข้าไม่ไว้ใจใครในวังนี้ทั้งนั้น” อวี้เหยียนพูดเสียงเรียบ แต่พระหัตถ์ที่กำถ้วยชาแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เงาในดวงตาพระองค์ไม่ใช่ความเยือกเย็นอีกต่อไป หากเป็นความหวาดกลัว กลัวสิ่งที่ตัวเองเริ่มรู้สึก และไม่อาจควบคุม “ความอ่อนโยนคือหายนะของจักรพรรดิ” “ข้าต้องกำจัดมัน...ก่อนที่มันจะกำจัดข้า” เสียงพระองค์เบาลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงเสียงฝนที่กระทบขอบหน้าต่าง แต่ในความมืดนั้น ดอกเหมยขาวดอกสุดท้ายกลับเริ่มบานออกทีละกลีบและไม่มีผู้ใดรู้ว่า ในใจของคนที่สั่งให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม...กำลังแตกออกจากข้างใน ......... “ฮองเฮาเสด็จ ซูกุ้ยเฟยเสด็จ...” ห้องโถงเครื่องหอมในตำหนักชิงอวิ๋นประดับด้วยม่านแพรสีเงินระย้า กลิ่นอบเชยผสมเกสรดอกเหมยอวลอยู่ทั่วอากาศ ข้างหน้ามีโต๊ะยาววางเครื่องหอมหลากชนิด รอให้สนมเอกทั้งหลาย “กรองกลิ่นถวายเทวสถาน” เพื่อขอพรให้แคว้นสงบ พิธีนี้เป็นเพียงธรรมเนียม...แต่ในวังหลัง ไม่มีอะไรที่เป็นเพียงธรรมเนียม ซินเยว่นั่งประจำตำแหน่งฮองเฮา ม่านบางข้างหลังพลิ้วเบา ๆ แสงแดดลอดเข้ามาต้องข้างแก้ม เธอพยายามคุมมือไม่ให้สั่น แม้ในใจยังได้ยินเสียงเมื่อคืนชัดเจน “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...” ข้างกันนั้น ซูกุ้ยเฟยนั่งพิงเบา ๆ พัดแพรในมือเคลื่อนช้า สายตาแฝงประกายเยาะอย่างจงใจ “กลิ่นหอมนี้ช่างอ่อนละมุนเสียจริงเพคะ” ซูกุ้ยเฟยพูดขึ้นเสียงหวาน “คล้ายกลิ่นช่อเหมยขาวที่ฝ่าบาทประทานให้ฮองเฮาเมื่อคืนก่อนเลย หอมเย็นแต่...ชวนให้หนาวเหน็บพิกล” คำว่า “ฝ่าบาทประทานให้ฮองเฮา” ดังขึ้นราวเสียงระฆังหิน ทุกคนในห้องขยับตัวเล็กน้อย แต่ไม่มีใครกล้าพูด อวิ๋นซินเยว่ยังยิ้มบาง พูดเรียบเสียงนิ่ง “เพราะดอกเหมยขาวนั้น...คงเติบโตในที่หนาวจัด จึงไม่ชินกับไออุ่นสักเท่าไหร่” คำพูดฟังเหมือนคำตอบธรรมดา แต่ในความหมายกลับเหมือนเธอกำลังพูดถึงหัวใจของใครบางคน ลมพัดแรงเข้ามาทางหน้าต่างจนเทียนสั่น เปลวไฟสะท้อนในดวงตาของทั้งคู่ ซูกุ้ยเฟยหัวเราะแผ่ว “จริงเพคะ ฮองเฮารู้ลึกเรื่องกลีบเหมยเสียจริง หวังว่าดอกนั้นจะไม่เหี่ยวเฉาก่อนถึงฤดูใหม่” เสียงรอบตัวเงียบลงอีกครั้ง และในจังหวะนั้นเอง พระสุรเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากปลายโถง “ข้าก็หวังเช่นนั้น” ทุกคนลุกขึ้นพร้อมเพรียง “ถวายพระพรฝ่าบาท...!” อวี้เหยียนเสด็จเข้ามาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ฉลองพระองค์เรียบง่าย แต่รัศมีรอบกายกลับเย็นเยียบเหมือนทถกคนพากันหยุดหายใจ พระเนตรเหลือบไปยังโต๊ะเครื่องหอม เห็นแจกันคู่ตั้งอยู่ด้านหน้า เหมยขาวของฮองเฮา และเหมยแดงของกุ้ยเฟย “เจ้าทั้งสอง เลือกกลิ่นได้ต่างกันนัก” ซูกุ้ยเฟยยอบกาย ยิ้มหวาน “หม่อมฉันเพียงเลือกกลิ่นที่เข้ากับพระวรกายฝ่าบาทเพคะ หอมแรง ทรงพลัง และไม่จืดชืดเกินไป” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของสนมหลายคนดังคลอ อวี้เหยียนหันไปมองฮองเฮา “แล้วเจ้าล่ะ” อวิ๋นซินเยว่ยอบกาย “หม่อมฉันเลือกกลิ่นที่เบาบางที่สุดเพคะ กลิ่นที่ต้องเข้าใกล้มาก จึงจะได้กลิ่น” ทั้งห้องเงียบอีกครั้ง แววตาของอวี้เหยียนสั่นวูบ ก่อนแข็งกร้าวกลับอย่างเฉียบขาด พระโอษฐ์คลี่ยิ้มบางแต่เยือกเย็น “บางที กลิ่นเช่นนั้น...อาจต้องพิจารณาเสียใหม่ ว่าสมควรถูกมอบให้ผู้ใด” เสียงกระซิบดังขึ้นทันทีจากปลายแถว เลือดในร่างซินเยว่เย็นเฉียบ นี่คือ “คำตัดสิน” ต่อหน้าทั้งวัง แต่เธอยังคงยกถ้วยชา ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เพคะ ฝ่าบาทควรพิจารณาให้ดี ว่ากลิ่นไหนกันแน่ที่ทำให้พระองค์..หลับสนิทได้ในยามค่ำคืน” ถ้วยชาที่เธอยกขึ้นแตะริมฝีปากสั่นเพียงนิดเดียวอวี้เหยียนจ้องเธออย่างนิ่งงัน มีบางอย่างแล่นผ่านในดวงตา คล้ายความเจ็บ แต่เขากลืนมันลงคอลึกจนไม่มีใครเห็น ขันทีที่ยืนอยู่เบื้องหลังรู้ดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในโถงนี้ไม่ใช่พิธีถวายเครื่องหอมอีกต่อไป แต่มันคือ สงครามระหว่างหัวใจของคนสองคนที่ยังไม่ยอมแพ้กัน วันต่อมา พระสุรเสียงประกาศเรียกประชุมด่วนในท้องพระโรงดังขึ้นในยามบ่าย ฝนหยุดแล้ว แต่เมฆหนายังคลุ้งทั่วฟ้า หนักอึ้งเหมือนใจใครบางคน ขันทีคนสนิทก้าวตามพระวรกายสูงสง่าที่เดินเข้าสู่บัลลังก์ทอง ใบหน้าของอวี้เหยียนสงบนิ่งราวหินแกะสลัก แต่แววพระเนตรกลับคมจนเหมือนจะเฉือนอากาศได้ “เรียกเสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้ามา” เสียงฝ่าบาทแผ่วต่ำ แต่ไม่มีใครกล้าขัด ข้าราชบริพารโค้งศีรษะต่ำจนแทบแตะพื้น เมื่อเสนาบดีหลิ่วคุกเข่าถึงหน้าบัลลังก์ อวี้เหยียนเอ่ยโดยไม่หันไปมอง “ช่วงนี้ชายแดนเหนือเงียบผิดปกติเกินไป เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าอาจมีบางอย่างเคลื่อนไหวในความเงียบ” “ฝ่าบาทหมายถึง...” “ตระกูลอวิ๋น” เพียงสี่พยางค์ ทั่วทั้งห้องเหมือนหยุดหายใจ อัครเสนาบดีหน้าเสีย “ฝ่าบาท ท่านอวิ๋นจิ้นคือผู้คุมชายแดนผู้ภักดีต่อราชวงศ์มาตลอด” “ภักดีหรือไม่ภักดี...” อวี้เหยียนเอื้อมพระหัตถ์หยิบเอกสารจากเหวินหรง พรืดเปิด “ดูนี่! กองลาดตระเวนของเขาเคลื่อนแนวเข้ามาใกล้กว่ากำหนดถึงสามลี้ในสัปดาห์เดียว เจ้ายังกล้าเรียกว่านั่นคือความจงรักภักดีหรือ” เสียงเอกสารกระทบโต๊ะดังก้อง เหวินหรงก้มหน้าแน่นขึ้น เขารู้ว่าพระองค์จงใจตีความเกินจริง แต่ไม่กล้าพูด “ข้าสั่งให้ส่งคนไปตรวจทุกจุด ค้นบันทึกการเดินทัพของอวิ๋นจิ้นทั้งหมด” พระสุรเสียงเฉียบ “อย่าให้เหลือแม้แต่รอยเท้าเดียวที่ไม่ผ่านการสอบสวน” เสนาบดีชะงัก “ฝ่าบาท...หากเรื่องนี้รั่วไหล อาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าพระองค์ไม่ไว้ใจเสนาบดีฝ่ายขวา” “ข้าไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น” ประโยคสั้นนั้นกรีดผ่านความเงียบ ทุกสายตาในห้องหลบลงต่ำทันที เพราะทุกคนรู้ว่าไม่ใช่เพียง “ขุนนาง” ที่ถูกหมายถึง...แต่คือ “หญิงผู้เป็นฮองเฮา” ด้วย ....... ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักคุนหนิง เสียงสายลมกระแทกหน้าต่าง เสียงเครื่องดินเผาที่ตั้งอยู่บนขอบหน้าต่างร่วงแตกเป็นเสี่ยง นางกำนัลรีบเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท...ทรงมีพระบัญชาให้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกองทัพชายแดนเพคะ” ช่อเหมยขาวในมือซินเยว่หล่นลงกระทบพื้นเธอก้มลงช้า ๆ มองกลีบขาวที่กระจายบนพื้นหิน นิ้วเธอสั่น แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง “ในที่สุด...” เธอพึมพำ “พระองค์ก็ลงมือแทงข้าด้วยพระหัตถ์เองเสียที”เสี่ยวหลิงปรากฏขึ้นเหนือโต๊ะ รูปโปร่งใสของมันสั่นระริก [อารมณ์ของเป้าหมาย “ฮองเฮา” ลดต่ำเกินค่าความปลอดภัย] [ภารกิจใกล้เข้าสู่ภาวะล้มเหลว] “หุบปากไปเถอะ” เธอตอบทั้งเสียงสั่น “ระบบของวัดค่าหัวใจไม่ได้หรอก” เธอยืนขึ้นช้า ๆ เสื้อคลุมไหล่หล่นจากบ่า “แต่ข้าจะไม่ยอมให้หัวใจเขาอยู่ในมือของใคร นอกจากข้าเอง” ..... หลังทุกคนออกไป เหลือเพียงเงาอวี้เหยียนกับเหวินหรง “ฝ่าบาท...” เสียงขันทีเฒ่าดังแผ่ว “พระองค์กำลังลงโทษนาง...หรือพระองค์กำลังลงโทษตัวเอ เงียบไปนานมาก จนคิดว่าจะไม่ได้ยินคำตอบแล้วแล้วเสียงพระองค์ตอบเบา ๆ “ต่างกันตรงไหน”
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ
หมอกเช้าคลอแอ่งบัวหน้าตำหนักคุนหนิง ดอกเหมยปลิวบาง ๆ คล้ายผงหิมะที่หลงฤดู อวิ๋นซินเยว่เพิ่งงีบไปได้ไม่นาน นางสะดุ้งตื่นเมื่อได้กลิ่นชาอุ่นหอม "นี่มันไม่ใช่ชาของตำหนักนี่" “กงกง?” นางถามเสียงงงงัน กงกงอี้จิ้ง คุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ยกถาดไม้หอมเข้ามา ถ้วยหยกสีอ่อนขุ่นด้วยไอร้อน บนถาดมีซองตำรับเขียนด้วยลายมือเส้นเรียบคมตำรับชาแก้แพ้และตลับยาทาแผลเนื้อดี “จากสำนักหมอหลวงพะย่ะค่ะ” เขาหยุดเสี้ยววินาทีและยิ้มจาง "ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างในสำนัก…ต้องผ่านพระเนตร ‘ใครบางองค์’ ก่อนเสมอพะย่ะค่ะ” แก้มขวาซับสีเลือดขึ้นมาทันที อวิ๋นซินเยว่มิได้ถามต่อ เพียงรับถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ สูดกลิ่นขิงและเกสรชาขาวอ่อน ๆ แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อคนส่ง และต่อ “ผู้ไม่ออกนาม” ที่อยู่ไกลออกไป แสงนวลของรุ่งสางทำให้ห้องดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืน นางจิบชาช้า ๆ และปล่อยลมหายใจยาวครั้งแรกในรอบหลายชั่วยาม ข้างกายมีร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลิง ลอยตุ้บป่องขึ้นมา ทำหน้าจริงจังกว่าทุกที [ติ๊ง… อัปเดตค่า: ไทเฮามีรับสั่งให้ “สอบเส้นทางถุงหอม” เช้านี้ หม่าม๊าจะถูกเชิญไปด้วยในฐานะผู้จัดงานครับ ปล. แต้มเลื่อมใสต่อฮองเฮาใน








