 LOGIN
LOGINอวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว
[หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ........ ฝนตกหนักตั้งแต่ยามสามจนถึงยามห้า ลมเหนือพัดแรงจนโคมไฟตามทางดับเป็นระยะ เสียงฟ้าคำรามเหมือนกลองศึกจากแดนไกล ในความมืดนั้น ร่างหนึ่งเดินลุยฝนออกจากตำหนักคุนหนิง ชุดแพรสีขาวเปียกแนบกับร่างจนดูบางราวแสงจันทร์ เส้นผมดำขลับแนบแก้ม ดวงตาของเธอจ้องมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ นางกำนัลร้องไล่หลัง “ฮองเฮาเพคะ! เสด็จกลับเถิดเพคะ! ทรงจะประชวรเสียก่อน!” แต่อวิ๋นซินเยว่ไม่หยุดเดิน “หากฝนทำให้คนตายได้ ข้าคงตายไปตั้งแต่คืนที่ได้ยินพระสุรเสียงของเขาแล้ว” เสี่ยวหลิงปรากฏขึ้นเหนือไหล่ สีหน้ามันวูบวาบไม่มั่นคง [ระดับความเสี่ยงทางร่างกายเพิ่มขึ้น 312%] [ขอแนะนำให้หม่าม๊ากลับเข้าตำหนักทันที] “หุบปาก...” เธอพูดเบา ๆ น้ำเสียงเหนื่อยแต่ชัด “คืนนี้...ข้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” เธอก้าวเข้าเขตตำหนักหลวงที่ไฟยังสว่างทุกดวง ทหารองครักษ์ตกใจ “ฮองเฮา! ทรงเสด็จมาในยามนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!?” “หลีกไป” เธอกล่าวเรียบ ๆ แต่สายตาเฉียบจนใครก็ไม่กล้าขวาง ภายในห้องบัลลังก์ อวี้เหยียนยังประทับอยู่หน้าโต๊ะพระราชกิจ เสียงฝนกระทบหน้าต่างทำให้เงาในพระเนตรสะท้อนวาว เมื่อประตูเปิดกระแทก ร่างหญิงในชุดขาวเปียกโชกยืนอยู่ตรงนั้น “หม่อมฉันมาขอเข้าเฝ้าเพคะ” เสียงนั้นไม่ดัง แต่ชัดเจนจนเหวินหรงที่ยืนอยู่มุมห้องยังเผลอสะดุ้ง อวี้เหยียนมองเธอ ชั่วครู่เหมือนพระองค์ลืมที่จะหายใจ ภาพหญิงที่เคยเรียบร้อยอ่อนโยน ตอนนี้กลับยืนดื้อรั้นอยู่กลางสายฝน ราวกับจะต่อกรกับสวรรค์ทั้งชั้นฟ้า “ใครให้เจ้าเข้ามา” พระสุรเสียงเรียบ แต่ปลายเสียงสั่น “หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์...สั่งตรวจสอบบิดาหม่อมฉัน” อวี้เหยียนหรี่ตา “ข่าวลือแพร่เร็วกว่าคำสั่งเสียอีก” “หม่อมฉันไม่ฟังข่าวลือเพคะ หม่อมฉันแค่อยากฟังแค่จากพระโอษฐ์พระองค์เท่านั้น” เธอก้าวเข้าใกล้ทีละก้าว เสียงรองเท้ากระทบน้ำดังเบา ๆ ในห้องที่เงียบสนิท “หากพระองค์ไม่ไว้ใจหม่อมฉัน...ก็สั่งประหารเสียเถิด จะได้จบทั้งชีวิตและสงครามในคราเดียว” คำพูดนั้นแทงลงกลางอากาศเหมือนสายฟ้า เหวินหรงกงกงชะงัก แต่พระเนตรของอวี้เหยียนกลับนิ่ง “เจ้ากล้าท้าทายข้าเช่นนั้นหรือ” “ไม่เพคะ...” ซินเยว่เงยหน้ามองตรง “หม่อมฉันเพียงไม่อยากมีชีวิตอยู่โดยที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ” น้ำไหลหยดจากใบหน้างดงามลงมาที่ลงคอ เสื้อเปียกแนบผิวจนเห็นทุกสัดส่วน แต่เธอยังคงจ้องพระพักตร์เขาโดยไม่หลบ อวี้เหยียนขยับพระกาย ลุกจากบัลลังก์ พระหัตถ์หยุดลงตรงปลายคางของเธอ หนาวเย็นจนร้อน “เจ้าคิดว่าคำพูดกล้าหาญจะทำให้ข้าไว้ใจเจ้าหรือ?” “ไม่เพคะ” เธอกระซิบ “แต่หม่อมฉันหวังว่ามันจะทำให้พระองค์เห็นว่าหม่ใฉันยังเป็นคน ไม่ใช่หมากในมือพระองค์” อวี้เหยียนชะงัก พระหัตถ์สั่นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนบีบแน่นกว่าเดิม “ข้า...” เสียงของเขาแผ่ว “ไม่แน่ใจว่าข้าอยากเห็นเจ้าหายไป...หรืออยากเห็นเจ้าร้องไห้ให้ข้ากันแน่” สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในความมืด ฝนตกหนักจนเสียงกลบทุกสิ่ง เหลือเพียงลมหายใจสองคนที่ใกล้กันเกินควร แล้วพระองค์ก็ปล่อยมือ “ออกไปเสีย” อวิ๋นซินเยว่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย “ในที่สุด...ก็ได้ยินคำสัตย์จริงของพระองค์สักที” เธอหมุนตัวกลับ เดินผ่านฝนออกไปเหมือนตอนมา ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดอกเหมยอ่อน ๆ ที่ยังติดในอากาศ "อีกอย่าง หม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะไว้ชีวิตครอบครัวของหม่อมฉัน ท่านพ่อไม่เคยทำผิด ท่านเคยเป็นกุนซือชี้แนะฮ่องเต้พระองค์ก่อนให้ชนะศึก รวบรวมแผ่นดินจนบัดนี้พระองค์ได้นั่งบัลลังก์อย่างมั่นคงอย่าลืมว่าเพราะใครที่ช่วยไว้" อวี้เหยียนมองแผ่นหลังนั้นจนสุดสายตา พระหัตถ์กำแน่นจนเล็บจิกเลือด “เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ที่ผ่านมาข้าคงตาบอดเอง ที่มองเจ้าในทางที่ดีขึ้น ฮองเฮา!”
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ
หมอกเช้าคลอแอ่งบัวหน้าตำหนักคุนหนิง ดอกเหมยปลิวบาง ๆ คล้ายผงหิมะที่หลงฤดู อวิ๋นซินเยว่เพิ่งงีบไปได้ไม่นาน นางสะดุ้งตื่นเมื่อได้กลิ่นชาอุ่นหอม "นี่มันไม่ใช่ชาของตำหนักนี่" “กงกง?” นางถามเสียงงงงัน กงกงอี้จิ้ง คุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ยกถาดไม้หอมเข้ามา ถ้วยหยกสีอ่อนขุ่นด้วยไอร้อน บนถาดมีซองตำรับเขียนด้วยลายมือเส้นเรียบคมตำรับชาแก้แพ้และตลับยาทาแผลเนื้อดี “จากสำนักหมอหลวงพะย่ะค่ะ” เขาหยุดเสี้ยววินาทีและยิ้มจาง "ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างในสำนัก…ต้องผ่านพระเนตร ‘ใครบางองค์’ ก่อนเสมอพะย่ะค่ะ” แก้มขวาซับสีเลือดขึ้นมาทันที อวิ๋นซินเยว่มิได้ถามต่อ เพียงรับถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ สูดกลิ่นขิงและเกสรชาขาวอ่อน ๆ แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อคนส่ง และต่อ “ผู้ไม่ออกนาม” ที่อยู่ไกลออกไป แสงนวลของรุ่งสางทำให้ห้องดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืน นางจิบชาช้า ๆ และปล่อยลมหายใจยาวครั้งแรกในรอบหลายชั่วยาม ข้างกายมีร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลิง ลอยตุ้บป่องขึ้นมา ทำหน้าจริงจังกว่าทุกที [ติ๊ง… อัปเดตค่า: ไทเฮามีรับสั่งให้ “สอบเส้นทางถุงหอม” เช้านี้ หม่าม๊าจะถูกเชิญไปด้วยในฐานะผู้จัดงานครับ ปล. แต้มเลื่อมใสต่อฮองเฮาใน








