Share

21

Author: RainyStarSea
last update Last Updated: 2025-10-31 00:38:59

ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน

แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว

“เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ

เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง

“ข่าวแน่นะ?”

“ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม"

แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก

ปัง!

เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย

“ฮองเฮา!?”

“พระองค์ทรง..”

"นางมาทำอะไรที่นี่"

"นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา"

เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน

เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..”

“ท้องพระโรงใช่ไหม” ซินเยว่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงเรียบ “หม่อมฉันรู้”

อวี้เหยียนขยับพระวรกาย ดวงตาคมตวัดลง พระสุรเสียงแผ่วแต่เฉียบพอจะตัดอากาศ

“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา?” อวิ๋นซินเยว่เดินไปจนถึงกลางห้อง ก่อนหยุด เธอยอบกายช้า ๆ

“หม่อมฉันมาด้วยความจำเป็นเพคะไม่ใช่เพื่อขัดขวางการประชุม”

เสียงกระซิบดังขึ้นรอบห้อง

“สตรีในวังหลังบังอาจเหยียบเขตขุนนาง!”

“นี่มันจะไม่เป็นการท้าทายอำนาจฝ่าบาทหรือ..”

แต่เสียงเหล่านั้นเงียบลงในทันทีที่นางเอื้อมมือหยิบแผ่นสมุดผ้าไหมจากอกเสื้อ

“หม่อมฉันนำรายงานจากชายแดนเหนือเพคะ จากหน่วยลาดตระเวนที่ท่านอวิ๋นส่งตรงเมื่อคืน”

เธอวางรายงานบนโต๊ะตรงหน้าบัลลังก์อย่างสงบ

“โปรดทอดพระเนตร...ก่อนจะทรงตัดสินใจทำลายตระกูลที่ภักดีที่สุดของพระองค์”

พระเนตรของอวี้เหยียนหรี่ลง

“เจ้ากล้า...”

“หม่อมฉันไม่กล้า” เธอพูดช้า “แต่โลกนี้มีบางสิ่งที่ไม่ควรนิ่งเฉย แล้วรอรับความตายเงียบ ๆ”

เสียงกระซิบเริ่มเปลี่ยน ขุนนางบางคนมองหน้าอีกคน “ฮองเฮาผู้นี้...ช่างกล้าเกินสตรีใด”

อีกคนตอบ “หรือว่านางรู้ข้อมูลที่พวกเราไม่รู้?”

เหวินหรงก้าวไปหยิบรายงานส่งให้เบื้องบน อวี้เหยียนเปิดดู ข้างในมีรายละเอียดการเคลื่อนไหวของกองทัพเว่ย พร้อมผังแนวรุกที่กำลังเตรียมบุกในฤดูหน้า ทุกบรรทัดมีตราประทับของเสนาบดีอวิ๋น และบันทึกจากทหารแนวหน้า พระเนตรของฮ่องเต้ขุ่น

“ใครเป็นคนให้รายงานนี้แก่เจ้า”

“หม่อมฉันได้รับจาก...ผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินเหมือนเดิมเพคะ”

“เจ้าหมายถึง..”

“พ่อของหม่อมฉัน”

เงียบ ......ทั้งห้องเหมือนหยุดหายใจ

อวี้เหยียนมองหญิงตรงหน้า หญิงที่ยืนสงบนิ่งสายตาไม่หวั่นไหว

นางไม่ใช่คนที่เคยยอบกายหลบอยู่ในมุมตำหนักอีกต่อไป

“เจ้ารู้ไหม การก้าวเข้ามาในที่นี้...เท่ากับเจ้าท้าทายข้า”

“หม่อมฉันรู้เพคะ”

“แล้วทำไมยังกล้า”

เธอยิ้มบาง รอยยิ้มที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยเห็น เขายอมให้นางทำหน้าบูดบึ้งเสียยังดีกว่า เพราะมันทำให้ใจเขากระตุกสั่นอย่างน่ากลัว

“เพราะข้าเชื่อว่า...แม้ฝ่าบาทจะโหดเหี้ยมเพียงใด ก็ยังไม่อาจฆ่าคนที่พูดความจริง”

หลังคำพูดนั้น ทุกคนในห้องต่างสูดลมหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว เสียงของเธอแผ่ว แต่ดังก้องในใจทุกคนในห้อง นางกล้าว่าฮ่องเต้ซึ่งหน้าได้อย่างไร! แม้แต่เสียงฝีพระบาทของฮ่องเต้ที่ก้าวลงจากบัลลังก์ยังได้ยินชัดเจนเกินไป

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสายตาของเจ้ากำลังทำให้ข้าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ”

“หม่อมฉันไม่รู้เพคะ...แต่ข้าหวังว่ามันจะทำให้ฝ่าบาท ‘เห็น’ สิ่งที่ควรเห็นเสียที”

ทั้งห้องเงียบงันไม่มีใครกล้าขยับ แล้วพระองค์ก็เอื้อมมือมาหยิบรายงานนั้นขึ้นมาอีกครั้ง พระหัตถ์สั่นเพียงน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

“ประชุมจบลงเพันงเท่านี้ ข้า...จะตรวจสอบด้วยตัวเอง”

เสียงตะโกนขานรับ “ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี!” ดังขึ้นพร้อมกัน

แต่ไม่มีใครรู้ว่าหัวใจของจักรพรรดิในยามนี้ ไม่สงบนิ่งเหมือนเสียงนั้นเลย เพราะทันทีที่นางเดินจากไป

อวี้เหยียนก็รู้สึกได้ว่า...นางไม่ได้ชนะด้วยคำพูด แต่ด้วยความกล้าที่เขาไม่เคยมี

.......

กลางคืนวังเงียบสงบไร้ซึ่งสรรพเสียงใด แสงจันทร์ลอดผ่านซุ้มหน้าต่าง ทอดเงาลายไม้ลงบนพื้นเย็น ในตำหนักหลวง อวี้เหยียนนั่งอยู่ในความมืด ข้างหน้าเป็นรายงานที่เปิดค้างไว้ แสงเทียนไหววูบเล็กน้อย เผยให้เห็นสีพระพักตร์ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

ดวงตาที่เคยเฉียบคม...กลับดูเหนื่อยล้า และว่างเปล่า

เสียงเหวินหรงดังขึ้นแผ่ว “ฝ่าบาท...เสวยยาไหมพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่”

“แต่พระวรกาย..”

“ข้าไม่ได้ป่วย” พระสุรเสียงราบเรียบ แต่ในมือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือด

“ข้าเพียง...ไม่เข้าใจ"

“ไม่เข้าใจ...สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ"

อวี้เหยียนเงยหน้าขึ้น พระเนตรมืดลง “ทำไมทุกครั้งที่นางขัดข้า...ข้ากลับรู้สึกโล่งอก”

เหวินหรงเงียบ เขาอยากพูดว่า “เพราะพระองค์รักนาง” แต่ก็รู้ดีว่าคำพูดนี้...อาจหมายถึงความตายของตัวเอง แทนที่จะตอบ เขาเพียงค้อมศีรษะ

“ฝ่าบาท...ในสนามรบ มีบางศึกที่เราต้องแพ้ก่อนถึงจะเห็นขอบเขตของตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดนั้นลอยวนอยู่ในอากาศเนิ่นนาน ก่อนที่อวี้เหยียนจะหัวเราะเบา ๆ

“เจ้ากล้าเปรียบข้ากับคนแพ้หรือเหวินหรง”

“กระหม่อมเพียงกล่าวความจริงพ่ะย่ะค่ะ”

“หึ...” พระองค์หลุบพระเนตรลง “บางที...เจ้าก็เหมือนนาง”

......

อีกฟากหนึ่งของวัง ตำหนักคุนหนิง ลมเย็นพัดผ่านม่านขาวที่ปลิวเบา ๆ อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ข้างหน้าเป็นกลีบเหมยขาวที่ร่วงอยู่สามกลีบ เสี่ยวหลิงลอยอยู่ข้าง ๆ แสงในร่างของมันนวลอุ่นเหมือนแสงหิ่งห้อย

[ภารกิจ “คืนสมดุลให้จักรพรรดิ” — ความคืบหน้า 14%]

[ระบบวิเคราะห์: เป้าหมายแสดงอาการ “สับสนทางอารมณ์ขั้นสูง”]

[แนะนำให้หม่าม๊า “ถอยห่าง” เพื่อป้องกันการทำลายตนเอง]

“ถอยห่างเหรอ...” อวิ๋นซินเยว่ายิ้มบาง

“ถ้าข้าถอยในตอนนี้...ทุกอย่างที่ทำมาจะกลายเป็นแค่การแสดงราคาถูก”

[ผู้ใช้กำลังเสี่ยงเกินขีดจำกัดที่ระบบคำนวณได้]

“ดี” เธอกระซิบเบา ๆ “แปลว่าข้าเริ่มออกนอกกรอบของระบบแล้วจริง ๆ” เสี่ยวหลิงนิ่งไป แสงของมันสั่น

[...ข้าไม่เข้าใจผู้ใช้เลย]

“เจ้าจะเข้าใจเองในวันหนึ่งเสี่ยวหลิง” เธอพูดเสียงนุ่ม

“เมื่อเจ้าได้รู้ว่า สิ่งที่ทำให้คนยังเดินต่อได้...ไม่ใช่ความหวัง ไม่ใช่ตรรกะ แต่คือ ‘ความดื้อด้านของหัวใจ’ ที่ไม่ยอมแพ้แม้จะเจ็บจนหายใจไม่ออก” เธอยกมือแตะที่ข้อมือข้างซ้าย ริบบิ้นแดงยังอยู่ตรงนั้น ซีดลงเล็กน้อยแต่ยังไม่ขาด

ขณะเดียวกันนอกตำหนักคุนหนิง เงาร่างหนึ่งยืนอยู่หลังต้นเหมย

ชายในชุดคลุมดำซ่อนพระพักตร์ในความมืด แสงจากตะเกียงสะท้อนให้เห็นเพียงเสี้ยวแววตาคมที่เฝ้ามองเข้าไปในห้อง อวี้เหยียนไม่รู้ว่าตัวเองมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เพียงรู้ว่าพระหัตถ์กำแน่นอยู่ข้างตัว เขาเห็นเธอผ่านผ้าม่าน เห็นเธอนั่งนิ่ง เหมือนกำลังพูดกับใครบางคนที่มองไม่เห็น พระหัตถ์สั่นเพียงน้อย ก่อนพระองค์จะพูดกับตัวเองเบา ๆ

“เจ้าจะเล่นเกมนี้กับข้าจริง ๆ หรือ ซินเยว่...”

พระเนตรวาบแสงเจ็บปวดที่ไม่มีใครเห็น ก่อนจะหันหลังกลับ เดินหายไปในความมืดของยามค่ำคืน

ในตำหนัก เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นอีกครั้ง

[มีสัญญาณชีพอยู่ใกล้ตำหนักเมื่อครู่]

อวิ๋นซินเยว่ไม่หันมอง เพียงพูดเบา ๆ

“ฉันเห็นแล้ว”

มือเธอแตะกลีบเหมยขาวในแจกัน

“แต่ยังไม่ถึงเวลา...”

แสงจันทร์อาบทั่ววัง หนึ่งคนยืนมองอยู่ในเงา อีกคนมองเงานั้นโดยไม่หันหลังและทั้งคู่...ต่างรู้ดีว่าจากนี้เกมที่เริ่มด้วยคำว่า “อำนาจ”กำลังกลายเป็นเกมของ “หัวใจ” ที่ใครขยับก่อน...คือผู้แพ้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   21

    ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   20

    สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   19

    เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   18

    อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   17

    ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   16

    หมอกเช้าคลอแอ่งบัวหน้าตำหนักคุนหนิง ดอกเหมยปลิวบาง ๆ คล้ายผงหิมะที่หลงฤดู อวิ๋นซินเยว่เพิ่งงีบไปได้ไม่นาน นางสะดุ้งตื่นเมื่อได้กลิ่นชาอุ่นหอม "นี่มันไม่ใช่ชาของตำหนักนี่" “กงกง?” นางถามเสียงงงงัน กงกงอี้จิ้ง คุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ยกถาดไม้หอมเข้ามา ถ้วยหยกสีอ่อนขุ่นด้วยไอร้อน บนถาดมีซองตำรับเขียนด้วยลายมือเส้นเรียบคมตำรับชาแก้แพ้และตลับยาทาแผลเนื้อดี “จากสำนักหมอหลวงพะย่ะค่ะ” เขาหยุดเสี้ยววินาทีและยิ้มจาง "ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างในสำนัก…ต้องผ่านพระเนตร ‘ใครบางองค์’ ก่อนเสมอพะย่ะค่ะ” แก้มขวาซับสีเลือดขึ้นมาทันที อวิ๋นซินเยว่มิได้ถามต่อ เพียงรับถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ สูดกลิ่นขิงและเกสรชาขาวอ่อน ๆ แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อคนส่ง และต่อ “ผู้ไม่ออกนาม” ที่อยู่ไกลออกไป แสงนวลของรุ่งสางทำให้ห้องดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืน นางจิบชาช้า ๆ และปล่อยลมหายใจยาวครั้งแรกในรอบหลายชั่วยาม ข้างกายมีร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลิง ลอยตุ้บป่องขึ้นมา ทำหน้าจริงจังกว่าทุกที [ติ๊ง… อัปเดตค่า: ไทเฮามีรับสั่งให้ “สอบเส้นทางถุงหอม” เช้านี้ หม่าม๊าจะถูกเชิญไปด้วยในฐานะผู้จัดงานครับ ปล. แต้มเลื่อมใสต่อฮองเฮาใน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status