 LOGIN
LOGINสายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน
“พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง “เชือก” ที่ถ้าถูกดึงแรงเกินไป จะกลายเป็นบ่วงรัดคอผู้ดึงเสียเอง หลังขันทีออกไป เสี่ยวหลิงปรากฏตัวขึ้นเหนือโต๊ะชา รูปโปร่งแสงของมันสั่นเบา ๆ [พระราชโองการนี้ส่งผลให้ “อำนาจในวังหลังของผู้ใช้” ลดลง 62%] [ระบบวิเคราะห์ว่าเป้าหมายกำลัง...] .... [...ขอโทษ ระบบไม่เข้าใจการแสดงออกของผู้ใช้] อวิ๋นซินเยว่นั่งจิบชาอย่างสงบ "ที่หนูวิเคราะห์ไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ ‘การตอบสนอง’ เสี่ยวหลิง” เธอวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา “แต่มันคือการเริ่มต้น” [เริ่มต้น...?] “ใช่ ฉันเพิ่งรู้ว่าในโลกนี้ คนที่มีอำนาจเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายผู้อื่นได้” เธอลุกขึ้น ยกพระราชโองการขึ้นมาดูใกล้ ๆ แสงจากประตูสะท้อนผ่านตัวอักษรสีทอง “ฝ่าบาทอยากให้ฉันอ่อนลง ฉันก็จะอ่อนลง...แต่ไม่ใช่เพื่อให้เขาชนะหรอก แต่ฉันต้องชนะและได้ออกไปจากที่นี่ซักที” .......... ขณะเดียวกัน จักรพรรดิอวี้เหยียนวางพู่กันลงบนโต๊ะทรงงาน ข้างกายมีเหวินหรงยืนรอรับพระบัญชาเพิ่มเติม “ข่าวคงถึงตำหนักคุนหนิงแล้วสินะ” “พ่ะย่ะค่ะ” “นางว่าอย่างไรบ้าง” “...เงียบพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีวี่แววต่อต้าน” อวี้เหยียนหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยทั้งความเยาะและความสั่นไหว “เงียบ...” พระองค์พึมพำ “ข้าน่าจะดีใจ แต่ไม่รู้ทำไม...กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังถูกพรากไป” เหวินหรงไม่กล้าตอบ พระเนตรของฮ่องเต้มองไปยังแจกันดอกเหมยขาวบนโต๊ะ กลีบที่เหลืออยู่เพียงสองกลีบ หนึ่งโรยรา อีกหนึ่ง...กำลังบานช้า ๆ ในยามบ่าย เสียงซุบซิบเริ่มกระจายทั่ววังหลัง “ฮองเฮาถูกลดอำนาจแล้วจริง ๆ หรือ?” “ได้ข่าวว่าทรงหัวเราะตอนรับพระราชโองการด้วยนะ...” “หัวเราะงั้นหรือ หรือว่านางเริ่มเสียสติแล้ว” แต่ในมุมลึกของตำหนักคุนหนิง เสียงหัวเราะของซินเยว่นั้นสงบและมีจังหวะ เธอพูดกับเสี่ยวหลิงเบา ๆ ขณะพลิกสมุดบันทึกในมือ “เจ้าจำได้ไหม เสี่ยวหลิง...ตอนที่ข้าเคยถามเจ้าว่า ถ้าระบบไม่มีหัวใจจะเข้าใจมนุษย์ได้อย่างไร” [จำได้ครับ] “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว” เธอยิ้มบาง “มนุษย์เองก็ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจ ถึงจะเอาชนะอำนาจได้” เสียงกระดิ่งเงินดังเบา ๆ ยามสาย กลิ่นดอกเหมยอบอวลในอากาศ ภายในตำหนักที่เคยเงียบราวสุสานเมื่อวานนี้ กลับมีเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน นางกำนัลคนหนึ่งกระซิบกับอีกคน “พระองค์...มีเรื่องใดที่มำให้อารมณ์ดีหรือเพคะ?” อีกคนตอบเสียงสั่น “ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นหัวเราะ...หรือเป็นเสียงของคนที่เพิ่งตัดสินใจจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว” อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ปอยผมที่ยังไม่แห้งดีสะท้อนกับแสงแดด ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มบางที่ไม่มีใครอ่านออก [หม่าม๊ามีอัตราการเต้นของหัวใจปกติ] [แต่ระดับสารอะดรีนาลีนสูงผิดปกติ] เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นอย่างระวัง [ท่านอยู่ในภาวะ... “อันตรายแต่มุ่งมั่น”] “เจ้าพูดถูก” ซินเยว่ตอบเสียงเรียบ “เพราะถ้าอยากอยู่รอดในวังนี้ ต้องเรียนรู้จะ ‘อันตราย’ พอที่จะไม่ถูกกลืนกินทั้งเป็น” เธอลุกขึ้น สวมเสื้อคลุมไหมสีงาช้าง มือเรียวหยิบกล่องเครื่องหอมและกลีบดอกเหมยแห้งใส่ถุงผ้า “ไปตำหนักกุ้ยเฟยกันเถอะ” [คำเตือน: ตำหนักซูกุ้ยเฟยคือเขตอันตรายระดับสูง] [ระบบไม่แนะนำให้ท่านเข้าใกล้] “เจ้าลืมแล้วหรือเสี่ยวหลิง...ข้าชอบเล่นในที่ที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้” ....... ตำหนักซูกุ้ยเฟย เสียงพิณอ่อนดังระรื่น กลิ่นเครื่องหอมแรงจนชวนมึน ซูกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนตั่งหินอ่อน สีหน้าเรียบเย็นราวสลักจากน้ำแข็ง นางปรายตามองซินเยว่ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบ “ฮองเฮา...เสด็จมาเยือนตำหนักของหม่อมฉันโดยมิได้แจ้งก่อน เกรงว่าคงจะผิดธรรมเนียมนะเพคะ” “ธรรมเนียม?” ซินเยว่ยิ้มบาง “ข้าคิดว่าอำนาจการดูแลวังหลังที่ได้ไป คงทำให้เจ้าเผลอลำพองใจมากไปแล้วกระมัง” แม้คำพูดจะคาดโทษแต่โทนเสียงกลับอ่อนโยนราวน้ำผึ้ง ซูกุ้ยเฟยนิ่งไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “มิใช่เช่นนั้นหรอกเพคะ พี่หญิงล้อเล่นแล้ว เพียงแต่ว่ามากระทันหันเช่นนี้ น้องเลยมิได้จัดเตรียมสิ่งใดให้เสวย นอกเสียจากชาร้อนเท่านั้น พี่หญิงอย่าได้ขุ่นเคือง อีกทั้งฝ่าบาทก็พระทัยดีนัก ถึงได้ให้พี่หญิงมาหาหม่อมฉันเช่นนี้" “ฝ่าบาทใจดีเสมอ” ซินเยว่ตอบเรียบ “เพียงแต่ความใจดีของพระองค์ บางครั้งก็แสดงออกด้วยพระราชโองการ” ซูกุ้ยเฟยเลิกคิ้ว “พูดเช่นนี้...หมายความว่าอะไรหรือเพคะ” อวิ๋นซินเยว่ก้าวเข้าใกล้ แล้วเปิดถุงผ้าออก ภายในมีกลีบดอกเหมยขาวแห้งร้อยด้วยด้ายแดงเส้นเล็ก เธอยื่นให้ “ข้าเพียงอยากให้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับผู้ที่ได้ภาระใหม่ในวัง” ซูกุ้ยเฟยมองสิ่งนั้นอย่างหวาดระแวง “นี่คืออะไรหรือเพคะ” “กลีบเหมยที่ข้าเก็บเองในคืนฝนตก” ซินเยว่เอ่ยเสียงอ่อน “กลิ่นมันคงจางไปแล้ว...แต่เหมาะสำหรับใช้ในยามนอนไม่หลับ” ซูกุ้ยเฟยหัวเราะเย้ย “ฮองเฮาไม่กลัวหรือว่า...ข้าจะคิดว่าของนี้มีพิษ?” “ไม่เลย” ซินเยว่ยกยิ้มอย่างสงบ “เพราะถ้าเจ้าไม่ไว้ใจ ข้าก็จะเป็นคนแรกที่ตาย และนั่นคงทำให้ฝ่าบาทได้เห็นว่าใครกันแน่ที่ ‘ภักดี’ กว่ากัน” คำพูดนั้นทำให้นางในรอบข้างแข็งค้าง มีเพียงซูกุ้ยเฟยที่นิ่งไป ก่อนจะหัวเราะขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แววตานางเริ่มซับซ้อน “ท่านนี่น่าสนใจนักนะ ฮองเฮา” “ข้าเป็นเพียงคนที่เบื่อจะต้องอยู่ใต้คำสั่งแล้ว” หลังจากที่ซินเยว่เดินจากไป ซูกุ้ยเฟยนั่งนิ่งอยู่นาน มือของนางลูบกลีบดอกไม้ในถุงผ้านั้นช้า ๆ กลีบเหมยแห้ง ไม่มีพิษจริง ๆ แต่กลับมีกลิ่นจาง ๆ ที่ทำให้นางใจเต้นแรง ในความเงียบ เสียงหัวเราะของฮองเฮายังสะท้อนในหัว “...เบื่อจะอยู่ใต้คำสั่ง?” ขณะเดียวกัน ที่ตำหนักหลวง อวี้เหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์ มือพลิกดูรายงานของวังหลัง ในรายงานนั้น มีบันทึกว่า “ฮองเฮาเสด็จไปตำหนักกุ้ยเฟยด้วยพระองค์เอง” “ทรงมอบเครื่องหอมส่วนพระองค์ให้กุ้ยเฟยโดยสมัครพระทัย” ปลายนิ้วของอวี้เหยียนหยุดลงบนประโยคสุดท้าย ริมพระโอษฐ์คลี่ยิ้มบาง แต่เป็นรอยยิ้มของนักรบที่เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มตอบโต้ "เจ้านี่...” พระสุรเสียงแผ่วต่ำ “เริ่มเล่นในสนามของข้าแล้วสินะ ซินเยว่”
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ
หมอกเช้าคลอแอ่งบัวหน้าตำหนักคุนหนิง ดอกเหมยปลิวบาง ๆ คล้ายผงหิมะที่หลงฤดู อวิ๋นซินเยว่เพิ่งงีบไปได้ไม่นาน นางสะดุ้งตื่นเมื่อได้กลิ่นชาอุ่นหอม "นี่มันไม่ใช่ชาของตำหนักนี่" “กงกง?” นางถามเสียงงงงัน กงกงอี้จิ้ง คุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ยกถาดไม้หอมเข้ามา ถ้วยหยกสีอ่อนขุ่นด้วยไอร้อน บนถาดมีซองตำรับเขียนด้วยลายมือเส้นเรียบคมตำรับชาแก้แพ้และตลับยาทาแผลเนื้อดี “จากสำนักหมอหลวงพะย่ะค่ะ” เขาหยุดเสี้ยววินาทีและยิ้มจาง "ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างในสำนัก…ต้องผ่านพระเนตร ‘ใครบางองค์’ ก่อนเสมอพะย่ะค่ะ” แก้มขวาซับสีเลือดขึ้นมาทันที อวิ๋นซินเยว่มิได้ถามต่อ เพียงรับถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ สูดกลิ่นขิงและเกสรชาขาวอ่อน ๆ แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อคนส่ง และต่อ “ผู้ไม่ออกนาม” ที่อยู่ไกลออกไป แสงนวลของรุ่งสางทำให้ห้องดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืน นางจิบชาช้า ๆ และปล่อยลมหายใจยาวครั้งแรกในรอบหลายชั่วยาม ข้างกายมีร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลิง ลอยตุ้บป่องขึ้นมา ทำหน้าจริงจังกว่าทุกที [ติ๊ง… อัปเดตค่า: ไทเฮามีรับสั่งให้ “สอบเส้นทางถุงหอม” เช้านี้ หม่าม๊าจะถูกเชิญไปด้วยในฐานะผู้จัดงานครับ ปล. แต้มเลื่อมใสต่อฮองเฮาใน








