LOGINตลอดสองวันนับตั้งแต่เกิดเรื่อง เฟิงอวี่พักรักษาตัวโดยที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาก่อกวนนาง จนตอนนี้ร่างกายของนางฟื้นตัวดีแล้ว
“มีทางลับหรือไม่” นางให้เสี่ยวเยว่ไปสืบหาทางลับที่จะออกจากตำหนัก
“มีเจ้าค่ะ แต่อยู่ในห้องตำรา”
“ไม่ได้ แล้วทางอื่นเล่า”
“ทิศตะวันตกของตำหนัก เป็นพื้นที่รกร้าง อยู่ติดกับตำหนักของตระกูลจ้าว เอ่อ...มีช่องหมาลอดอยู่เจ้าค่ะ”
“ใหญ่พอข้าออกไปได้หรือไม่” หากนางกระโดดออกจากกำแพง ต้องถูกองครักษ์จับได้แน่
“ได้เจ้าค่ะ บ่าวลองดูแล้ว คุณหนูจะเดินทางเมื่อใดเจ้าคะ”
“ตอนนี้” ตอนกลางวัน แม้จะมีผู้คนทำงานมากในตำหนัก แต่อย่างน้อยก็ลดการตรวจตราจากองครักษ์ไปได้
“จะ จะไปอย่างไรเล่าคุณหนู” เสี่ยวเยว่ลืมร้อนใจกับความใจกล้าของคุณหนู ที่ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิมตั้งแต่เมื่อใด
“เอาชุดของเจ้ามาให้ข้า ข้าวของที่เก็บไว้เอาเข้ามาให้หมด ต่อจากนี้พบเห็นสิ่งใดหุบปากเอาไว้ให้สนิท หากเจ้าพูดเรื่องของข้าสิ่งใดออกไป...” สายตาที่แฝงไปด้วยไอสังหารทำให้เสี่ยวเยว่ตกใจจนเผลอถอยหลังไปหลายก้าว
“บ่าวจะกล้าพูดได้อย่างไรเจ้าคะ” นางรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะไปเอาของที่เตรียมไว้มาไว้ในห้องของเฟิงอวี่ แล้วช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า
เฟิงอวี่นางนำเพียงของมีค่า ตั๋วเงินที่ต้องใช้ระหว่างทางและเสื้อผ้าของนางกับเสี่ยวเยว่เท่านั้น ที่เหลือถูกทิ้งไว้อยู่ที่เดิม โดยนางไม่คิดจะแตะต้องสิ่งใด
เสี่ยวเยว่ เกือบจะกรีดร้องออกมา เมื่อของทั้งหมดหายไปต่อหน้านาง ยังดีที่เฟิงอวี่ปิดปากของนางเอาไว้ได้ทัน
“ข้าเกือบตายอย่างไม่เป็นธรรม ท่านเทพจึงประทานของวิเศษมาให้ข้า หากเจ้าพูดออกไป ข้าก็ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้หรือไม่” นางพูดอธิบายและข่มขู่ไปในตัว
ในยุคนี้ไม่ว่าผู้ใดก็หลงเชื่อ เมื่อมีเทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เสี่ยวเยว่รีบพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทันที ในตอนแรกนางก็โกรธที่คุณหนูของตนได้รับความไม่เป็นธรรมจากตำหนักองค์ชายรอง แต่เมื่อท่านเทพให้สิ่งวิเศษมาทดแทน ก็ค่อยพอใจขึ้นมานิดหน่อย
“นำทาง”
เสี่ยวเยว่เดินสำรวจทางก่อนหน้ามาแล้ว นับตั้งแต่วันที่เฟิงอวี่ให้นางหาช่องทางหนีออกจากตำหนัก นางจึงพาเฟิงอวี่หลบสายตาของบ่าวไพร่และองครักษ์ในตำหนักได้
เมื่อมาถึงช่องหมาลอด เฟิงอวี่ไม่หยุดคิดสักนิด นางให้เสี่ยวเยว่มุดตัวออกไปทันที
“คะ คุณหนู...”
เฟิงอวี่นางคิดว่าด้านนอกไม่มีผู้ใด นางจึงมุดตัวออกตามเสี่ยวเยว่ไป แต่เมื่อออกมาด้านนอกก็เห็นดาบพาดอยู่ที่คอของเสี่ยวเยว่ ด้านข้างกำแพงยังมีหนิงหวงที่มองมาทางนางอย่างเย้ยหยัน
“พระชายาของข้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก แม้แต่ช่องหมาลอด เจ้าก็ยังกล้ามุดออกมา”
“...” เฟิงอวี่จ้องมองหนิงหวงอย่างเย็นชา “ปล่อยนาง”
“กลับไปพร้อมข้า แล้วข้าจะปล่อยสาวใช้ของเจ้า”
เฟิงอวี่เรียกมีดสั้นออกมาถืออยู่ในมือ แต่ก่อนที่นางจะพุ่งตัวเข้าช่วยเสี่ยวเยว่ องครักษ์ที่พาดดาบอยู่ที่คอของนางก็กดคมดาบเข้าไปที่เนื้อ จนเลือดไหลซึมออกมา
“อยากให้สาวใช้ของเจ้าตายก็ลงมือเสีย”
เดิมที เฟิงอวี่นางก็ไม่สนใจชีวิตของผู้ใดอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่กับเสี่ยวเยว่ที่ดูเหมือนจะผูกพันกับเจ้าของร่างเดิม นางขว้างมีดสั้นไปอยู่ที่ปลายเท้าของหนิงหวง ห่างจากเท้าของเขาเพียงแค่หนึ่งชุ่นเท่านั้น (1ชุ่น=3.33เซนติเมตร)
“ปล่อยนาง” หนิงหวงเอ่ยเสียงเย็นออกมา
เฟิงอวี่รีบเข้าไปดูแผลว่าลึกหรือไม่ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าห้ามเลือดเอาไว้ก่อน
“เจ้าจะไปที่ใด” ระหว่างทางที่เดินกลับตำหนัก หนิงหวงก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย
“เดินเล่น”
“ประตูหน้ามีออก แต่เจ้ามาออกทางหมาลอดหรือ”
เฟิงอวี่นางไม่ตอบสิ่งใด จนเดินมาถึงเรือนพักของนาง นางดึงตัวเสี่ยวเยว่ให้เข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูทันที หนิงหวงที่เดินตามเกือบจะถูกประตูปิดใส่หน้า ยังดีที่เขาหยุดฝ่าเท้าเอาไว้ได้ทัน
“นั่งนิ่งๆ ข้าจะทำแผลให้”
เฟิงอวี่นำอุปกรณ์ทำแผลของนางออกมา แล้วลงมือจัดการล้างแผล ทายาอย่างชำนาญ
“คุณหนู ถูกองค์ชายจับได้เช่นนี้ ต่อไปจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ไม่ทำอย่างไร ข้ามีหนทาง เจ้ากินยาแล้วพักก่อน” เสี่ยวเยว่มองยาเม็ดหลากสีในมืออย่างแปลกใจ แต่เมื่อมันมาจากคุณหนูของตน นางจึงกินโดยไม่ได้เอ่ยถาม
ยาไม่ได้ขม เช่นยาต้มที่นางเคยกิน เพียงไม่นานเสี่ยวเยว่ก็เดินไปนอนที่นอนของนางแล้วหลับไปทันที
“ดูท่า คงต้องใช้ไม้แข็ง” เฟิงอวี่ยิ้มเย็นออกมา
สาวใช้ที่นำอาหารมาส่ง แจ้งนางว่าหนิงหวงจะค้างที่ตำหนักชายารอง นางรอดูท่าทีของเฟิงอวี่ตามคำสั่งของหนิงหวง เมื่อเห็นนางไม่ทุกข์ร้อนอันใดก็กลับออกไปรายงาน
เฟิงอวี่ไม่แตะต้องอาหารที่สาวใช้ยกเข้ามา นางไม่ไว้ใจหนิงหวงและโจวเจิน อาหารนางมีอยู่เต็มมิติ จึงนำออกมากินรองท้องกับเสี่ยวเยว่
“เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง ยังเจ็บมากอยู่หรือไม่”
“บ่าวมิได้เจ็บปวดแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีแผลก็ไม่ได้ลึกนัก องครักษ์พ่านคงไม่ได้อยากเอาชีวิตของบ่าว”
“อืม เช่นนั้นเตรียมตัว หาผ้าปิดจมูกเอาไว้”
หนิงหวงก่อนจะไปเรือนพักของโจวเจินตามคำขอของนาง เขาวางกำลังคนเอาไว้ที่เรือนของเฟิงอวี่หลายสิบคน เพื่อป้องกันนางหลบหนี แม้จะแคลงใจเรื่องที่โจวเจินนางเป็นผู้วางยาพิษหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากจะทำให้นางเสียใจ จึงได้มารับมื้อเย็นที่เรือนของนางและจะอยู่ค้างคืนกับนาง
โจวเจินก็แต่งกายอย่างงดงาม ทั้งยังจัดเตรียมอาหาร สุราเพื่อเอาใจหนิงหวงอย่างสุดความสามารถ
เฟิงอวี่เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มจะมืดสนิทดีแล้ว นางจึงนำยาสลบแบบควันออกมาใช้ เสียงประตูห้องถูกเปิด องครักษ์ต่างมองมาที่หน้าประตูเป็นตาเดียว เฟิงอวี่นางจุดแท่งยาสลบเอาไว้แล้ว เสี่ยวเยว่โยนที่หน้าประตู ส่วนนางโยนออกไปทางหน้าต่าง
เมื่อควันเริ่มพวยพุ่ง องครักษ์ต่างเข้ามามองอย่างสนใจ ในตอนแรกคิดว่าเฟิงอวี่นางจุดไฟโยนออกมา แต่พอเพ่งมองดีๆ พวกเขาก็สลบหมดสติไปเสียแล้ว
“ตามข้ามา” ระหว่างทางที่เดินกลับมาพร้อมหนิงหวง นางมองหาช่องทางหนีออกจากตำหนักเอาไว้แล้ว
กำแพงตำหนักที่ไม่ห่างจากเรือนพักของนางมากนักพอจะให้กระโดดออกไปได้ เมื่อทางสะดวก ทั้งสองต่างก็วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เฟิงอวี่ดันตัวเสี่ยวเยว่ให้กระโดดออกไปก่อน แล้วนางจึงกระโดดตามออกไป
ทั้งสองออกจากตำหนักไปได้ เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงโวยวายภายในตำหนักก็ดังขึ้น โจวเจินที่กำลังจะถูกเปลื้องผ้า ก็ต้องถูกเสียงร้องเรียกขององครักษ์ขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
“มันเรื่องอันใดอีก!!!” เดิมทีหนิงหวงก็ไม่มีอารมณ์จะร่วมรักอยู่แล้ว เขาปวดหัวกับเรื่องที่คิดไม่ตกว่าเหตุใดเฟิงอวี่นางถึงต้องการหนีไปด้วย ยิ่งได้ยินเสียงเรียกอย่างร้อนใจ เขาก็รีบแต่งตัวแล้วออกไปทันที
“น่าจะตายไปเสีย อยู่เป็นก้างขวางคออยู่ใด” โจวเจินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บนที่นอน
องครักษ์คุกเข่าลง เนื้อตัวสั่นเทา รายงานเรื่องที่เฟิงอวี่นางหายตัวไป
“กระจายกำลังคนออกไปตามหา อย่างไรนางก็ออกจากเมืองคืนนี้ไม่ได้ ส่งคนไปจับตาดูที่จวนตระกูลเซี่ยกับตระกูลจินด้วย อย่าให้เอิกเกริกเกินไป” เขากุมขมับด้วยความปวดหัว ก่อนจะเดินไปที่เรือนพักของเฟิงอวี่
ควันสลบไม่มีหลงเหลือแล้ว เหลือเพียงร่างขององครักษ์ที่นอนสลบยังไม่ได้สติ มีบางส่วนที่ไม่ได้สูดดมเข้าไปมาก พอถูกน้ำเย็นสาดก็ฟื้นขึ้นมานั่งมึนงง
“ยาสลบ เก่งนัก!!!” หนิงหวงต่อยผนังห้องอย่างแรง จนเลือดไหลซึมออกมา
ตลอดสองวันนับตั้งแต่เกิดเรื่อง เฟิงอวี่พักรักษาตัวโดยที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาก่อกวนนาง จนตอนนี้ร่างกายของนางฟื้นตัวดีแล้ว“มีทางลับหรือไม่” นางให้เสี่ยวเยว่ไปสืบหาทางลับที่จะออกจากตำหนัก“มีเจ้าค่ะ แต่อยู่ในห้องตำรา”“ไม่ได้ แล้วทางอื่นเล่า”“ทิศตะวันตกของตำหนัก เป็นพื้นที่รกร้าง อยู่ติดกับตำหนักของตระกูลจ้าว เอ่อ...มีช่องหมาลอดอยู่เจ้าค่ะ”“ใหญ่พอข้าออกไปได้หรือไม่” หากนางกระโดดออกจากกำแพง ต้องถูกองครักษ์จับได้แน่“ได้เจ้าค่ะ บ่าวลองดูแล้ว คุณหนูจะเดินทางเมื่อใดเจ้าคะ”“ตอนนี้” ตอนกลางวัน แม้จะมีผู้คนทำงานมากในตำหนัก แต่อย่างน้อยก็ลดการตรวจตราจากองครักษ์ไปได้“จะ จะไปอย่างไรเล่าคุณหนู” เสี่ยวเยว่ลืมร้อนใจกับความใจกล้าของคุณหนู ที่ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิมตั้งแต่เมื่อใด“เอาชุดของเจ้ามาให้ข้า ข้าวของที่เก็บไว้เอาเข้ามาให้หมด ต่อจากนี้พบเห็นสิ่งใดหุบปากเอาไว้ให้สนิท หากเจ้าพูดเรื่องของข้าสิ่งใดออกไป...” สายตาที่แฝงไปด้วยไอสังหารทำให้เสี่ยวเยว่ตกใจจนเผลอถอยหลังไปหลายก้าว“บ่าวจะกล้าพูดได้อย่างไรเจ้าคะ” นางรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะไปเอาของที่เตรียมไว้มาไว้ในห้องของเฟิงอวี่ แล้วช่วยนางเปล
กรรไกรในมือของซ่งหนิงหวงที่กำลังจะตัดผมของตนและของโจวเจินหยุดชะงัก ก่อนจะขว้างลงพื้นอย่างมีโทสะ แม้เขาจะขังเซี่ยเฟิงอวี่เอาไว้ แต่ไม่ได้อยากให้นางต้องตาย หากนางตายไม่รู้ปัญหาที่ตามมาจะใหญ่โตเพียงใดโจวเจินจะวิ่งตามไป แต่ถูกสาวใช้ห้ามเอาไว้เสียก่อน “หากพระชายารองออกจากห้องหอจะไม่เป็นมงคลนะเจ้าคะ”“พวกโง่ ตามไปสืบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แล้วรีบพาองค์ชายรองกลับมาทำพิธีให้เสร็จ” นางจะยอมให้เขาไม่ทำพิธีต่อได้อย่างไรในเมื่อซ่งหนิงหวงยังไม่ได้เข้าพิธีผูกผมกับเซี่ยเฟิงอวี่ เรื่องนี้นางสืบมาจากสาวใช้แล้ว จึงได้ขอให้เขาทำพิธีผูกผมกับนาง เพื่อจะได้เท่าเทียมกับเซี่ยเฟิงอวี่อย่างที่เขาเคยบอกเอาไว้“จับตัวผู้วางยาได้หรือไม่”“สาวใช้ของพระชายารองพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นผู้นำอาหารเข้ามาให้พระชายา มียาพิษอยู่ในอาหารที่นางนำเข้ามาข้าน้อยตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“มะ ไม่ ไม่จริงเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทำ”“ลากนางออกไปขังเอาไว้ ให้คนสอบสวนนาง” ซ่งหนิงหวงไม่เชื่อว่าโจวเจินนางจะเป็นผู้วางยา ต้องหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังของสาวใช้ออกมาให้ได้“ให้หมอมาตรวจพระชายาแล้วหรือยัง” เขามองใบหน้าที่ไร้สีเลือด และคอที่มีรอยเชือกของนาง ไม่ว่
เสียงฆ้องดนตรีบรรเลง ดังจนเฟิงอวี่ที่หลับต้องยกมือขึ้นปิดหู แต่เมื่อเธอขยับตัวก็พบว่าเจ็บปวดไปทั่วลำคอของเธอจนแทบจะขยับไม่ได้“ถูกยิงที่คอ ไม่ใช่ ไม่ใช่ที่คอ หากเป็นที่คอต้องไม่รอด แต่...” เฟิงอวี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแต่เธอยังไม่ทันได้ลืมตาเต็มตา ความทรงจำประหลาดที่ไม่ใช่ของตนเองก็วิ่งวนเข้ามาในหัวจนเกือบจะกรีดร้องออกมา เธอต้องกัดปากเอาไว้แน่น จนเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก“โง่เขลา” เสียงแหบแห้งที่น่ากลัว ทำให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างสะดุ้งตกใจ“พระชายา ท่านยังไม่ตายหรือเจ้าคะ” แววตาของสาวใช้ไม่มีความยินดี มีเพียงความตกใจและหวาดหวั่นให้ได้เห็นเฟิงอวี่เพียงปรายตามองไปทางนางวูบหนึ่ง ก่อนจะนอนหลับตานิ่งๆ เพื่อประมวลความทรงจำที่ได้มาทั้งหมดตอนที่วิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างของ เซี่ยเฟิงอวี่ บุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลรักษาดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นต้าซ่งเซี่ยเฟิงอวี่เดินทางไปอยู่กับบิดามารดาที่ชายแดนเหนือตั้งแต่เล็ก นางเพิ่งจะเดินทางกลับมาเมืองหลวงเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ด้วยราชโองการพระราชทานสมรสระหว่างองค์ชายรองกับนางหญิงสาวแม้จะงามล่มเมือง แต่ก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ที่ชายแดนเหนือ ถึงจะมีมารดาคอยกล่อมเกล
ภารกิจสุดท้าย เฟิงอวี่ จ้องมองแผ่นกระดาษในมือ ก่อนจะขยำทิ้งอย่างไม่ไยดี มันเป็นภารกิจสุดท้ายที่ไหน มันเป็นคำสั่งส่งเธอไปตายเสียมากกว่าเธอถูกลักพาตัวมาตั้งแต่เด็ก ถูกนายหน้าค้ามนุษย์นำมาขายให้องค์กรใต้ดิน ที่ต้องการเด็กมาฝึกให้เป็นนักฆ่า เธอจำไม่ได้แล้วว่าเคยร้องไห้ครั้งสุดท้ายไปเมื่อไหร่คงเป็นตอนที่ถูกพาตัวมา แล้วถูกโยนลงไปในคูน้ำที่มีแต่สัตว์พิษอยู่ด้านใน เฟิงอวี่ถูกปล่อยให้เอาตัวรอด โดยไม่มีแม้แต่อาหารอยู่ถึงห้าวันวันที่ประตูห้องถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่ถึงกับผงะถอยหลัง ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าคงได้มาเก็บร่างของเด็กน้อยไปทิ้งเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่เป็นแบบนั้น เมื่อเฟิงอวี่ชูงูที่เธอเพิ่งจะกัดกินเนื้อของมันสดๆ ขึ้นให้พวกเขาดูรอบตัวของเธอมีแต่สัตว์ที่ถูกฟันซี่เล็กๆ ของเธอกัดกระชากจนตายเกลื่อน น้ำรอบตัวถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด แม้ร่างกายของเด็กน้อยจะมีร่องรอยโดนกัดอยู่หลายแห่ง แต่ดวงตาคู่โตจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านสติของเฟิงอวี่มืดดับลงทันที เธอถูกส่งตัวไปรักษาที่ห้องพยาบาลขององค์กร แม้แต่หมอในห้องทดลองยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้ พิษที่เธอได้รับเลือดของเธอต่อต้านพิษของสัตว์ร้ายได้ทุกช







