บนบาน
ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ณ เมืองสุพรรณบุรี ตำบลที่ห่างไกลผู้คน ที่ตำบลแห่งนี้ยืดอาชีพทำนาเป็นหลัก เพิ่ม หนุ่มชายวัยสามสิบเอ็ดปี รูปร่างกำยำสูงใหญ่หน้าตาหล่อคมเข้มตามแบบหนุ่มไทยแท้ พ่อแม่ตายจากด้วยไข้ป่า ทิ้งที่ผืนนาแห้งแล้งไว้ให้สี่สิบไร่ เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ลูกเมียก็ยังไม่มี ที่ยังไม่มีนั้นเป็นตัวเขาเองที่ไม่คิดอยากจะมีเมีย เพราะว่าเขามีผู้หญิงในฝันอยู่แล้วนั้นเอง
เมื่อถึงเวลาหลับใหล เพิ่มจะฝันถึงหญิงสาว คนเดิมซ้ำ ๆ ภายในฝันนั้นทั้งสองอยู่ในสถานที่ ที่หนึ่งกำลังคลอเคลียจวนจะได้เสียกัน แต่ทุกครั้งชายหนุ่มจะตื่นก่อนเสมอ
เพิ่มจำหน้าหญิงสาวที่เขาฝันถึงได้ดี ซึ่งไม่มีหญิงคนใดในตำบลที่เขาอาศัยอยู่นี้เหมือนนางในฝันของเขาสักคน เขาจึงครองตัวเป็นโสดมานานหลายปี แม้จะมีหญิงสาวสุดสวยบ้านรวย
ระดับตำบล มาชอบเขา คอยเอากับข้าวขนมมาส่งให้ไม่ขาด แต่ชายหนุ่มก็หาจะสนใจไม่ เขายังคงมีหญิงสาวในฝันนั้นอยู่ในใจไม่เปลี่ยนแปลง
วันนี้หลังจากยุ่งอยู่กับการถอนหญ้า เปิดน้ำใส่นา ที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว เขาเองก็หวังว่าจะได้ผลผลิตที่ดีบ้าง เพราะจำความได้ว่าทำนามาตั้งแต่เกิดมักจะได้ผลผลิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทำให้ฐานะทางบ้านของชายหนุ่มยังยากจนเหมือนเดิม
พระอาทิตย์จวนจะตกดิน เพิ่มก็ขึ้นจากนา อาบน้ำล้างตัวที่บ่อน้ำใกล้ ๆ กินข้าวกับปลาย่างที่ห่อมาตั้งแต่เช้า ก่อนจะขึ้นไปนอนที่เถียงนาของเขาเอง ชายหนุ่มไม่อยากจะเดินกลับเรือน ที่อยู่ห่างออกไปห้ากิโลเมตร จึงได้เลือกจะนอนที่เถียงนานี้ เพราะพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วลงนาจัดการงานที่ยังทำค้างได้ให้เสร็จ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินกลับบ้านไปมา เมื่อจัดการทุกอย่างเงียบร้อย ชายหนุ่มก็กางมุ้งแล้วเข้านอน
เวลาผ่านไปจนกลางดึก ชายหนุ่มหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทรา ร่างกายใหญ่แข็งแรงกำยำ กล้ามที่หน้าท้องนูนถึงเป็นมัด ๆ เริ่มรู้สึกหนาวเย็นยะเยือก มือใหญ่คว้าหาผ้าห่มข้าง ๆ แต่กับสัมผัสไปโดนผิวนุ่มนิ่ม เพิ่มจึงได้ลืมตาขึ้นมาดู ก็พบกับหญิงสาวนางนั้น ที่เขาฝันถึงบ่อย ๆ
แสงจากตะเกียงสาดส่องเป็นเงาสลัว แต่ทำให้เห็นพอมองเห็นใบหน้าสวยของนางได้
หญิงในฝันใช้นิ้วมือ ลูบไล้ไปตามมัดกล้ามหน้าท้องของเขา ก่อนจะล้วงเข้าไปในขอบกางเกงของชายหนุ่ม มือนุ่มนิ่มของเธอจับเข้ากับ ของลับของเขาที่กำลังอ่อนตัวอยู่
เธอกอบกำของชายหนุ่มบีบนวดรูดขึ้นลงอย่างสนุกมือ ไม่นานมันก็แข็งตัวผงาดพองหัวบานอยู่ในกางเกง ชายหนุ่มรู้สึกเสียวไปหมด
มือใหญ่ของเขาเลือนไปกระตุกปมผ้าแถบของหญิงสาว จนมันหลุดออก สองเต้าอวบใหญ่ก็เด้งออกมาโชว์ทันที
เพิ่มใช้มือนวดคลึงอยู่ที่เต้ากลมนั้น นิ้วเขี่ยเม็ดทับทิมสีหวานสลับไปมาทั้งสองข้าง
“อ๊า….” เสียงครางดังออกมาจากปากของเพิ่มไม่ขาดสาย
ขณะที่มือเล็ก กำลังรูดมือขึ้นลงด้วยความเร็วจนชายหนุ่มทนไม่ไว้ เขาก็จับมือเธอหยุดไว้
“อ่า … พอก่อน ขึ้นมา ขึ้นมาบนตัวพี่สิ” น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยบอก
หญิงสาวก็ยกตัวขึ้นก้าวขาข้ามมานั่งคร่อมตัวชายหนุ่มไว้ ชายหนุ่มชันตัวขึ้นมานั่ง จับเต้ากลมนั้นเข้าปาก ดูดดึงขบเม้นสลับไปมาทั้งสองข้างเยี่ยงคนกระหาย เมื่อพอใจแล้วเขาจึงนอนลง ยกสะโพกสวยของนางขึ้น จับท่อนเนื้อจ่อไปที่ร่องรัก แล้วจึงปล่อยให้สะโพกกลมนั้นกดน้ำหนักลงมา
พรึ่บ!!
ลมพัดแสงตะเกียงดับลง ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาลืมตามองไปรอบ ๆ เถียงนานี้กับว่างเปล่า เขาถอนลมให้ใจออกมาอย่างเสียดาย ภายในเถียงนามีเพียงแสงจันทร์ที่สาดแสงเข้ามา ความรู้สึกเมื่อครู่ที่ยังคงค้างคา เพิ่มมองลงมาที่อาวุธลับของเขาที่มันยังคงตั้งตระหง่านอยู่ พร้อมกับกางเกงที่ถูกล้นไปอยู่ที่ข้อเท้า
“เอ็งเป็นใครกันแน่ ผีสางหรือนางไม้อันใด ทำไมต้องทำกับข้าเยี่ยงนี้…” เพิ่มตัดพ้ออย่างเหลืออด มือใหญ่เลือนลงไปกำท่อนเนื้อของตนเองไว้แน่น
“ทำไมเอ็งต้องหายไปตลอด อยู่ทำจนเสร็จก่อนมิได้หรือ”
“อ๊า..” เมื่ออารมณ์ที่ยังคงค้างคาอยู่ ชายหนุ่มจึงจำต้องจัดการมันด้วยตัวเองจนสุขสม เขานั่งหายใจหอบเมื่อเสร็จกิจ คิดถึงนางในฝันเมื่อครู่ ทำไมนางจึงต้องหายไปตลอด ไว้คราวหน้าจะจับนางไว้ก่อนดีไหม ชายหนุ่มนอนคิดไปมาจนเผลอหลับไปอีกครั้ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เพิ่มตื่นนอนแต่เช้าจัดการหุงหาอาหารง่ายกิน เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินลงนาไปเพื่อทำงานที่ค้างต่อให้แล้วเสร็จจะได้กลับเรือนเสียที
พระอาทิตย์จวนจะตกดินอีกครั้ง เพิ่มเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน เขาเดินออกจากนาจูงนางบัว ควายเพียงตัวเดียวของเขาที่ช่วยเขาทำนาไม่เคยบ่น
เพิ่มจูงนางบัวเดินเส้นทางเดิมทุกครั้ง พอเดินมาได้ครึ่งทาง ซึ่งเป็นป่าช้าที่เขาเองก็เดินผ่านมาตั้งแต่เด็กไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว
ก่อนที่จะสุดเขตป่าช้าจะมีศาลเก่า ๆ อยู่ ๆ เขามักจะยกมือไหว้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกันเพิ่มยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะเดินเลยไป ทว่าฉุกคิดมาได้เรื่องหนึ่ง เพิ่มหันกลับมาที่ศาลเพียงตานั้น เขาคุกเข่าลงด้านหน้าศาล
“ลูกผ่านของนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ กราบไหว้ทุกครั้งเมื่อเดินผ่านไม่เคยขออะไรเลยสักครั้ง แต่…ครั้งนี้ลูกขอ..”
ชายหนุ่มเงียบไปเพื่อคิดคำพูด
“เอ่อ….ขอให้ได้นางคนที่ลูกฝันถึงมาเป็นเมียจริง ๆ สักทีเถอะขอรับ”
สิ้นคำขอชายหนุ่ม ฉับพลันก็มีลมแรงคล้ายพายุพัดเข้ามาจนเศษฝุ่นและเศษใบไม้บริเวณนั้นปลิวว่อน จนเขาต้องยกมือขึ้นมาบังลมไว้
“ท่านคงรับคำขอของลูกแล้ว” เพิ่มรีบก้มลงกราบแล้วรีบลุกขึ้นหันหลังเตรียมจะเดินกับ แต่ก็ต้องสะดุดตาเข้ากับหีบเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่วางขวางทางอยู่
เพิ่มมองอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อครู่ที่เดินมามันยังไม่มีเจ้าหีบนี้เลย เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอื้อมมือไปหยิบหีบใบเล็กนั้นขึ้นมาพินิจดู
หีบไม้ใบนี้มันดูแปลกตาเขามาก แบบไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อนแถมยังถูกล็อกไว้อยู่ เพิ่มจับมันพลิกไปมาเพื่อสำรวจดู
“ไม่มีรูกุญแจรึ แล้วจะเปิดได้เยี่ยงไร มีกระไรอยู่ในนี้กัน” เขาบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
ฟู่!! ลมพัดผ่านร่างใหญ่มาจากทางด้านหลังเขา เพิ่มหันกลับไปมองที่ศาลเพียงตายนั่นอีกครั้ง ฉับพลันรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาแปลก ๆ
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงอยากให้สิ่งนี้แก่ข้า งั้นข้าจะเก็บหีบใบนี้ไว้แล้วค่อยหาวิธีเปิดมันดู”
พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นไหว้ศาลเพียงตาแห่งนั้นก่อนจะเดินทางกลับบ้านไป
ไม่นานเพิ่มก็กลับมาถึงเรือนไม้ยกพื้นที่ไม่สูงเท่าไร หลังก็ไม่ได้ใหญ่โตแค่พอประมาณสมกับฐานะ ที่หนุ่มโสดแบบเขาจะอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
ชายหนุ่มพานางบัวกลับเข้าคอก แล้วเดินไปจุดตะเกียงรอบ ๆ เรือนจนสว่างจ้าไปทั่ว ทำให้คนที่อยู่ไม่ไกลมองเห็นว่าตัวชายหนุ่มเองอยู่ที่เรือนแล้ว
เพิ่มจัดแจงหุงหาอาหารด้วยความเคยชินของตน ไม่นานก็มีเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากหน้าเรือน
“ไอ้เพิ่ม ไอ้เพิ่มโว้ย”
“เออ มึงก็เดินขึ้นมาสิวะไอ้มิ่ง” ชายหนุ่มตะโกนกลับไป
“มึงทำกับข้าวเองอีกแล้วรึ” มิ่งเอ่ยถามทันทีที่ขึ้นมา
“ก็เออสิวะ มึงก็เห็นอยู่” เพิ่มตอบกลับขณะที่มือยังขะมักเขม้น,เขม้นขะมักพัดเตาให้ติด
“กูบอกว่าให้มีเมียได้แล้ว มึงก็ไม่เอา ดูสิคุณหนูกาหลง ลูกสาวเถ้าแก่โรงสี ทั้งสวยทั้งรวยเทียวส่งข้าวส่งน้ำมึงยังไม่สนใจ ถ้ามึงเอาเป็นเมียปานนี้สบายไปแล้ว นาก็ไม่ต้องลำบากทำเยี่ยงนี้” มิ่งบ่นเพื่อนอย่างเหลืออด
“มึงมาหากูเพื่อจะบ่นว่ากูเยี่ยงนี้หรือวะไอ้มิ่ง” เพิ่มตอบกับเพื่อนอย่างขำ ๆ
“ก็เอ่อสิวะไอ้เพิ่ม”
“แต่มึงถือเหล้ามาทำไมไอ้มิ่ง เดี๋ยวเมียมึงได้มาตามด่า”
“มากินกับมึงไงเล่าไอ้เพื่อนรัก”
“กินกับผีมึงสิ คร่าก่อนมึงกินจนเมาเมียมึงเอาสากมาตีกบาลลากมึงกลับไปลืมไปแล้วรึ”
“เออ ก็จะว่าไปไม่มีเมียมันก็ดีอีกแบบ” มิ่งกล่าวน้ำเสียงเบาลง
“แล้วนี่เมียมึงรู้ไหม ว่ามึงเอาเหล้ามาเรือนกู” เพิ่มถามกลับ
“รู้ เดี๋ยวอีนางแก้วมันก็ตามมา มันเห็นว่ามึงกลับมาแล้วเตรียมกับข้าวกับปลามาให้มึงอยู่”
แก้วคือน้องสาวของเมียมิ่งเอง ที่แอบชอบเพิ่มมานานแล้ว แต่เพิ่มก็ยังคงไม่ได้สนใจเหมือนเช่นเคย
“จะทำมาทำไม กูก็กำลังทำอยู่นี้” เพิ่มรีบบอกปฏิเสธ
“เออ มึงไม่ต้องทำแล้วไอ้เพิ่ม อีแก้วมันเดินมานู้นแล้ว” มิ่งมองเห็นแก้วเดินมาจวนจะถึงหน้าบันไดเรือน
“พี่เพิ่ม พี่เพิ่มฉันขึ้นไปแล้วนะจ๊ะ” เสียงหวานเอ่ยเรียกดังแว้วขึ้นมาถึงบนเรือน
“ไม่ ไม่ต้อง ไปนั่งรอที่แคร่ไม้ข้างเรือนนู้นก่อนแก้ว” เพิ่มตะโกนบอก ทำให้หญิงสาวที่กำลังก้าวขึ้นมาชะงักเท้าทันที แล้วยังถอนลมหายใจอย่างเสียดาย
“มึงด้วยไอ้มิ่ง ไปนั่งรอที่แคร่กับแก้วมันก่อนเดี๋ยวกูลงไป”
“เออ”
แก้วจัดเตรียมกับข้าววางไว้ให้ชายหนุ่มได้กินจนอิ่ม เพิ่มเองก็บอกแก้วไปหลายต่อหลายครั้ง แล้วว่าไม่ต้องทำกับข้าวมาให้เขาอีก แต่หญิงสาวก็ไม่ฟังยังคงทำมาให้เสมอ
เมื่อกินข้าวกันจนอิ่มแล้วแก้วเก็บของกับบ้านไปก่อน เหลือมิ่งกับเพิ่มยังคงกินเหล้ากันต่อจนถึงเวลาดึกมิ่งเมาได้ที่แล้ว บวกกับกลัวเมียจะมาตามอีกจึงได้เดินกลับบ้านไป เพิ่มจึงได้กลับขึ้นเรือนเข้าห้องมานอน ก่อนที่จะนอนเขาไม่ลืมที่จะหยิบหีบใบนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง
“ในหีบนี้มีสิ่งใดกัน” เขาเพ่งมองหีบ หมุนมันไปมาอยู่นานสองนั้นด้วยความสงสัย หีบนี้เปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออกแม้จะออกแรงเพียงใด มันก็ยังคงไม่ขยับขเยื้อนสักนิดเพราะเขาได้ลองมาหลายวิธีแล้ว หีบใบนี้เหมือนจะถูกผนึกไว้จากด้านในเสียมากกว่าเขาคิดเอาเองเช่นนั้น
“เมื่อถึงเวลาคงเปิดออกมาเองหรือไร” เขาวางหีบใบนั้นไว้ที่ข้างหัวเตียงเช่นเดิมก่อนจะล้มตัวลงนอน
เมื่อหัวถึงหมอนก็คิดถึงใบหน้างาม ๆ เรือนร่างบอบบางอรชรของนางในฝันคนนั้นอีกแล้ว คืนนี้เขาจะเจอนางอีกไหม เพิ่มได้คิดในใจแล้วรีบข่มตานอนให้ตนเองหลับไป
ห้วงเวลาปัจจุบัน
พริ้มพราว หญิงสาวสวยอายุยี่สิบสี่ปีพึ่งเรียนจบปริญญาตรีด้านการออกแบบมามาด ๆ เธอเป็นลูกสาวคนสวยของประธานบริษัทโฆษณาขนาดใหญ่ที่กำลังจะโดนศาลตัดสินให้ล้มละลาย
ซึ่งพริ้มพราวไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องราวในบริษัทของพ่อตนเองมาตลอด เธอรับรู้แค่ว่าเธอเสียแม่ไปตั้งแต่เธอยังเด็ก และพ่อก็เป็นคนเลี้ยงดูเธอมาอย่างดีและสุขสบายเยี่ยงลูกคุณหนู มีเงินใช่ไม่เคยขาดข้าวของแบร์นเนมทุกชิ้นตั้งแต่หัวจรดเท้า
วันหนึ่งพริ้มพราวกลับเข้าบ้านมาก็ต้องแปลกใจ เพราะเจอเข้ากลับกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้ายกับพวกเจ้าหน้าที่ธนาคาร ยืนคุยกลับคุณอาประวิทย์ ซึ่งเป็นเลขาคนสนิทของคุณพ่อเธอ พริ้มพราวจึงจะเดินขึ้นไปหาพ่อที่ห้องทำงาน เพราะเธอเห็นรถพ่อจอดอยู่คิดว่าพ่อหน้าจะอยู่ในห้องทำงานนี้
พริ้มพราวเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสองของบ้าน เดินเลี้ยวมาตามทางจวนจะถึงหน้าประตูห้องทำงานพ่อ
ปัง! เสียงปืนดังออกมาจากห้องทำงานของพ่อเธอ พริ้มพราวหยุดชะงักเพราะตกใจเสียงปืนที่ดังขึ้น พร้อมกับความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวสมอง ร่างบอบบางค่อย ๆ ก้าวเดินไปช้า ๆ จนถึงหน้าห้องทำงาน มือเรียวค่อยเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วหมุนมันด้วยมืออันสั่นเทาเปิดเข้าไป หญิงสาวก้าวเข้าไปในห้องช้า ๆ
“คุณพ่อ คุณพ่อคะ” เธอเห็นแต่พนักเก้าอี้ที่หันหลังอยู่ พริ้มพราวเดินเข้าไปให้ใกล้มากขึ้นปากก็ยังไม่หยุดเรียกพ่อ เมื่อมาถึงหน้าโต๊ะทำงาน เธอจึงเอื้อมมือไปจับพนักพิงของเก้าอี้เพื่อจะหันกลับมา
“คุณพ่อค่ะ เมื่อกี้พริ้มได้ยินเสียงปืนดัง…”
“คุณหนูพริ้มครับ” เป็นจังหวะเดียวกันกับเก้าอี้หันกลับมาและประวิทย์เรียกเธอพอดี พริ้มพราวจึงได้หันหน้ากับไปทางต้นเสียงที่เรียกเธอ
“คุณอาเมื่อกี้พริ้มได้ยินเสียงปืน คุณอาก็ได้ยินใช่ไหมคะ” เธอหันไปคุยกับประวิทย์ ที่ตอนนี้สีหน้าของเขาตกตะลึงงันจนตาเลือกลาน
“คุณอาเป็นอะไรคะ” พริ้มพราวถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่ประวิทย์กับมองบางอย่างอยู่ด้านหลังเธอจนตาค้าง
“คุณหนู คุณหนูออกมานี้ก่อนครับ” น้ำเสียงสั่นและลนลานของเขาทำเอาเธอยิ่งสงสัยหนักเข้าไปกันใหญ่
“มีอะไรคะ” เธอจึงหันกลับไปดู
“คะ คุณพ่อ คุณพ่อ กรี๊ด!!!!”