หย่งหมิ่นที่เพิ่งจัดการเก็บกวาดพวกโจรข้างนอกได้เดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินไปตรวจสอบศพที่คาดว่าเป็นหัวหน้าโจรป่าที่พวกเขากำลังไล่ล่าอยู่
"ตายแล้วขอรับนายท่าน"
"พูด!!"
คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเป็นคำถาม จางเสี่ยวมี่ที่เพิ่งจะได้สติจึงได้เอ่ยตอบไขข้อข้องใจให้แก่ผู้ที่มาใหม่
"ข้าถูกพวกมันจับตัวมาเจ้าค่ะ และเป็นข้าที่ใช้ปิ่นนี่สังหารมันด้วยตัวเอง สาวใช้ของข้าหลบหนีไปได้กำลังตามคนให้มาช่วยข้าเจ้าค่ะ"
"เอ่อ...เช่นนั้นแม่นางเป็นผู้ใดหรือขอรับ"
หย่งหมิ่นเอ่ยถามแทนผู้เป็นนายที่ปากหนักเหลือเกิน ดูจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่าเบื้องหลังของสตรีผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
จางเสี่ยวมี่ลังเลเล็กน้อย แต่เพราะเห็นท่าทางของหย่งหมิ่นจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นทหาร และเมื่อกวาดสายตาไปทางด้านหลังก็เห็นว่ามีกลุ่มคนสวมใส่ชุดเกราะดั่งทหารชาญศึกที่นางเคยพบเมื่อชาติก่อน
"ข้ามีนามว่าจางเสี่ยวมี่เป็นบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีกรมคลัง จางอี้อิน!"
"ฮ้า...ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าหย่งหมิ่นขอรับ"
จางเสี่ยวมี่พยักหน้ารับ ก่อนที่สายตาจะหันไปมองบุรุษที่ยังถือดาบจ่อที่คอของนางอยู่เช่นนี้
"ท่านไม่คิดจะลดดาบลงก่อนหรือเจ้าคะ"
เขาลดดาบลงตามคำขอของนาง ก่อนจะส่งดาบคืนไปให้กับหย่งหมิ่น
"เซียวจ้าน"
"...?"
นี่คือเขาบอกชื่อนางเช่นนั้นหรือ ตระกูลเซียว ตระกูลแม่ทัพแห่งทิศอุดร หรือว่าเขาจะเป็นบุตรชายของท่านแม่ทัพใหญ่เซียว เช่นนั้นนางก็ควรจะผูกมิตรกับเขาไว้จะดีกว่า
"ที่แท้ท่านก็คือคุณชายเซียว ข้าขอบคุณคุณชายเซียวมากที่ให้การช่วยเหลือข้าในวันนี้เจ้าค่ะ"
จางเสี่ยวมี่ยอบกายคารวะเป็นการขอบคุณอีกฝ่าย หากว่านางหันไปมองหย่งหมิ่นสักน้อยคงจะต้องนึกประหลาดใจกับท่าทีของเขาเป็นแน่ เพราะตั้งแต่หย่งหมิ่นได้ยินคำว่าเจ้านายเอ่ยบอกนามนั้นออกไป เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้านายของเขาจะเอ่ยนามนี้ออกมา สายตาที่หย่งหมิ่นมองไปทางจางเสี่ยวมี่จึงมีประกายแปลกประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
"เรื่องเล็กน้อย" เซียวจ้านเอ่ยตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก
เมื่อทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดจึงคิดจะเดินทางไปพักแรมยังที่อื่น ส่วนตรงนี้ก็ให้ทหารจัดการกันไป
ในตอนนี้เองจางเสี่ยวมี่ได้มาขอร้องเซียวจ้าน นางนึกเป็นห่วงจื่อลู่ยิ่งนัก มิรู้ว่าสาวใช้ตัวน้อยของนางจะเป็นอย่างไรบ้าง จะตามอาซ่งมาช่วยได้หรือไม่ หรือว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับนางอีกเพราะป่าแห่งนี้ก็ไม่น่าไว้ใจนัก
"เอ่อ...คุณชายเซียวเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนท่านสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ คือว่าสาวใช้ของข้าเจ้าค่ะ"
เซียวจ้านหันไปมองหย่งหมิ่นแล้วพยักหน้า ทันทีที่หย่งหมิ่นเห็นสัญญาณนั่นจึงได้เอ่ยกับจางเสี่ยวมี่ ด้วยเขารู้ดีว่าเจ้านายของเขานั้นประหยัดถ้อยคำยิ่งนัก ต้องเป็นเขาอยู่ร่ำไปที่ต้องมาเป็นปากให้แก่เจ้านาย
"เรื่องนี้คุณหนูจางอย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ คุณชายของข้าจะส่งคนไปแจ้งเรื่องของท่านว่าตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้ว แต่เพราะว่านี่เป็นยามกลางคืนไม่สะดวกในการเดินทางไกล และคุณหนูจางเองก็บาดเจ็บ ด้วย คุณชายจึงคิดจะเชิญคุณหนูจางไปพักด้วยกันยังป่าฝั่งโน้น โดยพรุ่งนี้เช้าคุณชายจะเป็นคนไปส่งคุณหนูจางเองขอรับ"
"ขอบคุณคุณชายเซียวมากเจ้าค่ะ"
จางเสี่ยวมี่หันไปเอ่ยคำขอบคุณ แต่กลับได้รับแค่การพยักหน้าตอบกลับมาเท่านั้น
"ไป!"
"เจ้าค่ะ"
นางรู้แล้วว่าเขาเป็นบุรุษประเภทไม่ชอบพูดสิ่งใดให้มากความ เขาจะเอ่ยแค่คำสั้น ๆ เท่านั้น นางต้องมาตีความหมายเอาเองว่าหมายความว่าสิ่งใด การที่เขาเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะนางเองก็ไม่อยากเอ่ยสิ่งใดออกไปนัก
ทั้งหมดเดินออกมาหน้าวัดร้าง ในตอนที่จางเสี่ยวมี่กะเผลกขาเดินไปอย่างเชื่องช้านั้น นางหยุดมองศพของพวกโจรที่คิดจะย่ำยีนางด้วยสายตาเรียบเฉยเย็นชา ในเมื่อมุ่งหวังจะทำร้ายผู้อื่นก็ต้องเตรียมใจถูกทำร้ายเช่นเดียวกัน
"ช้าจริง"
เซียวจ้านหันกลับมามองด้วยความรำคาญใจ จากนั้นจึงเดินเข้ามาช้อนร่างอันบอบบางของจางเสี่ยวมี่เข้ามาในอ้อมแขนแข็งแรง แล้วพานางเดินไปยังม้าที่ถูกผูกเอาไว้ไม่ไกลนัก
คราแรกนางขัดขืนเล็กน้อย แต่เพราะเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขาและตอนนี้นางยังต้องพึ่งพาเขาอีกมากจึงได้นิ่งเสีย ปล่อยให้เขาอุ้มนางไปยังม้าตัวโตสีดำ
เซียวจ้านไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเลยแม้แต่คำเดียว เขาจัดการวางร่างของจางเสี่ยวมี่ให้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ส่วนตัวเขาเองก็กระโดดขึ้นมาซ้อนหลังนาง ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเอื้อมมาจับสายบังเหียนด้านหน้า ก่อนจะกระตุกสายบังเหียนแล้วพุ่งทะยานไปด้านหน้าตามเส้นทางที่กำหนดไว้
หย่งหมิ่นอมยิ้มกับท่าทางของผู้เป็นนาย แล้วจึงหันมาสั่งการทหารยศน้อยให้จัดการที่นี่ให้เรียบร้อย ส่วนตัวเขาก็ได้ควบม้าติดตามผู้เป็นนายพร้อมด้วยทหารคนสนิทอีกสี่คน
ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก หากควบม้าด้วยความเร็วปกติก็จะใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ แต่ไม่รู้ทำไมไยทุกอย่างจึงดูเชื่องช้านัก กว่าทุกคนจะมาถึงยังที่หมายก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม...
ตอนพิเศษ 7 ความจริงใจของสุ่ยเหอหมิง คล้อยหลังจากที่สุ่ยเหอหมิงจากไปไกลแล้ว อวี้เซียวจ้านที่เห็นและได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองจึงได้เดินออกมาจากที่ซ่อน เขาเดินเข้ามานั่งข้างจางเสี่ยวมี่แล้วกอดนางเอาไว้แนบอก หัวใจของผู้เป็นพ่ออดจะรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาเสียไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งยินดีและรู้สึกใจหาย ราวกับหัวใจได้ถูกฉุดกระชากของไปจากมือที่มองไม่เห็น "น้องหญิง พี่ทำดีแล้วใช่หรือไม่" "เจ้าค่ะ ท่านพี่ทำดีที่สุดแล้ว เจียวเอ๋อร์เราโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว เราเป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าดู และพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างนางเจ้าค่ะ" "เฮ้อ...พี่รู้สึกปวดใจนักที่อาจจะต้องสูญเสียเจียวเอ๋อร์ไป พี่ยังรู้สึกว่านางยังเด็กเกินไปเลย" ผู้เป็นฮ่องเต้งอแงกับความจริงในข้อนี้ หรือเขาควรจะกีดกันสุ่ยเหอหมิงดี "ท่านพี่...ลูกโตแล้วนะเจ้าคะ ลูกควรจะเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ท่านพี่รู้ใช่หรือไม่ว่าชีวิตก่อนของเจียวเอ๋อร์นั้นมันสาหัสเพียงใดสำหรับนาง" "พี่รู้ดี พี่ถึงอยากให้เจียวเอ๋อร์มีความสุขอย่างไรเล่า" อวี้เซียวจ้านเอ่ยเสียงอ่อนลง เขายอมจำนนแล้ว ที่เหลือก็คงอยู่ที่ความสามาร
ตอนพิเศษ 6ฝ่าด่านจากเหล่าบุรุษตระกูลอวี้มื้อเย็นวันนี้ที่ตำหนักคุนหนิงล้วนอบอวลไปด้วยความรักและเสียงหัวเราะ อวี้เซียวจ้านคอยคีบอาหารให้กับจางเสี่ยวมี่ตลอดเวลา ทางด้านสององค์ชายก็คอยเอาอกเอาใจเสด็จพี่หญิงของตนด้วยกันทั้งคู่ จางเสี่ยวมี่ที่นั่งทานอาหารอยู่นั้นพลางจับสังเกตสีหน้าของอวี้หนิงเจียวได้ แม้ว่านางจะพยายามพูดคุยหัวเราะกับอวี้หนิงเฉิงและอวี้หนิงหวง แต่ในแววตาคู่นั้นกลับฉาบด้วยความสับสนและครุ่นคิดตลอดเวลา"เจียวเอ๋อร์มีสิ่งใดหรือไม่ แม่รู้สึกว่าเจียวเอ๋อร์ดูกังวลใจตลอดเวลา หรือว่าอาการขององค์รัชทายาทไม่ค่อยสู้ดีนัก"ทุกคนที่นั่งล้อมรอบต่างวางตะเกียบแล้วหันมามองอวี้หนิงเจียวเป็นตาเดียว คิ้วกระบี่สามคู่ขมวดมุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน"เอ่อ...อาการขององค์รัชทายาททรงดีขึ้นมากแล้วเพคะ รักษาตัวอีกไม่นานก็จะกลับมาหายเป็นปกติแล้วเพคะ""เช่นนั้นลูกกังวลสิ่งใดเล่า"อวี้เซียวจ้านเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาเองก็สังเกตได้ว่าสีหน้าของอวี้หนิงเจียวนั้นราวกับคนที่มีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอดเวลา"หรือว่าองค์รัชทายาทนั่นทำสิ่งใดให้เสด็จพี่หญิงไม่พอพระทัยกันพ่ะย่ะค่ะ" อวี้หนิงหวงโผงขึ้นมาบ้าง"เอ่อ...คือ
ตอนพิเศษ 5เกี้ยวดวงใจของแคว้นอวี้อวี้หนิงหวงมองดูพี่สาวด้วยความรู้สึกโล่งอก เขากับพี่ชายอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ อีกไม่นานหลังจากองค์รัชทายาทผู้นี้รักษาตัวหายดีแล้ว เขาก็ต้องกลับไปยังแคว้นสุ่ย เมื่อถึงตอนนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พบเจอกันอีก เสด็จพี่หญิงใหญ่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่สนใจในตัวองค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาสง่างามผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้ยินว่านางไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อน เขาก็พลอยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ท่าทีของเขาจึงผ่อนคลายลงไปด้วย"วางใจแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว""พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่หญิง เช่นนั้นข้าจะออกไปรอข้างนอก มื้อเย็นวันนี้เราจะได้ไปร่วมโต๊ะเสวยกับเสด็จแม่ด้วยดีหรือไม่ เสด็จแม่ทรงบ่นหาเสด็จพี่หญิงใหญ่นานหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ""เข้าใจแล้ว"อวี้หนิงเจียวอมยิ้มน้อย ๆ กับความเจ้ากี้เจ้าการของน้องชายคนเล็ก ก่อนที่นางจะหันมาสนใจคนเจ็บที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง มองเผิน ๆ คงคิดว่าเขายังคงหลับไม่ได้สติ แต่นางที่มีความรู้เรื่องการแพทย์ย่อมมองออกว่าเขารู้สึกตัวแล้ว"จะทรงแอบฟังอีกนานหรือไม่เพคะ องค์รัชทายาทสุ่ยเหอหมิง"เปลือกตาของบุรุษค่อย ๆ ขยับลืมขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีนิลดั่งพ
ตอนพิเศษ 4องค์หญิงใหญ่ผู้เข้มงวดสิบห้าปีผ่านไปวันเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กน้อยที่ไม่รู้ความเติบใหญ่กลายเป็นองค์หญิงใหญ่ที่มากความสามารถ รอบรู้ในศาสตร์แห่งสตรี เก่งกาจเรื่องสมุนไพร สามารถวินิจฉัยร่วมกับท่านหมอหลวงรักษาอาการของผู้คนได้ ใบหน้าส่อเค้าความงามอย่างโดดเด่นเฉกเช่นฮองเฮา แต่แววตากลับทอประกายแห่งความสุขุมเงียบขรึมเฉกเช่นฮ่องเต้ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่เย็นชาโหดเหี้ยมหาผู้ใดเทียบเทียม ทว่าจะมีเพียงฮองเฮาอันเป็นที่รักยิ่ง องค์หญิงใหญ่ องค์ชายใหญ่ และองค์ชายรองเท่านั้นที่จะได้รับความอ่อนโยนจากฮ่องเต้ทุกคนในแคว้นอวี้ต่างรู้กันดีว่าถ้าไม่อยากตายอย่างทุกข์ทรมาน ก็อย่าได้แตะต้องไข่มุกล้ำค่าบนพระหัตถ์ของฮ่องเต้อวี้เซียวจ้าน!นับจากวันที่องค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ถือกำเนิด องค์หญิงใหญ่ก็เกาะติดองค์ชายทั้งสองไม่ยอมห่างกายไปไหน กลายเป็นพี่เลี้ยงที่มีทั้งความอ่อนโยน และความเข้มงวดในตอนที่องค์ชายทั้งสองซุกซนเกินไป องค์ชายทั้งสองเชื่อฟังเสด็จพี่หญิงใหญ่ผู้นี้มากกว่าผู้ใด มากเสียยิ่งกว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่เสียอีก และไม่มีผู้ใดที่จะปราบพยศความซุกซนขององค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ นอกจ
ตอนพิเศษ 3กำเนิดองค์ชายนับตั้งแต่อวี้เซียวจ้านพาอวี้หนิงเจียวมาออกว่าราชการด้วยกันกว่าครึ่งปี องค์หญิงก็ได้เป็นที่รักของเหล่าขุนนางไปด้วย มีขุนนางไม่น้อยที่เอ็นดูองค์หญิงผู้นี้ยิ่งนัก บางคนก็นึกอยากจะให้บุตรชายของตนได้หมั้นหมายเกี่ยวดองกับองค์หญิงผู้เป็นที่รักของฮ่องเต้ แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของอวี้เซียวจ้าน"ทูลฝ่าบาท เมืองฝางในแดนใต้ได้เกิดโรคระบาดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังไม่ทราบที่มาของการเกิดโรค แต่กระหม่อมได้ส่งท่านหมอเข้าไปในพื้นที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ""สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง" บรรยากาศในท้องพระโรงพลันเคร่งเครียดขึ้นเมื่อเกิดเรื่องร้ายที่แดนใต้ เรื่องโรคระบาดนี้หากป้องกันไม่ดีจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้"มีชาวบ้านกว่าหนึ่งร้อยคนที่ติดโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการคือท้องเสีย ปวดท้อง ตัวเหลือง อ่อนแรง มีไข้ เล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่ยังโชคดีที่ยังไม่มีใครตายพ่ะย่ะค่ะ""หืม...ว่านราตรีม่วง"น้ำเสียงเล็กจากคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ได้เรียกความสนใจจากทุกคน"อะไรคือว่านราตรีม่วงหรือเจียวเอ๋อร์""ก็อาการที่บอกไงเพคะ เหมือนคนถูกพิษว่านรา
ตอนพิเศษ 2หนิงเจียวสร้างเรื่องบุตรสาวของเสนาบดีกรมโยธามีนามว่าโจวหลี่น่า นางได้มาเยือนวังหลังตามรับสั่งของฮ่องเต้ ทันทีที่นางเห็นองค์หญิงอวี้หนิงเจียวก็ได้มีความคิดชั่วร้ายออกมา หากนางสามารถเอาชนะใจองค์หญิงได้ ในวันข้างหน้านางก็จะต้องมีโอกาสอยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาทอย่างแน่นอน แต่นางคงจะคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้นี้จะฉลาดกว่าที่นางคิดไว้มาก และยังทำกับนางอย่างเจ็บแสบเสียด้วยอวี้หนิงเจียวมองดูผู้มาใหม่ที่จะมาเป็นเพื่อนเล่นให้กับนางด้วยความสงสัย ศีรษะเล็กเอียงคอมองก่อนจะเอ่ยถามออกมา"พี่สาวจะมาเล่นกับเจียวเอ๋อร์หรือ""ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาทเป็นผู้ส่งหม่อมฉันให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับองค์หญิงเพคะ""ทำไมล่ะ"จื่อลู่ที่คอยดูแลข้างกายไม่ห่างรู้สึกไม่ดีนัก นางมองดูสตรีผู้นี้ด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่ฮองเฮาบอกกับนางแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงมองดูอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว"ก็เพราะฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยในตัวหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ""อ้อ...ดี ๆ งั้นพี่สาวมาเล่นวิ่งไล่จับกับเจียวเอ๋อร์นะ""เพคะ"โจวหลี่น่าแย้มยิ้มกว้างด้วยความยินดี ก็แค่เล่นกับองค์หญิงที่ยังเยาว์วัย ไม่เห็นมีสิ่งใดที่ต้องน่าน่าหนักใจเลย องค