ยามรุ่งสาง โจวจื่อหมิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ภาพของกัวรั่วชิงในศาลบรรพชนยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การโต้ตอบที่แข็งกร้าวของนางเมื่อวานนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายตลอดเวลา หลังจากจัดการธุระยามเช้าเสร็จ เขาก็เดินทอดน่องไปตามทางเดินอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนของกัวรั่วชิงอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเดินมาถึงเรือนของนาง โจวจื่อหมิงไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน เขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมที่ทอดยาวเลียบสวน และเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ที่สามารถมองเห็นสวนด้านในได้อย่างชัดเจน ในใจนึกว่าตนเองจะได้เห็นภาพฮูหยินกำลังร้องไห้หรือเศร้าซึมอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ภาพที่โจวจื่อหมิงเห็นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง กัวรั่วชิงในชุดสีชมพูอ่อนที่ดูสดใส กำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลา นางมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างร่าเริงขณะพูดคุยกับสาวใช้ โจวจื่อหมิงมองเห็นภาพที่นางยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในสวนมาดมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของนางในความทรงจำของเขาถูกแทนที่ด้วยความสดใส และแววตาที่เคยหม่นหมองก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข
“ฮูหยินเจ้าคะ ดอกไม้พวกนี้กำลังบานเต็มที่เลยนะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าเราน่าจะเก็บไปอบแห้งแล้วนำไปทำเครื่องหอมใส่ถุงผ้าเล็กๆ ไว้ในห้องนะเจ้าคะ” กัวลี่ลี่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
กัวรั่วชิงยิ้มบางๆ อย่างพอใจ “เป็นความคิดที่ดีเลยลี่ลี่ เจ้าเอาตะกร้ามาให้ข้าหน่อยสิ ข้าจะเลือกดอกไม้สวยๆ ที่เจ้าชอบไว้ให้เป็นพิเศษเลย” นางพูดพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเขี่ยกลีบดอกไม้เบาๆ
กัวลี่ลี่รับคำแล้วเดินออกไปไม่นาน สาวใช้อีกคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดในมือซึ่งมีถ้วยชาและจานขนมวางอยู่
“ฮูหยินเจ้าคะ น้ำชาและขนมมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้วางถาดลงบนโต๊ะไม้หินอ่อน “นี่เป็นขนมที่ท่านฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาให้เมื่อเช้าจากร้านขนมจิ่วซินเจ้าค่ะ ฮูหยินลองชิมดูนะเจ้าคะ”
กัวรั่วชิงหยิบขนมมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าปาก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข “อืม...อร่อยมากจริงๆ ด้วย”
โจวจื่อหมิงยืนมองภาพเหล่านั้นนิ่งราวกับถูกสาป ความสุขของกัวรั่วชิงคือสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นมาก่อน เขาคาดหวังเพียงแค่ความเย็นชาห่างเหินของตนเองจะทำให้สตรีไร้ยางอายผู้นั้นต้องอับอายและทนทุกข์ทรมานอย่างเงียบงัน ไม่ก็ต้องร้องห่มร้องไห้รู้สึกผิดที่วางแผนให้ได้แต่งงานกับเขา แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นการเย้ยเขาอย่างรุนแรง
'นางเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่... ตอนนี้นางเลิกสนใจข้าแล้วอย่างนั้นหรือ' ความคิดนี้ดังก้องอยู่ในหัวของเขา ทำให้โจวจื่อหมิงรู้สึกโกรธและสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความโกรธที่นางไม่เชื่อฟัง แต่เป็นความโกรธที่นางไม่ยอมเจ็บปวดเพราะเขา
สุดท้ายโจวจื่อหมิงก็เลือกที่จะหันหลังกลับ เขาจากไปอย่างเงียบๆ และทิ้งคำถามมากมายเอาไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้กัวรั่วชิงใช้ชีวิตในแบบที่ควรจะเป็นต่อไป โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องมองดูอยู่
พอตกกลางคืน โจวจื่อหมิงตรงไปยังเรือนของหลิวซิ่วเหยาด้วยความเคยชิน เรือนของนางอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้หอมรัญจวน หลิวซิ่วเหยาในชุดนอนผ้าแพรสีชมพูอ่อนรีบเข้ามาต้อนรับเขาอย่างเอาอกเอาใจ
“นายท่านเจ้าขา... กว่าจะมาหาซิ่วเหยาได้” นางเอ่ยเสียงหวาน พร้อมกับเริ่มนวดแขนให้เขา “ซิ่วเหยาเป็นห่วงท่านจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะเจ้าคะ”
โจวจื่อหมันหลับตาลงรับสัมผัสจากนาง แต่ในใจของเขานั้นกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเสียงหัวเราะของกัวรั่วชิงยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
“ฮูหยินยั่วโมโหท่านอีกแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ซิ่วเหยารู้ดีว่าท่านต้องปวดหัวกับนางเพียงใด” หลิวซิ่วเหยาเอ่ยพลางหาทางจุดประเด็นขึ้นมา
โจวจื่อหมิงไม่ตอบ เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแต่ก็ไม่ได้ลิ้มรสชาติของมันเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกรำคาญใจที่หลิวซิ่วเหยาเอาแต่พูดถึงกัวรั่วชิง หวังเพียงแค่จะทำให้ไม่พอใจนางเท่านั้น แทนที่จะพูดเรื่องอื่นให้เขาผ่อนคลายสบายใจ มันน่าหงุดหงิดสิ้นดี
“ชื่อจื่อ วันนี้ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ทำไมถึงไม่สดชื่นเลย เช่นนั้น คืนนี้ซิ่วเหยาจะ...ช่วยให้ท่านได้ปลดปล่อยดีหรือไม่...” หลิวซิ่วเหยาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามสาบเสื้อของโจวจื่อหมิง
โจวจื่อหมิงพลันลืมตาขึ้นแล้ววางถ้วยชาลงอย่างแรง “ข้าจะกลับเรือน คืนนี้ไม่ค้างที่นี่แล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แล้วลุกขึ้นยืนในทันที หลิวซิ่วเหยามีสีหน้าสลด แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา นางได้แต่ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาและมองส่งเขาไปอย่างเงียบๆ
เมื่อออกมาจากเรือนของอนุหลิวได้ โจวจื่อหมิงกลับเดินไปอย่างไร้จุดหมายในตอนแรก แต่ไม่นานนักเขากลับพบว่าตัวเองกำลังเดินไปตามทางเดิมที่เขาเคยแอบดูนางเมื่อเช้า และเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าเรือนของกัวรั่วชิงอีกครั้ง
ความมืดมิดและเงียบสงบปกคลุมเรือนของนางเอาไว้ ประตูถูกปิดลงอย่างสนิทและไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาจากในเรือนเลย แสดงให้เห็นว่านางคงนอนหลับพักผ่อนแล้ว ทว่าโจวจื่อหมิงก็ยังเดินไปหน้าประตูเรือนของนาง แล้วเดินกลับออกมา เขาเดินวนเวียนอยู่เช่นนี้หลายรอบ พลางลังเลว่าควรจะเข้าไป หรือไม่ควรจะเข้าไปดี แต่แล้วก็เกิดความขัดแย้งขึ้นในใจอีก เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมาที่เรือนนี้ด้วยซ้ำ ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่นึกจะย่างกลายเข้าใกล้ที่พำนักของสตรีร้อยเล่ห์มารยาอย่างกัวรั่วชิง หรือต่อให้มาก็มีแต่เรื่องทำให้ตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และสุดท้ายก็จะต้องทะเลาะกับนางอยู่ร่ำไป
“ทำไมข้าถึงต้องมาที่นี่ด้วย...!” เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกสับสนในหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุดท้ายก็เลือกที่จะหันหลังกลับแล้วเดินกลับไปยังเรือนไปโดยไม่อาจหาคำตอบให้กับตนเองได้
ภายในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างามของจวนจวงเซียงป๋อ โจวจื่อหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม มือเรียวยาวที่ถือพู่กันนิ่งสนิท ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขามาตลอดทั้งวัน“ซื่อจื่อขอรับ” เสียงจากคนสนิทหน้าประตูทำให้เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง“มีอะไร”“คนขับรถม้าที่พาฮูหยินไปข้างนอกวันนี้ มาขอพบขอรับ”“ให้เขาเข้ามา” โจวจื่อหมิงตอบโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าหากคนขับรถม้ามาหาถึงที่เช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องรับรู้พอเข้ามาด้านในคนขับรถม้าก็รีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะซื่อจื่อขอรับ”“ไม่ต้องมัวโอ้เอ้ รีบรายงานมา”“ขอรับ” คนขับรถม้ารับคำ แล้วรีบเล่าทุกอย่างที่ตนเองเห็นในวันนี้ “ฮูหยินไปที่ร้านเครื่องหอมตามปกติ แต่แทนที่จะรีบกลับจวน นางกลับสั่งให้ข้าไปส่งที่ร้านหอชมจันทร์ ข้าเห็นกับตาว่าแม่ทัพฉีหลิง รอนางอยู่ที่นั่นขอรับ”ดวงตาของโจวจื่อหมิงเบิกกว้างด้วยความไม่พอใจ ความจริงเขาไม่เคยสนใจว่ากัวรั่วชิงจะไปที่ใด แต่เขาสนใจว่ายามนี้นางถึงกลับกล้าไปกับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา“ฮูหยินกับแม่ทัพฉีหลิงดูเหมือนจะสน
ในขณะที่หวงเชียนเล่อออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ กัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้ามาปรนนิบัติรินน้ำชาให้เจ้านาย“ฮูหยิน ท่านก็จิบน้ำชาสักนิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า” กัวลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกัวรั่วพยักหน้าพลางรับถ้วยชามา แล้วหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ “ดูสิ ลี่ลี่ ทำเลที่ตั้งของที่นี่ช่างดียิ่ง มองเห็นลำธารและภูเขา ยามเย็นก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย” “บ่าวก็ว่าสวยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบรับในขณะแกะกางปลาใส่จานให้นายหญิงในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าผู้มากลับไม่ใช่หวงเชียนเล่อ แต่เป็นหวังหลิง เหมยซิน รวมถึงหลินซูก็เดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮูหยินน้อยตระกูลโจวจะแอบนัดพบผู้ชายกลางวันแสกๆ” หวังหลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความดูแคลน “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าหน้าจิ้งจอกของเจ้ามียางอายอยู่บ้างหรือไม่”กัวรั่วชิงวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดห
หลังจากที่พันธมิตรของหวงเชียนเล่อและกัวรั่วชิงก่อตัวขึ้นแล้ว เพียงสามวัน เขาก็ได้ส่งสาส์นเชิญนางมาพบที่ร้านอาหาร 'หอชมจันทร์' ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ตัวร้านตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำทอประกายระยิบระยับรับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ มีเรือน้อยใหญ่ล่องผ่านไปมาอย่างเนิบช้า ริมสองฝั่งน้ำมีต้นหลิวที่ทอดกิ่งก้านพลิ้วไหวตามสายลม เป็นภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำให้รู้สึกสงบใจอย่างยิ่งในยามเซิน[1]ของวัน กัวรั่วชิงพร้อมกัวลี่ลี่มาถึงหอชมจันทร์ตามนัดหมาย นางในชุดสีชมพูกลีบบัวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่ยังคงความเรียบง่ายสง่างาม รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลงที่หน้าประตูร้าน และเมื่อนางก้าวลงมา หวงเชียนเล่อในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุขุมสง่างามก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาผายมือเชื้อเชิญนางให้เดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่พวกคุณหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หวังหลิงและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองพากันกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาในความงามของนางและในท่าทางของเขา“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน” เหมยซินเอ่ยถามขึ้นและชี้ชวนให้สหายทั้งสองมอง “เหมือนว่านั่นจะเ
ในที่สุดก็มาถึงวันที่กัวรั่วชิงนัดกับแม่ทัพฉีหลิงไว้ที่ร้านเครื่องหอมของนาง ภายในร้านจื่อชิงถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสง่า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้อบอวลไปทั่ว เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวจนแทบไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเมืองหลวงกัวรั่วชิงในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าอันงดงามราวกับถูกสลักเสลามาอย่างประณีต ขนตางอนยาวทอดตัวเป็นเงาบนพวงแก้ม นางกำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหลัง ในขณะที่ลูกจ้างหญิงของร้านสองคนยืนจัดเครื่องหอมและเครื่องประทินผิวอยู่หน้าร้าน การที่นางเห็นตัวเลขในบัญชีมีแต่ผลกำไรทำให้ดวงตาหงส์ที่เคยหม่นหมองยามอยู่ในจวนของสามี บัดนี้กลับสุกใสมีประกายนางมีความสุขเสมอเมื่อได้มาตรวจตรากิจการ ที่นี่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว เป็นที่ที่นางสามารถเป็นตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสวมบทบาทภรรยาที่สามีคอยวางท่าห่างเหินเย็นชาให้ผู้อื่นนึกสงสารหรือหัวเราะเยาะนางเวลาที่เขามาหาเรื่องยามอู่[1]ของวันนั้น แม่ทัพฉีหลิงในชุดผ้าไหมสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็มาถึงตามนัดหมาย ไม่มีการแห่แหนหรือผู้ติดตามใดๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข
ยามรุ่งสาง โจวจื่อหมิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ภาพของกัวรั่วชิงในศาลบรรพชนยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การโต้ตอบที่แข็งกร้าวของนางเมื่อวานนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายตลอดเวลา หลังจากจัดการธุระยามเช้าเสร็จ เขาก็เดินทอดน่องไปตามทางเดินอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนของกัวรั่วชิงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาถึงเรือนของนาง โจวจื่อหมิงไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน เขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมที่ทอดยาวเลียบสวน และเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ที่สามารถมองเห็นสวนด้านในได้อย่างชัดเจน ในใจนึกว่าตนเองจะได้เห็นภาพฮูหยินกำลังร้องไห้หรือเศร้าซึมอย่างที่ควรจะเป็นแต่ภาพที่โจวจื่อหมิงเห็นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง กัวรั่วชิงในชุดสีชมพูอ่อนที่ดูสดใส กำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลา นางมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างร่าเริงขณะพูดคุยกับสาวใช้ โจวจื่อหมิงมองเห็นภาพที่นางยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในสวนมาดมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของนางในความทรงจำของเขาถูกแทนที่ด้วยความสดใส และแววตาที่เคยหม่นหมองก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข“ฮูหยินเจ้า
โจวจื่อหมิงกำลังนั่งจิบชาและดูตำราพิชัยสงครามอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง หลิวซิ่วเหยาในชุดที่ดูยับยู่ยี่เล็กน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา นางทำตัวน่าสงสารจนสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังรู้สึกเห็นใจ“นายท่านเจ้าขา... ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซิ่วเหยาเข้าไปเกาะแขนโจวจื่อหมิงไว้ด้วยความน่าสงสาร “ข้าแค่เป็นห่วงท่านที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินที่น่ากลัว... ข้าจึงไปเยี่ยมฮูหยินที่ศาลบรรพชน แต่กลับถูกดุด่าอย่างรุนแรง ทั้งฮูหยินและบ่าวรับใช้ของนางไม่ไว้หน้าข้าเลยเจ้าค่ะ”โจวจื่อหมิงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ เขาปัดมือของหลิวซิ่วเหยาออกอย่างไม่ใยดี “ไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ ข้ากำลังดูตำราอยู่”หลิวซิ่วเหยาเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “แต่ฮูหยิน... ฮูหยินถึงขั้นขู่จะลงโทษข้าเจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนโปรดของท่าน”โจวจื่อหมิงที่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเย็นชาลง เขาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในใจ 'ช่างกล้าดียิ่งนัก... เจ้ากำลังเรียกร้องความตายจากข้า' เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วมองหลิวซิ่วเหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้ากลับไปรอที่เรือนของเจ้า