"คุณ...หายดีแล้วหรือ"
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามแผ่วเบา ทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้องครัว หลี่เฉินเดินเข้าไปวางข้าวของในมือที่เขาแวะซื้อมาจากสหกรณ์ลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วน ภาพของภรรยาและลูกสาวที่กอดกันแนบแน่นอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็น รอยยิ้มของคนทั้งสองทำให้เขาไม่อาจที่จะละสายตาไปจากภาพนั้นได้
โดยเฉพาะรอยยิ้มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ทั้งรอยยิ้มและแววตาของเธอมันดูแปลกไป
ไม่รู้สิ เขารู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม แววตาของเธอในตอนนี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยเห็น ความสดใสและความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกได้ถึงความแตกต่าง มันดูน่ามองกว่าทุกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้าเขาไม่เคยใส่ใจ
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเขายังคงฉาบเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องเธอไม่วางตา
"ค่ะ ฉันหายแล้ว"
จื่ออิงเอ่ยตอบเขาเสียงแผ่ว ทว่าชัดเจนพอให้เขาได้ยิน หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตนเอง
หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ เธอยังไม่มีความกล้าพอที่จะสบตากับเขาตรง ๆ และก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไรดี แม้ในตอนนี้เขาจะเป็นสามีของเธอ แต่ใจเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังเปรียบเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอ
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก แต่จื่ออิงรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา เธอกำมือแน่น ความหวาดหวั่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ
เธอไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรกับคนตรงหน้า หากจะอิงจากในนิยายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ใช่สามีภรรยาที่รักใคร่กัน ออกจะเย็นชาห่างเหิน แทบจะเรียกว่าไร้เยื่อใยต่อกันเสียด้วยซ้ำ
และยังมีเรื่องของเจียงซินหยา เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับแม่นางเอกเจียงซินหยาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว บางทีอาจจะเริ่มต้นสานสัมพันธ์กันแล้วก็ได้
ความจริง เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะยื้อยุดฉุดรั้งใครเอาไว้ หากเขาไม่มีใจ เมื่ออยากจะไปเธอก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่ในเมื่อตอนนี้เธอยังอยู่ในฐานะภรรยาที่ถูกต้องของเขา อย่างน้อยเขาก็ควรจะให้เกียรติเธอ
ถ้าจะไปมีใคร เธอจะไม่รั้งเขาไว้อย่างแน่นอน แต่นั่นหมายถึง เขาต้องหย่ากับเธอให้เรียบร้อยเสียก่อน
แม้จะไม่มีความรักต่อกัน แต่เธอก็ไม่อยากเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี ทุกอย่างควรทำให้ถูกต้อง แล้วค่อยไปสานสัมพันธ์กับคนอื่น
ในขณะที่จื่ออิงมีความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัว หลี่เฉินก็กำลังลอบมองภรรยา เขาสังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเธอ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดไม่ถามอะไร เพราะคิดว่าเธอเพิ่งฟื้นจากอาการป่วย หลังจากที่ล้มป่วยไร้สติไปถึงสามปี เมื่อได้สติขึ้นมาแล้วพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป มันก็คงไม่แปลกที่เธอจะยังปรับตัวไม่ทัน
เขาไม่อยากเร่งเร้าอะไรเธอมากนัก ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงให้เวลาเธอได้ค่อย ๆ ปรับตัว
"คุณพาลูกไปนั่งรอก่อนเถอะ ที่เหลือผมจัดการเอง"
หลี่เฉินเอ่ยบอกภรรยา
เสียงของเขาดังขึ้น ทำให้จื่ออิงหลุดออกจากภวังค์ เธอเงยหน้ามองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
หลี่เฉินพยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง จากนั้นเขาก็เดินไปยังเตาไฟ ก้มลงดึงฟืนออกบางส่วนให้เปลวไฟอ่อนลง โจ๊กในกระทะกำลังเดือดได้ที่ หากปล่อยไว้อีกสักพักคงไหม้ติดก้นกระทะแน่
เมื่อได้ระดับไฟที่เหมาะสมแล้ว ชายหนุ่มจึงตักโจ๊กร้อน ๆ ออกจากกระทะใส่ลงในหม้ออย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวและเผือกลอยอ้อยอิ่งกระทบจมูก แววตาของหลี่เฉินปรากฏร่องรอยความพึงพอใจจาง ๆ ฝีมือการทำอาหารของภรรยาเขาไม่เลวเลย
จากนั้นเขาก็ตักน้ำใส่กระทะแล้วเริ่มทำความสะอาดด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ราวกับว่าเคยทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
จื่ออิงเดินจูงมือบุตรสาวไปนั่งรอตรงโต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย สายตาของเธอจับจ้องไปยังคนที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาไฟ หลี่เฉินทำทุกอย่างเร็วมาก ไม่ว่าจะล้างผัก หั่นผัก ก็ดูคล่องมือไปหมด เพียงไม่นานกลิ่นหอมของผัดผักก็ลอยอวลไปทั่วห้อง แล้วจานผัดผักธรรมดา ๆ แต่ดูน่ากินก็ถูกนำมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของเธอ
"เสร็จแล้ว กินข้าวกันเถอะ"
หลี่เฉินเอ่ยเรียบ ๆ หลังจากวางจานผัดผักที่มีควันลอยกรุ่นลงบนโต๊ะก็หยิบถ้วยขึ้นมาเพื่อจะตักโจ๊ก
"เอ่อ... คุณนั่งเถอะค่ะ ฉันตักเอง"
จื่ออิงรีบเอ่ยขัดขึ้น เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร
หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับโดยไม่ขัดใจเธอ ยื่นถ้วยในมือส่งให้ภรรยา
แต่ในจังหวะที่จื่ออิงเอื้อมมือออกมารับ ปลายนิ้วของทั้งสองกลับแตะกันโดยไม่ตั้งใจ
แค่สัมผัสเพียงแผ่วเบา แต่กลับทำให้โลกของพวกเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในอก คล้ายประกายไฟเล็ก ๆ ที่ถูกจุดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว อุณหภูมิจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ แม้จะเพียงเสี้ยววินาที แต่กลับทำให้หัวใจของหลี่เฉินเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะหนึ่ง
จื่ออิงเองก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป เธอชะงัก ดวงตากะพริบถี่คล้ายพยายามขับไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป ก่อนจะรีบดึงมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน
สัมผัสเมื่อครู่ แค่แผ่วเบาเท่านั้น
แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในใจของเธอ
บรรยากาศรอบตัวเงียบงันไปชั่วขณะ มีเพียงไออุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ตรงปลายนิ้วของทั้งสองคน
จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองเขา หลี่เฉินเองก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน ดวงตาของทั้งสองประสานกันโดยไม่ตั้งใจ แต่ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
จื่ออิงเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล สองมือประคองถ้วยไว้แน่นกว่าปกติเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงแค่สัมผัสเล็กน้อยถึงทำให้รู้สึกวูบไหวเช่นนี้
หรือว่านี่เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของร่างเดิม ใช่... ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ
ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จื่ออิงจะสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดอารมณ์ที่ปั่นป่วนให้สงบลง เธอเริ่มตักโจ๊กใส่ถ้วยใบเล็ก แล้ววางลงตรงหน้าของบุตรสาวที่นั่งจ้องมองมาด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย จากนั้นก็คีบผัดผักใส่ถ้วยให้อย่างใส่ใจ
"แม่ตักให้เหยียนเหยียนก่อนเลย กินเยอะ ๆ นะคะ จะได้โตเร็ว ๆ"
เหยียนเหยียนฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสุข มือเล็กป้อมใช้ตะเกียบคีบผัดผักเข้าปากอย่างว่าง่าย ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะที่เธอเคี้ยวตุ้ย ๆ
ภาพนั้นทำให้หลี่เฉินเผลออมยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มของบุตรสาวบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน ชายหนุ่มมองภาพนั้นเงียบ ๆ ดวงตาของเขาฉายแววอบอุ่น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น ถ้วยโจ๊กก็วางลงตรงหน้าเขา
"ของคุณค่ะ"
จื่ออิงเอ่ยบอกเสียงนุ่ม ก่อนจะตักของตัวเองแล้วนั่งลงข้างบุตรสาว
"ขอบคุณครับ"
จื่ออิงยิ้มรับน้อย ๆ ตักโจ๊กรสชาติกลมกล่อมเข้าปากเงียบ ๆ
หลี่เฉินเองก็ตักโจ๊กเข้าปากคำโต รสชาติที่สัมผัสได้กลมกล่อมกำลังดี ความอบอุ่นจากอาหารร้อน ๆ ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูสงบและผ่อนคลาย
"วันนี้มีแค่ผัดผัก คุณกินไปก่อนนะ"
หลี่เฉินเอ่ยขึ้น พลางใช้ตะเกียบคีบผัดผักใส่ถ้วยของภรรยา การกระทำของเขาดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อยกับการกระทำนั้น ดวงตาคู่งามมองถ้วยของตัวเองที่มีผักเพิ่มขึ้นมา ความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกไปชั่วขณะ
"พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผม เราจะเข้าไปซื้อของในตัวอำเภอกัน"
เขาเงยหน้าขึ้นมองภรรยาเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม
"ของใช้กับเสบียงหมดตั้งแต่เมื่อวาน ผักนี่ผมเก็บมาจากสวนของบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนของอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ซื้อจากสหกรณ์ร้านค้า"
"เอ่อ ค่ะ"
จื่ออิงตอบเบา ๆ และในจังหวะที่เผลอเหลือบสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ก็พบว่าเขาเองก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน
เมื่อสายตาของทั้งสองสบกัน จื่ออิงรีบหลุบตาลงทันที เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เริ่มตักโจ๊กเข้าปาก ทว่าภายในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เนื้อหาในนิยายกล่าวว่าพระเอกมักจะเย็นชาและเงียบขรึม อีกทั้งยังเว้นระยะห่างจากภรรยาอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้...ทำไมกัน
ทำไมหลี่เฉินถึงดูแตกต่างจากในนิยาย เขาดูใส่ใจเธอ ทั้งยังมีท่าทีอ่อนโยนกว่าที่ควรจะเป็น
บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยของเหยียนเหยียนที่ยังคงกินอย่างเพลิดเพลิน เด็กหญิงตักโจ๊กเข้าปากสลับกับผัดผักที่คนเป็นแม่คีบให้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ไม่เคยจางหายจากใบหน้าจิ้มลิ้ม
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ