"คุณ...หายดีแล้วหรือ"
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามแผ่วเบา ทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้องครัว หลี่เฉินเดินเข้าไปวางข้าวของในมือที่เขาแวะซื้อมาจากสหกรณ์ลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วน ภาพของภรรยาและลูกสาวที่กอดกันแนบแน่นอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็น รอยยิ้มของคนทั้งสองทำให้เขาไม่อาจที่จะละสายตาไปจากภาพนั้นได้
โดยเฉพาะรอยยิ้มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ทั้งรอยยิ้มและแววตาของเธอมันดูแปลกไป
ไม่รู้สิ เขารู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม แววตาของเธอในตอนนี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยเห็น ความสดใสและความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกได้ถึงความแตกต่าง มันดูน่ามองกว่าทุกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้าเขาไม่เคยใส่ใจ
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเขายังคงฉาบเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องเธอไม่วางตา
"ค่ะ ฉันหายแล้ว"
จื่ออิงเอ่ยตอบเขาเสียงแผ่ว ทว่าชัดเจนพอให้เขาได้ยิน หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตนเอง
หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ เธอยังไม่มีความกล้าพอที่จะสบตากับเขาตรง ๆ และก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไรดี แม้ในตอนนี้เขาจะเป็นสามีของเธอ แต่ใจเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังเปรียบเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอ
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก แต่จื่ออิงรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา เธอกำมือแน่น ความหวาดหวั่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ
เธอไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรกับคนตรงหน้า หากจะอิงจากในนิยายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ใช่สามีภรรยาที่รักใคร่กัน ออกจะเย็นชาห่างเหิน แทบจะเรียกว่าไร้เยื่อใยต่อกันเสียด้วยซ้ำ
และยังมีเรื่องของเจียงซินหยา เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับแม่นางเอกเจียงซินหยาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว บางทีอาจจะเริ่มต้นสานสัมพันธ์กันแล้วก็ได้
ความจริง เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะยื้อยุดฉุดรั้งใครเอาไว้ หากเขาไม่มีใจ เมื่ออยากจะไปเธอก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่ในเมื่อตอนนี้เธอยังอยู่ในฐานะภรรยาที่ถูกต้องของเขา อย่างน้อยเขาก็ควรจะให้เกียรติเธอ
ถ้าจะไปมีใคร เธอจะไม่รั้งเขาไว้อย่างแน่นอน แต่นั่นหมายถึง เขาต้องหย่ากับเธอให้เรียบร้อยเสียก่อน
แม้จะไม่มีความรักต่อกัน แต่เธอก็ไม่อยากเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี ทุกอย่างควรทำให้ถูกต้อง แล้วค่อยไปสานสัมพันธ์กับคนอื่น
ในขณะที่จื่ออิงมีความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัว หลี่เฉินก็กำลังลอบมองภรรยา เขาสังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเธอ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดไม่ถามอะไร เพราะคิดว่าเธอเพิ่งฟื้นจากอาการป่วย หลังจากที่ล้มป่วยไร้สติไปถึงสามปี เมื่อได้สติขึ้นมาแล้วพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป มันก็คงไม่แปลกที่เธอจะยังปรับตัวไม่ทัน
เขาไม่อยากเร่งเร้าอะไรเธอมากนัก ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงให้เวลาเธอได้ค่อย ๆ ปรับตัว
"คุณพาลูกไปนั่งรอก่อนเถอะ ที่เหลือผมจัดการเอง"
หลี่เฉินเอ่ยบอกภรรยา
เสียงของเขาดังขึ้น ทำให้จื่ออิงหลุดออกจากภวังค์ เธอเงยหน้ามองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
หลี่เฉินพยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง จากนั้นเขาก็เดินไปยังเตาไฟ ก้มลงดึงฟืนออกบางส่วนให้เปลวไฟอ่อนลง โจ๊กในกระทะกำลังเดือดได้ที่ หากปล่อยไว้อีกสักพักคงไหม้ติดก้นกระทะแน่
เมื่อได้ระดับไฟที่เหมาะสมแล้ว ชายหนุ่มจึงตักโจ๊กร้อน ๆ ออกจากกระทะใส่ลงในหม้ออย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวและเผือกลอยอ้อยอิ่งกระทบจมูก แววตาของหลี่เฉินปรากฏร่องรอยความพึงพอใจจาง ๆ ฝีมือการทำอาหารของภรรยาเขาไม่เลวเลย
จากนั้นเขาก็ตักน้ำใส่กระทะแล้วเริ่มทำความสะอาดด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ราวกับว่าเคยทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
จื่ออิงเดินจูงมือบุตรสาวไปนั่งรอตรงโต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย สายตาของเธอจับจ้องไปยังคนที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาไฟ หลี่เฉินทำทุกอย่างเร็วมาก ไม่ว่าจะล้างผัก หั่นผัก ก็ดูคล่องมือไปหมด เพียงไม่นานกลิ่นหอมของผัดผักก็ลอยอวลไปทั่วห้อง แล้วจานผัดผักธรรมดา ๆ แต่ดูน่ากินก็ถูกนำมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของเธอ
"เสร็จแล้ว กินข้าวกันเถอะ"
หลี่เฉินเอ่ยเรียบ ๆ หลังจากวางจานผัดผักที่มีควันลอยกรุ่นลงบนโต๊ะก็หยิบถ้วยขึ้นมาเพื่อจะตักโจ๊ก
"เอ่อ... คุณนั่งเถอะค่ะ ฉันตักเอง"
จื่ออิงรีบเอ่ยขัดขึ้น เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร
หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับโดยไม่ขัดใจเธอ ยื่นถ้วยในมือส่งให้ภรรยา
แต่ในจังหวะที่จื่ออิงเอื้อมมือออกมารับ ปลายนิ้วของทั้งสองกลับแตะกันโดยไม่ตั้งใจ
แค่สัมผัสเพียงแผ่วเบา แต่กลับทำให้โลกของพวกเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในอก คล้ายประกายไฟเล็ก ๆ ที่ถูกจุดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว อุณหภูมิจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ แม้จะเพียงเสี้ยววินาที แต่กลับทำให้หัวใจของหลี่เฉินเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะหนึ่ง
จื่ออิงเองก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป เธอชะงัก ดวงตากะพริบถี่คล้ายพยายามขับไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป ก่อนจะรีบดึงมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน
สัมผัสเมื่อครู่ แค่แผ่วเบาเท่านั้น
แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในใจของเธอ
บรรยากาศรอบตัวเงียบงันไปชั่วขณะ มีเพียงไออุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ตรงปลายนิ้วของทั้งสองคน
จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองเขา หลี่เฉินเองก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน ดวงตาของทั้งสองประสานกันโดยไม่ตั้งใจ แต่ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
จื่ออิงเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล สองมือประคองถ้วยไว้แน่นกว่าปกติเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงแค่สัมผัสเล็กน้อยถึงทำให้รู้สึกวูบไหวเช่นนี้
หรือว่านี่เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของร่างเดิม ใช่... ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ
ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จื่ออิงจะสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดอารมณ์ที่ปั่นป่วนให้สงบลง เธอเริ่มตักโจ๊กใส่ถ้วยใบเล็ก แล้ววางลงตรงหน้าของบุตรสาวที่นั่งจ้องมองมาด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย จากนั้นก็คีบผัดผักใส่ถ้วยให้อย่างใส่ใจ
"แม่ตักให้เหยียนเหยียนก่อนเลย กินเยอะ ๆ นะคะ จะได้โตเร็ว ๆ"
เหยียนเหยียนฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสุข มือเล็กป้อมใช้ตะเกียบคีบผัดผักเข้าปากอย่างว่าง่าย ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะที่เธอเคี้ยวตุ้ย ๆ
ภาพนั้นทำให้หลี่เฉินเผลออมยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มของบุตรสาวบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน ชายหนุ่มมองภาพนั้นเงียบ ๆ ดวงตาของเขาฉายแววอบอุ่น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น ถ้วยโจ๊กก็วางลงตรงหน้าเขา
"ของคุณค่ะ"
จื่ออิงเอ่ยบอกเสียงนุ่ม ก่อนจะตักของตัวเองแล้วนั่งลงข้างบุตรสาว
"ขอบคุณครับ"
จื่ออิงยิ้มรับน้อย ๆ ตักโจ๊กรสชาติกลมกล่อมเข้าปากเงียบ ๆ
หลี่เฉินเองก็ตักโจ๊กเข้าปากคำโต รสชาติที่สัมผัสได้กลมกล่อมกำลังดี ความอบอุ่นจากอาหารร้อน ๆ ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูสงบและผ่อนคลาย
"วันนี้มีแค่ผัดผัก คุณกินไปก่อนนะ"
หลี่เฉินเอ่ยขึ้น พลางใช้ตะเกียบคีบผัดผักใส่ถ้วยของภรรยา การกระทำของเขาดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อยกับการกระทำนั้น ดวงตาคู่งามมองถ้วยของตัวเองที่มีผักเพิ่มขึ้นมา ความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกไปชั่วขณะ
"พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผม เราจะเข้าไปซื้อของในตัวอำเภอกัน"
เขาเงยหน้าขึ้นมองภรรยาเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม
"ของใช้กับเสบียงหมดตั้งแต่เมื่อวาน ผักนี่ผมเก็บมาจากสวนของบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนของอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ซื้อจากสหกรณ์ร้านค้า"
"เอ่อ ค่ะ"
จื่ออิงตอบเบา ๆ และในจังหวะที่เผลอเหลือบสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ก็พบว่าเขาเองก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน
เมื่อสายตาของทั้งสองสบกัน จื่ออิงรีบหลุบตาลงทันที เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เริ่มตักโจ๊กเข้าปาก ทว่าภายในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เนื้อหาในนิยายกล่าวว่าพระเอกมักจะเย็นชาและเงียบขรึม อีกทั้งยังเว้นระยะห่างจากภรรยาอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้...ทำไมกัน
ทำไมหลี่เฉินถึงดูแตกต่างจากในนิยาย เขาดูใส่ใจเธอ ทั้งยังมีท่าทีอ่อนโยนกว่าที่ควรจะเป็น
บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยของเหยียนเหยียนที่ยังคงกินอย่างเพลิดเพลิน เด็กหญิงตักโจ๊กเข้าปากสลับกับผัดผักที่คนเป็นแม่คีบให้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ไม่เคยจางหายจากใบหน้าจิ้มลิ้ม
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค