หลี่เฉินยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนอนของหลินจื่ออิง ดวงตาคมทอดมองประตูไม้บานเก่าที่กั้นระหว่างเขากับคนด้านในเอาไว้
ชายหนุ่มนิ่งฟังเสียงหวานละมุนของหลินจื่ออิงที่ยังคงดังแว่วออกมาให้ได้ยิน น้ำเสียงอ่อนโยนที่กำลังเล่านิทานที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนให้บุตรสาวฟัง
ริมฝีปากของชายหนุ่มกระตุกยิ้มบาง รอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักปรากฏบนใบหน้าคมเข้ม ความอบอุ่นบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกอย่างเงียบงัน
สายตาคมกริบหลุบลงมองกล่องเหล็กใบเล็กในมืออย่างลังเล ความจริงเขาตั้งใจมาพบอีกฝ่ายเพื่อนำกล่องใบนี้มาคืนให้ แต่กลับพบว่าเธอกำลังกล่อมลูกเข้านอนจึงยังไม่คิดรบกวน ได้แต่ยืนรออยู่ด้านหน้าห้อง
ไม่คิดว่าจะได้มาฟังน้ำเสียงอ่อนหวานเป็นจังหวะจะโคน กำลังเล่านิทานให้บุตรสาวฟัง
หลี่เฉินกระชับกล่องเหล็กในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ห้วงความคิดพาเขาย้อนกลับไปยังอดีต ภาพของหลินจื่ออิงในวันวานผุดขึ้นมาในความทรงจำ
หลินจื่ออิงที่เขารู้จักในอดีต คือเด็กสาวหัวอ่อน พูดน้อย และขี้อาย เธอมักจะก้มหน้าหลบสายตาผู้อื่นอยู่เสมอ เวลามีใครพูดด้วย เธอจะตอบกลับมาสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเบาแผ่ว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา
ทุกเช้าเขามักจะเห็นเธอขี่จักรยานไปโรงเรียน ร่างบอบบางอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่สะอาดสะอ้าน ผมดำขลับถูกถักเป็นเปียสองข้างอย่างเรียบร้อย ทิ้งตัวลงมาตามลาดไหล่ มีผมหน้าม้าปรกหน้าผากเล็ก ๆ ดูไร้เดียงสา
เด็กสาวดูเป็นเด็กขยันและมีระเบียบ ดวงตากลมใสของเธอสะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการเรียน เธอไม่ใช่เด็กสาวที่โดดเด่นเป็นที่จับตามอง เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่ายและไม่หวือหวา เขาเคยไปช่วยงานครูที่สอนเธออยู่สองสามครั้ง เลยมีโอกาสได้พูดคุยและรู้จักเธออยู่บ้าง แม้ไม่ได้สนิทสนมกัน แต่ก็อดรู้สึกเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนหนึ่งไม่ได้
จนกระทั่งเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับครอบครัวของเด็กสาว เรื่องพ่อแม่ของเธอเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงไปทั่วหมู่บ้าน
ในเวลาเพียงไม่นาน จากเด็กผู้หญิงที่มีชีวิตเรียบง่าย กลับต้องเผชิญความลำบากอย่างถึงที่สุด เธอกลายเป็นคนไร้ที่พึ่ง สูญเสียทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือญาติพี่น้องกลับฉวยโอกาสกดขี่และเอาเปรียบ
เด็กสาวที่ดูบอบบางและอ่อนแอยิ่งดูน่าสงสาร เขาจำได้ดีว่าชีวิตของหลินจื่ออิงในตอนนั้นน่าสงสารมาก เขาทั้งสงสาร และเวทนาเธออยู่ลึก ๆ รู้สึกเห็นใจและพยายามช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ เพราะคิดว่าเธอกำลังอ่อนแอและต้องการที่พึ่ง
แต่ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวที่ดูหัวอ่อน ไร้เดียงสา จะกล้าทำเรื่องที่คาดไม่ถึง
เธอถึงกับใช้เล่ห์เหลี่ยมและแผนสกปรกเพื่อให้ได้แต่งงานกับเขา
หลินจื่ออิงถึงกับกล้าวางยาปลุกกำหนัดเขา
เรื่องที่เกิดขึ้นเปลี่ยนความสงสารที่มีเป็นความขุ่นเคืองและชิงชัง ตั้งแต่วันนั้น สายตาที่เขามีต่อหลินจื่ออิงก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เด็กสาวที่เคยดูอ่อนแอ น่าสงสาร กลับกลายเป็นผู้หญิงที่เขาไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า
หลินจื่ออิงในสายตาเขาไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาอีกแล้ว เธอเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไร้ยางอาย และเป็นคนที่เขาไม่อยากเข้าใกล้ที่สุด
หลี่เฉินไม่เคยชอบการถูกบังคับ และการที่ต้องแต่งงานกับเธอด้วยเหตุผลเช่นนั้น ยิ่งทำให้เขาปิดกั้นตัวเองจากเธอมากขึ้นทุกที
ยิ่งเธอพยายามเข้าหา เขาก็ยิ่งตีตัวออกห่าง
ยิ่งเธอเรียกร้อง นานวันเข้าเขายิ่งรู้สึกอึดอัด
แม้เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อเป็นภรรยาที่ดี แต่ยิ่งเธอพยายามมากเท่าไร หัวใจของเขากลับยิ่งแข็งกระด้างขึ้นเท่านั้น
เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้เธอ ไม่เคยคิดจะมองเธอในแง่อื่นไปได้นอกจากผู้หญิงไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงเขา
จนเมื่อรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ ยอมรับว่าเขาตกใจมากและไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ก็ตัดสินใจว่าจะต้องดูแลเธอให้ดี แม้ไม่มีความรักต่อกัน ในเมื่อชีวิตของเด็กคนหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นมา เขาก็ควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทั้งในฐานะสามีและฐานะพ่อ
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้อีกฝ่ายมีชีวิตที่ดีไม่ลำบาก แม้จะยังไม่อาจเปิดใจให้เธอได้ก็ตาม
แต่แล้วทุกอย่างกลับพังทลายลงอีกครั้ง เมื่อเขากับเธอมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน และเธอพยายามฆ่าตัวตาย แม้จะรอดมาได้แต่ก็กลายเป็นคนเสียสติ
เขายอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาเอง
แม้เขาจะไม่เคยรักเธอ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการให้เธอเดินมาถึงจุดนั้น
ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเขามาตลอด
ทุกครั้งที่มองเห็นเธอไร้สติ เอาแต่เหม่อลอย หรือพูดจาเลอะเลือน เขาก็อดไม่ได้ที่จะย้อนคิดถึงอดีต
หากวันนั้นเขาเลือกที่จะปฏิบัติต่อเธอให้ดีกว่านี้ หากเขาไม่เย็นชากับเธอมากเกินไป หากเขาไม่ดึงดันและทำตามความต้องการของเธอ บางทีทุกอย่างอาจไม่จบลงแบบนี้
เขาจึงคอยบอกกับตัวเองเสมอ ว่าหากวันหนึ่งเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เขาจะชดใช้ทุกอย่างให้เธอ ทำดีกับเธอให้มาก และจะไม่ทำให้เธอเสียใจอีก เขาจะดูแลเธอกับลูกไปตลอดชีวิต
แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องการแล้ว ผู้หญิงที่เคยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองเขา กลับไม่แม้แต่จะหันมองเขาด้วยซ้ำ เธอไม่มีท่าทีว่าจะยื้อเขาไว้อีก
เธอไม่ได้มองเขาด้วยแววตาเว้าวอนอีกแล้ว ไม่มีคำพูดรบเร้า ไม่มีการออดอ้อน ไม่มีความพยายามจะเข้ามาใกล้ และยึดติดกับเขาอย่างที่เคยเป็น
หลินจื่ออิงเปลี่ยนไปมาก ราวกับเป็นคนละคน และมันทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคย ได้แต่คิดว่าเป็นเพราะอาการป่วยที่เกิดขึ้น จึงทำให้เธอดูเปลี่ยนไป
หญิงสาวที่เขาเคยมองว่าอ่อนแอ เปราะบาง เอาแต่ร้องไห้เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ร้องไห้กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแค่การจุดเตาไฟไม่ได้ ผู้หญิงที่เอาแต่ทำหน้าเศร้า ตามติดเขา ร่ำร้องว่าเธออยู่ไม่ได้ถ้าหากไร้เขาคอยปกป้อง และต้องการที่พึ่งอยู่เสมอ บัดนี้กลับเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เธอไม่ใช่เด็กสาวที่เอาแต่พึ่งพาเขาอีกต่อไป
หลินจื่ออิงในตอนนี้ดูเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แววตาของเธอแน่วแน่ขึ้น ท่วงท่าก็มั่นคงขึ้น ไม่ได้ดูอ่อนแอหรือทำตัวน่าสงสารเหมือนในอดีตอีกแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ และอดไม่ได้ที่จะเฝ้ามองเธอ
ดวงตาคู่คมฉายแววสับสน เขาควรจะดีใจที่เห็นเธอเข้มแข็ง แต่ความรู้สึกภายในใจของเขาตอนนี้ ไม่อาจอธิบายได้เลยจริง ๆ ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจเงียบ ๆ โดยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร และเขาก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เป็นแบบนี้ดีแล้วจริงหรือ
หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จ้องมองประตูไม้ตรงหน้าที่ขวางกั้นระหว่างเขากับเธอด้วยความไม่เข้าใจ พลางถอนหายใจแผ่วเบา ในใจยังคงสับสนกับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปโดยไม่ทันรู้ตัว เสียงหวานที่เคยสร้างความรำคาญให้เขา ในวันนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
จนกระทั่งตอนนี้ ภายในห้องดูเหมือนเสียงจะเงียบไปแล้ว บุตรสาวของเขาคงจะหลับแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เคาะประตู หรือเอ่ยเรียกคนในห้อง ทำเพียงยืนเงียบๆ นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะยกมือขึ้นเคาะประตู หรือว่าหันหลังกลับไปก่อนดี
แต่ในขณะที่เขากำลังลังเล บานประตูตรงหน้าก็ถูกเปิดออก
เสียงเอี๊ยดแผ่วเบาดังขึ้น ตามมาด้วยร่างบอบบางที่ก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้า
"เอ่อ...คุณ มีอะไรหรือเปล่าคะ"
เสียงหวานของหลินจื่ออิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ดวงตากลมโตสะท้อนแสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันในมือ จ้องมองเขาราวกับไม่คาดคิดว่าจะพบกันในยามนี้
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค