จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้
แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา
จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด
"มีอะไรหรือคะ"
หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป
"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก
หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่าง
จื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง
"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"
เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้คุณ"
ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น เสียงทุ้มต่ำยังคงเรียบนิ่ง พร้อมกับยื่นกล่องเหล็กในมือให้เธอ ท่าทางเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ
จื่ออิงเผลอขมวดคิ้วใบหน้ายุ่ง มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะก้มลงมองกล่องเหล็กในมือเขาที่ยื่นมาให้ เธอยื่นมือออกไปรับมันมาอย่างงง ๆ ความเย็นจากโลหะส่งผ่านเข้ามายังปลายนิ้วของเธอ
"อะไรหรือคะ"
เธอเงยหน้าขึ้นถามด้วยใบหน้าฉงน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบในทันที บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านเข้ามาเบา ๆ
หลี่เฉินจ้องมองเธอเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคมลึกลับจนยากจะคาดเดาความคิดของเขาได้
"ข้างในเป็นของของคุณที่ผมเก็บเอาไว้ให้"
น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยขึ้น ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้จื่ออิงยืนมองกล่องในมือด้วยความงุนงง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในห้องของเขาอย่างไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาเบา ๆ
"ประสาท เป็นอะไรของเขา พิลึกคนจริง ๆ"
แม้จะพูดแบบนั้น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงมองกล่องเหล็กในมืออีกครั้ง
จื่ออิงเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับอุ้มกล่องเหล็กใบนั้นไปด้วย หลังจากดื่มน้ำดับกระหายเรียบร้อยก็อุ้มกล่องเจ้าปัญหากลับเข้ามาในห้อง วางมันลงบนเตียงเตาแล้วพิจารณาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ว่าด้านในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ หลี่เฉินจึงได้รีบร้อนนำมามอบให้เธอ
แต่เมื่อเปิดออกดูเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
ภายในกล่องใบเล็กมีสมุดบัญชีธนาคารอยู่หนึ่งเล่ม ระบุว่ามันเป็นของเธอ และจำนวนเงินที่ระบุอยู่บนนั้นก็เป็นเงินก้อนโต มันคงเป็นเงินชดเชยการเสียชีวิตของบิดามารดาเจ้าของร่าง ซึ่งไม่มีการถอนออกมาเลยสักครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเงินสดจำนวนไม่น้อย และเครื่องประดับอีกหลายชิ้น ทุกอย่างถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน
จื่ออิงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวใจจะเริ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หากจะนับจากทรัพย์สินที่มีในตอนนี้ นี่ไม่เท่ากับว่าเธอคือเศรษฐีตัวน้อย ๆ หรอกหรือ
โอ๊ย ขอบคุณสวรรค์ ยอมรับว่าหลังจากที่คิดว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ สิ่งแรกที่เธอคิดถึงคือเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เธอกำลังกังวลอยู่เชียวว่าจะใช้ชีวิตในโลกใบนี้ต่อไปอย่างไรดี ที่แท้เธอก็ไม่ได้เป็นคนตัวเปล่า ยากจนข้นแค้นอย่างที่คิด
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะนึกขอบคุณหลี่เฉินจากใจจริง นับว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นพระเอกในนิยาย เพราะเป็นคนดีและซื่อสัตย์ไม่น้อย
จื่ออิงยกมือขึ้นกุมอก รู้สึกเหมือนก้อนหินหนัก ๆ ที่กดทับหัวใจพลันสลายหายไปในพริบตา
หลังจากนี้คงต้องมาดูกันว่าเธอสามารถนำเงินจำนวนนี้มาต่อยอดทำอะไรได้บ้าง
จากที่เคยได้ศึกษามา ประเทศจีนในช่วงปี 1980 เป็นช่วงเวลาของ การปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนจากระบบวางแผนโดยรัฐไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมากขึ้น ผู้คนเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวได้ ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มากมาย
แล้วเธอควรจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรดีล่ะ
จื่ออิงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ลุกขึ้นนำกล่องใบนั้นไปเก็บไว้ในตู้ไม้ข้างเตียง
ก่อนจะเดินกลับมาล้มตัวลงนอนข้างบุตรสาว แต่กลับไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ คิ้วเรียวขมวดแน่นขณะครุ่นคิด ตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
เงินจำนวนนี้ เธอควรเอาไปลงทุนทำอะไรดี
เธอรู้ดีว่า เงิน ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีรายได้เข้ามาทดแทน สุดท้ายก็ต้องหมด ไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อถึงวันนั้น ชีวิตของเธอกับเหยียนเหยียนคงลำบากแน่ เธอเข้าใจดีว่า ในโลกนี้ เงินสำคัญแค่ไหน
แต่ถ้าเธอใช้มันอย่างฉลาด เงินก้อนนี้อาจเปลี่ยนชีวิตของเธอจากคนธรรมดาไปสู่มหาเศรษฐีในยุคนี้ก็เป็นได้
นี่คือ โอกาส ที่คนในยุคนี้แทบไม่มีใครมองเห็น
แต่จะทำอะไรดีล่ะ
สิ่งที่ขาดแคลนในตอนนี้มีเยอะมาก ตั้งแต่อาหาร ของใช้ในครัวเรือน ไปจนถึงสินค้าแฟชั่น
หรือเธอจะเริ่มจากการค้าขายเล็ก ๆ ก่อนดี ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังโตขึ้น ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ แชมพู เครื่องสำอางนำเข้า อุปกรณ์ครัว หรือแม้แต่ เครื่องประดับ เริ่มเป็นที่ต้องการของตลาด
เธอสามารถซื้อสินค้าจากเมืองใหญ่ แล้วนำมาขายต่อที่หมู่บ้าน ถ้าเธอทำแล้วไปได้ดี อาจขยายไปเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ของตัวเองได้
หรือเธอจะลงทุนด้านอาหาร ช่วงนี้เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น คนเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น อาหารอร่อย ๆ ย่อมขายได้แน่ เธอเองก็พอจะมีฝีมือด้านการทำอาหารอยู่บ้าง อาจเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ หรือขายของกินที่ตลาดก็ได้
หรือว่าจะขายเสื้อผ้า ช่วงนี้เสื้อผ้าแบบตะวันตกเริ่มได้รับความนิยม ถ้าเธอหาเสื้อผ้าสวย ๆ มาขายก็น่าจะทำกำไรได้ไม่น้อย
หรือว่าจะค้าสมุนไพรดี สมุนไพรจีนเป็นของขึ้นชื่อ ถ้าหาแหล่งรับซื้อดี ๆ ก็น่าจะทำเงินได้
หรือบางที เธอควรลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
ราคาที่ดินในตอนนี้ยังถูกมาก ถ้าเธอซื้อไว้ อีกไม่กี่ปีราคาต้องขึ้นแน่ ๆ ถ้าคิดการณ์ไกล การลงทุนในที่ดินอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
โอ๊ย... เธอควรจะเลือกทางไหนดี หากมีเงินมากกว่านี้เธอจะทำมันให้หมดทุกอย่าง
จื่ออิงเม้มปากแน่น เธอจะไม่ปล่อยให้เงินก้อนนี้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แม้จะไม่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจมาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่น เธอเชื่อว่าถ้าลงมือทำจริง ๆ เธอต้องทำได้แน่
ชีวิตก่อนเธอเป็นเพียงสาวออฟฟิศธรรมดา ทำงานตามคำสั่ง รอเงินเดือนออก แล้วก็ใช้ชีวิตวนลูปไปวัน ๆ ไม่มีความฝัน ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป
จื่ออิงหันไปมองเหยียนเหยียนที่นอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากเล็ก ๆ เผยอขึ้นน้อย ๆ แก้มกลมนุ่มนิ่ม ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ภาพนั้นทำให้หัวใจของจื่ออิงอ่อนโยนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งคิดถึงอนาคต ยิ่งทำให้เธอต้องเร่งสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง เพราะถ้าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามเรื่องราวในนิยาย
หลี่เฉินที่เป็นพระเอกของเรื่อง ยังต้องคู่กับเจียงซินหยา นางเอกผู้เพียบพร้อมแสนดี
ส่วนตัวเธอ ถึงจะไม่ตาย แต่ก็ต้องยอมหลีกทาง เพราะสำหรับเธอหากคนไม่มีใจให้กัน เธอก็ไม่คิดจะรั้งเขาไว้
แต่สำหรับเรื่องของหลี่ซูเหยียน มันต่างกัน เมื่อเธอได้กลายมาเป็นมารดาของหนูน้อยแล้ว เธอก็ไม่คิดจะยกอีกฝ่ายให้ใคร ไม่ว่าใครจะเป็นพระเอกหรือนางเอก ใครจะรักกับใคร จะคู่กับใคร เหยียนเหยียนน้อยจะต้องอยู่กับเธอเป็นลูกสาวตัวน้อยของเธอตลอดไป
คืนนี้จื่ออิงจึงนอนหลับไป พร้อมกับแผนการมากมายที่ยังคิดไม่ตก ปล่อยให้ความเหนื่อยล้าพาร่างกายเข้าสู่นิทรา
พรุ่งนี้... เธอค่อยลุกขึ้นมา ก้าวเดินต่อไปในโลกใบใหม่นี้
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ