จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้
แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา
จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด
"มีอะไรหรือคะ"
หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป
"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก
หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่าง
จื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง
"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"
เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้คุณ"
ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น เสียงทุ้มต่ำยังคงเรียบนิ่ง พร้อมกับยื่นกล่องเหล็กในมือให้เธอ ท่าทางเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ
จื่ออิงเผลอขมวดคิ้วใบหน้ายุ่ง มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะก้มลงมองกล่องเหล็กในมือเขาที่ยื่นมาให้ เธอยื่นมือออกไปรับมันมาอย่างงง ๆ ความเย็นจากโลหะส่งผ่านเข้ามายังปลายนิ้วของเธอ
"อะไรหรือคะ"
เธอเงยหน้าขึ้นถามด้วยใบหน้าฉงน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบในทันที บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านเข้ามาเบา ๆ
หลี่เฉินจ้องมองเธอเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคมลึกลับจนยากจะคาดเดาความคิดของเขาได้
"ข้างในเป็นของของคุณที่ผมเก็บเอาไว้ให้"
น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยขึ้น ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้จื่ออิงยืนมองกล่องในมือด้วยความงุนงง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในห้องของเขาอย่างไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาเบา ๆ
"ประสาท เป็นอะไรของเขา พิลึกคนจริง ๆ"
แม้จะพูดแบบนั้น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงมองกล่องเหล็กในมืออีกครั้ง
จื่ออิงเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับอุ้มกล่องเหล็กใบนั้นไปด้วย หลังจากดื่มน้ำดับกระหายเรียบร้อยก็อุ้มกล่องเจ้าปัญหากลับเข้ามาในห้อง วางมันลงบนเตียงเตาแล้วพิจารณาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ว่าด้านในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ หลี่เฉินจึงได้รีบร้อนนำมามอบให้เธอ
แต่เมื่อเปิดออกดูเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
ภายในกล่องใบเล็กมีสมุดบัญชีธนาคารอยู่หนึ่งเล่ม ระบุว่ามันเป็นของเธอ และจำนวนเงินที่ระบุอยู่บนนั้นก็เป็นเงินก้อนโต มันคงเป็นเงินชดเชยการเสียชีวิตของบิดามารดาเจ้าของร่าง ซึ่งไม่มีการถอนออกมาเลยสักครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเงินสดจำนวนไม่น้อย และเครื่องประดับอีกหลายชิ้น ทุกอย่างถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน
จื่ออิงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวใจจะเริ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หากจะนับจากทรัพย์สินที่มีในตอนนี้ นี่ไม่เท่ากับว่าเธอคือเศรษฐีตัวน้อย ๆ หรอกหรือ
โอ๊ย ขอบคุณสวรรค์ ยอมรับว่าหลังจากที่คิดว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ สิ่งแรกที่เธอคิดถึงคือเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เธอกำลังกังวลอยู่เชียวว่าจะใช้ชีวิตในโลกใบนี้ต่อไปอย่างไรดี ที่แท้เธอก็ไม่ได้เป็นคนตัวเปล่า ยากจนข้นแค้นอย่างที่คิด
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะนึกขอบคุณหลี่เฉินจากใจจริง นับว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นพระเอกในนิยาย เพราะเป็นคนดีและซื่อสัตย์ไม่น้อย
จื่ออิงยกมือขึ้นกุมอก รู้สึกเหมือนก้อนหินหนัก ๆ ที่กดทับหัวใจพลันสลายหายไปในพริบตา
หลังจากนี้คงต้องมาดูกันว่าเธอสามารถนำเงินจำนวนนี้มาต่อยอดทำอะไรได้บ้าง
จากที่เคยได้ศึกษามา ประเทศจีนในช่วงปี 1980 เป็นช่วงเวลาของ การปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนจากระบบวางแผนโดยรัฐไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมากขึ้น ผู้คนเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวได้ ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มากมาย
แล้วเธอควรจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรดีล่ะ
จื่ออิงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ลุกขึ้นนำกล่องใบนั้นไปเก็บไว้ในตู้ไม้ข้างเตียง
ก่อนจะเดินกลับมาล้มตัวลงนอนข้างบุตรสาว แต่กลับไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ คิ้วเรียวขมวดแน่นขณะครุ่นคิด ตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
เงินจำนวนนี้ เธอควรเอาไปลงทุนทำอะไรดี
เธอรู้ดีว่า เงิน ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีรายได้เข้ามาทดแทน สุดท้ายก็ต้องหมด ไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อถึงวันนั้น ชีวิตของเธอกับเหยียนเหยียนคงลำบากแน่ เธอเข้าใจดีว่า ในโลกนี้ เงินสำคัญแค่ไหน
แต่ถ้าเธอใช้มันอย่างฉลาด เงินก้อนนี้อาจเปลี่ยนชีวิตของเธอจากคนธรรมดาไปสู่มหาเศรษฐีในยุคนี้ก็เป็นได้
นี่คือ โอกาส ที่คนในยุคนี้แทบไม่มีใครมองเห็น
แต่จะทำอะไรดีล่ะ
สิ่งที่ขาดแคลนในตอนนี้มีเยอะมาก ตั้งแต่อาหาร ของใช้ในครัวเรือน ไปจนถึงสินค้าแฟชั่น
หรือเธอจะเริ่มจากการค้าขายเล็ก ๆ ก่อนดี ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังโตขึ้น ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ แชมพู เครื่องสำอางนำเข้า อุปกรณ์ครัว หรือแม้แต่ เครื่องประดับ เริ่มเป็นที่ต้องการของตลาด
เธอสามารถซื้อสินค้าจากเมืองใหญ่ แล้วนำมาขายต่อที่หมู่บ้าน ถ้าเธอทำแล้วไปได้ดี อาจขยายไปเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ของตัวเองได้
หรือเธอจะลงทุนด้านอาหาร ช่วงนี้เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น คนเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น อาหารอร่อย ๆ ย่อมขายได้แน่ เธอเองก็พอจะมีฝีมือด้านการทำอาหารอยู่บ้าง อาจเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ หรือขายของกินที่ตลาดก็ได้
หรือว่าจะขายเสื้อผ้า ช่วงนี้เสื้อผ้าแบบตะวันตกเริ่มได้รับความนิยม ถ้าเธอหาเสื้อผ้าสวย ๆ มาขายก็น่าจะทำกำไรได้ไม่น้อย
หรือว่าจะค้าสมุนไพรดี สมุนไพรจีนเป็นของขึ้นชื่อ ถ้าหาแหล่งรับซื้อดี ๆ ก็น่าจะทำเงินได้
หรือบางที เธอควรลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
ราคาที่ดินในตอนนี้ยังถูกมาก ถ้าเธอซื้อไว้ อีกไม่กี่ปีราคาต้องขึ้นแน่ ๆ ถ้าคิดการณ์ไกล การลงทุนในที่ดินอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
โอ๊ย... เธอควรจะเลือกทางไหนดี หากมีเงินมากกว่านี้เธอจะทำมันให้หมดทุกอย่าง
จื่ออิงเม้มปากแน่น เธอจะไม่ปล่อยให้เงินก้อนนี้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แม้จะไม่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจมาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่น เธอเชื่อว่าถ้าลงมือทำจริง ๆ เธอต้องทำได้แน่
ชีวิตก่อนเธอเป็นเพียงสาวออฟฟิศธรรมดา ทำงานตามคำสั่ง รอเงินเดือนออก แล้วก็ใช้ชีวิตวนลูปไปวัน ๆ ไม่มีความฝัน ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป
จื่ออิงหันไปมองเหยียนเหยียนที่นอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากเล็ก ๆ เผยอขึ้นน้อย ๆ แก้มกลมนุ่มนิ่ม ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ภาพนั้นทำให้หัวใจของจื่ออิงอ่อนโยนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งคิดถึงอนาคต ยิ่งทำให้เธอต้องเร่งสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง เพราะถ้าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามเรื่องราวในนิยาย
หลี่เฉินที่เป็นพระเอกของเรื่อง ยังต้องคู่กับเจียงซินหยา นางเอกผู้เพียบพร้อมแสนดี
ส่วนตัวเธอ ถึงจะไม่ตาย แต่ก็ต้องยอมหลีกทาง เพราะสำหรับเธอหากคนไม่มีใจให้กัน เธอก็ไม่คิดจะรั้งเขาไว้
แต่สำหรับเรื่องของหลี่ซูเหยียน มันต่างกัน เมื่อเธอได้กลายมาเป็นมารดาของหนูน้อยแล้ว เธอก็ไม่คิดจะยกอีกฝ่ายให้ใคร ไม่ว่าใครจะเป็นพระเอกหรือนางเอก ใครจะรักกับใคร จะคู่กับใคร เหยียนเหยียนน้อยจะต้องอยู่กับเธอเป็นลูกสาวตัวน้อยของเธอตลอดไป
คืนนี้จื่ออิงจึงนอนหลับไป พร้อมกับแผนการมากมายที่ยังคิดไม่ตก ปล่อยให้ความเหนื่อยล้าพาร่างกายเข้าสู่นิทรา
พรุ่งนี้... เธอค่อยลุกขึ้นมา ก้าวเดินต่อไปในโลกใบใหม่นี้
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค