หลังจากจัดของเรียบร้อย หลี่เฉินก็อุ้มเหยียนเหยียนขึ้นนั่งที่เบาะหน้าของจักรยาน ก่อนจะหันมาสวมหมวกให้จื่ออิงอย่างใส่ใจ
"สวมเอาไว้"
แม้ว่าจะเลยเวลาเที่ยงไปมากแล้ว แต่แดดก็ยังแรงอยู่ เขาใช้มือปรับมุมหมวกของเธอให้อยู่ในตำแหน่งที่ช่วยบังแดดได้ดีขึ้น
"ขอบคุณค่ะ"
จื่ออิงเงยหน้ามองเขา ก่อนจะเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
เธอก้าวขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน พลางจับเอวเขาเอาไว้หลวม ๆ
"เราจะไปห้างกันเลยไหมคะ"
จื่ออิงเอ่ยถามเสียงใส
หลี่เฉินยิ้มให้เธอ ก่อนจะพยักหน้ารับ
"อืม ไปกันเถอะ"
จากนั้นจักรยานคันโตจึงเคลื่อนตัวออกจากตลาด มุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้า
ระหว่างทางไปห้างสรรพสินค้า จื่ออิงมองซ้ายมองขวาอย่างสนอกสนใจ เพราะเธออยากจะสำรวจตลาดคร่าวๆ สำหรับกิจการที่คิดจะทำในอนาคต
เขตอำเภอแห่งนี้แม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราแบบเมืองหลวง แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ของยุคสมัย อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นตึกเตี้ย ๆ สีสันเรียบง่าย ร้านค้าบางร้านตกแต่งด้วยป้ายไม้เก่าที่มีตัวอักษรจีนพู่กันเขียนกำกับไว้ ดูขลังและคลาสสิก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ที่กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย
สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ มีร้านขายของชำที่มีถุงพลาสติกใส่ขนมและของเล่นแขวนอยู่หน้าร้าน มีร้านขายผลไม้ก็ตั้งแผงวางขายอย่างเป็นระเบียบ
ขยับไปอีกหน่อยเป็นร้านขายเสื้อผ้า แผงหน้าร้านแขวนเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงผ้าขายาว ซึ่งเป็นแฟชั่นยอดนิยมของยุคนี้ มีชุดกระโปรงสำหรับผู้หญิงและเสื้อผ้าเด็ก เพราะเป็นต้นยุค 80 เสื้อผ้าจึงยังเรียบง่าย สีพื้น ไม่เน้นดีไซน์
ร้านรองเท้าข้าง ๆ วางรองเท้าผ้าใบและรองเท้าหนังสำหรับผู้ชายเป็นแถว ส่วนของผู้หญิงมีรองเท้าผ้าสีอ่อนปักลวดลายเรียบง่ายวางในตู้กระจก
ร้านขายเครื่องใช้ในบ้านก็มีไม่น้อย ตะกร้าหวาย หม้อดินเผา และเครื่องครัวเรียงกันอยู่หน้าร้าน
ตลอดสองข้างทางเธอสังเกตเห็นร้านอาหารเล็กๆ แผงขายอาหารข้างทาง และรถเข็นขายอาหารบ้างประปราย ร้านอาหารที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารของรัฐ อาหารที่ขายก็เป็นเมนูง่ายๆ เช่น บะหมี่ ซาลาเปา เกี๊ยว ข้าวผัด หรือโจ๊ก
ในอำเภอแห่งนี้ยังมีโรงเรียน โรงพยาบาล และโรงงานต่างๆ เพราะรัฐบาลจีนส่งเสริมอุตสาหกรรมในระดับอำเภอมากขึ้น ทำให้เริ่มมี โรงงานของรัฐ กระจายอยู่ตามเมืองเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานสิ่งทอ โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า โรงงานอาหารกระป๋อง โรงงานผลิตอิฐหรือกระเบื้องมุงหลังคา
แม้ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนเมืองใหญ่ แต่บรรยากาศก็คึกคักเต็มไปด้วยผู้คน
ห้างสรรพสินค้าที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ทันสมัยที่สุดในอำเภอ
เมื่อมาถึงพวกเขาก็พากันเดินเข้าไปด้านใน แสงไฟจากหลอดนีออนสว่างไสว ทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่นและคึกคัก แม้จะไม่ได้โอ่อ่าเท่าห้างในเมืองใหญ่ แต่ก็มีของครบครัน ห้างยุค 80 ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนปัจจุบัน เป็นเพียงอาคารสองถึงสามชั้น ขายสินค้าจำพวก เสื้อผ้า เครื่องครัว ของใช้ในบ้าน อุปกรณ์เครื่องเขียน เครื่องสำอาง และของเล่นเด็ก
มีเคาน์เตอร์รับแลก "คูปองสินค้า" เพราะของบางอย่างยังต้องใช้คูปองซื้อแทนเงินสด
ขายสินค้ายอดนิยม เช่น จักรยาน ยี่ห้อเฟิ่งหวง, นาฬิกาข้อมือเซี่ยงไฮ้, รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ
พนักงานขายจะใส่เครื่องแบบและยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ และต้องขออนุญาตถึงจะลองสินค้าได้
"ว้าว!"
จื่ออิงอุทานเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นมุมของเล่นภายในห้าง
"ดูสิคะเหยียนเหยียน มีตุ๊กตากระต่ายน้อยด้วย"
เธอชี้ไปยังตุ๊กตากระต่ายขนนุ่มที่วางเรียงรายอยู่บนชั้น เหยียนเหยียนมองตาม แล้วหันมาสบตากับเธอตาวาว
หลี่เฉินมองภาพนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเล็กน้อย เดินตามสองแม่ลูกที่ตรงรี่เข้าไปยังร้านของเล่น
"อยากได้ตัวไหนคะ"
จื่ออิงถามบุตรสาวเสียงอ่อนโยน
ซึ่งสายตากลมแป๋วของเหยียนเหยียนจับจ้องไปที่เจ้ากระต่ายตัวสีขาวสะอาดอย่างไม่ละสายตา
"ดูท่าจะถูกใจจริง ๆ นะ"
หลี่เฉินเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ
จื่ออิงหันมายิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปพูดกับบุตรสาว
"งั้น เราพากระต่ายน้อยกลับบ้านด้วยกันดีไหมคะ"
เด็กหญิงพยักหน้าหงึก ๆ ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความดีใจ
หลี่เฉินที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบตุ๊กตาลงมา แล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์จ่ายเงินโดยไม่พูดอะไร
เขาควักเงินออกจากกระเป๋าอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ดีว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ไม่ได้มากมาย และเป็นเงินเก็บตลอดหลายปีที่ผ่านมา
วันนี้นับเป็นวันที่เขาใช้จ่ายมากที่สุดในรอบหลายปี ที่ผ่านมาเขาใช้เงินเท่าที่จำเป็นเท่านั้น คิดหน้าคิดหลังทุกครั้งก่อนจ่าย
แต่วันนี้ แค่เห็นรอยยิ้มของลูกและภรรยา แค่เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขของพวกเธอ
เงินเพียงเท่านี้ จะสำคัญอะไร
ที่เขาทำทุกอย่าง ก็เพื่อลูกและภรรยาไม่ใช่หรือ
จื่ออิงเห็นดังนั้น ไหนเลยจะยินยอม วันนี้เธอรู้ว่าเขาใช้เงินเพื่อเธอไปไม่น้อยเลย จึงรีบก้าวตามเขาไปก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจัง
"ฉันจะจ่ายเองค่ะ ฉันอยากซื้อให้เหยียนเหยียนด้วยตัวเอง"
หลี่เฉินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองภรรยา
เห็นแววตามุ่งมั่นของเธอทำให้เขายิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าเธออยากเป็นคนซื้อให้ลูกเอง เขาก็ไม่คิดจะขัด
"ได้สิครับ"
เขาพยักหน้า ยอมถอยออกมายืนรออยู่ข้าง ๆ
จื่ออิงหันไปจ่ายเงินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะที่เหยียนเหยียนเองก็กอดตุ๊กตาเอาไว้อย่างหวงแหน
หลี่เฉินยืนกอดอกมองสองแม่ลูกอยู่เงียบๆ รอยยิ้มบางๆ ยังติดอยู่ที่มุมปาก แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็ดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากซื้อตุ๊กตาให้บุตรสาว จื่ออิงก็จูงมือเหยียนเหยียนเดินไปร้านนั้นออกร้านนี้อย่างร่าเริง ท่าทางของเธอดูผ่อนคลายและมีความสุข ขณะที่หนูน้อยเหยียนเหยียนก็กอดตุ๊กตากระต่ายแน่นไม่ยอมปล่อย
หลี่เฉินเดินตามหลังเงียบ ๆ แม้ใบหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความสุข
เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้ใช้เวลากับครอบครัวแบบนี้ ได้เดินซื้อของด้วยกัน ได้ยินเสียงหัวเราะของจื่ออิง และเห็นรอยยิ้มสดใสของเหยียนเหยียน
มันเป็นความรู้สึกที่ดี... ดีมากจริง ๆ
แค่ก แค่ก แค่ก
หลี่เฉินสำลักน้ำลายตัวเองหน้าดำหน้าแดง เขาแทบจะสะดุดขาตัวเอง เพราะเดินถอยหลังออกมาเร็วเกินไป
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างสุขใจ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีภรรยากับบุตรสาวก็เดินเข้าไปในร้านชุดชั้นในสตรี จากที่คิดจะเดินตามเข้าไปในตอนแรก จึงทำได้แค่เพียงถอยหลังออกมายืนรออยู่ด้านนอก
สายตาคมมองลอดกระจกเข้าไป เห็นภรรยาที่มองเขาอยู่หัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี ชัดเจนว่าเจตนากลั่นแกล้งเขา
หลี่เฉินขมวดคิ้ว มองค้อนเธอผ่านกระจกทันที
ให้ตายสิ... จื่ออิงในตอนนี้ช่างน่าตีจริงๆ
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น มุมปากของเขาก็ยังเผลอยกยิ้มขึ้น
จื่ออิงเลือกซื้อของใช้ส่วนตัว ครีมบำรุงผิวทั้งสำหรับผิวหน้าและผิวกาย รวมถึงของจุกจิกอีกเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะมาจ่ายเงิน
เธอรีบยกมือห้ามหลี่เฉินที่ทำท่าจะหยิบเงินออกมา
"ฉันจ่ายเองค่ะ คุณจ่ายไปเยอะแล้ว ฉันอยากใช้เงินของตัวเองบ้าง"
จื่ออิงบอกเขาเสียงนุ่ม
หลี่เฉินเลิกคิ้วขึ้น มองเธอด้วยสายตาไม่เข้าใจ
"ผมเป็นสามีคุณนะ ทำไมถึงจะจ่ายให้ภรรยาไม่ได้"
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่ฟังดูหนักแน่นและจริงจังเสียจนจื่ออิงหลุดหัวเราะออกมา
พ่อหนุ่มสายเปย์ของเธอนี่น่ารัก ๆ
เธอส่ายหน้าเบา ๆ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
"คุณค่อยจ่ายคราวหน้าดีกว่าค่ะ"
เธอช้อนสายตามองเขา กะพริบตาปริบ ๆ อย่างออดอ้อน
"คุณต้องพาฉันมาอีกนะคะ ฉันยังมีของที่อยากได้อีกเยอะแยะเลย"
หลี่เฉินจ้องมองเธอเงียบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจพลางส่ายหน้า
"เฮ้อ เห็นทีว่าผมคงต้องทำงานหาเงินเพิ่มแล้วล่ะมั้ง"
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มบาง ๆ ที่แต้มอยู่บนริมฝีปากของเขา กลับดูอ่อนโยนกว่าทุกที
หลังจากจัดของเรียบร้อย หลี่เฉินก็อุ้มเหยียนเหยียนขึ้นนั่งที่เบาะหน้าของจักรยาน ก่อนจะหันมาสวมหมวกให้จื่ออิงอย่างใส่ใจ "สวมเอาไว้"แม้ว่าจะเลยเวลาเที่ยงไปมากแล้ว แต่แดดก็ยังแรงอยู่ เขาใช้มือปรับมุมหมวกของเธอให้อยู่ในตำแหน่งที่ช่วยบังแดดได้ดีขึ้น"ขอบคุณค่ะ"จื่ออิงเงยหน้ามองเขา ก่อนจะเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มเธอก้าวขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน พลางจับเอวเขาเอาไว้หลวม ๆ"เราจะไปห้างกันเลยไหมคะ" จื่ออิงเอ่ยถามเสียงใสหลี่เฉินยิ้มให้เธอ ก่อนจะพยักหน้ารับ"อืม ไปกันเถอะ"จากนั้นจักรยานคันโตจึงเคลื่อนตัวออกจากตลาด มุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้า ระหว่างทางไปห้างสรรพสินค้า จื่ออิงมองซ้ายมองขวาอย่างสนอกสนใจ เพราะเธออยากจะสำรวจตลาดคร่าวๆ สำหรับกิจการที่คิดจะทำในอนาคตเขตอำเภอแห่งนี้แม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราแบบเมืองหลวง แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ของยุคสมัย อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นตึกเตี้ย ๆ สีสันเรียบง่าย ร้านค้าบางร้านตกแต่งด้วยป้ายไม้เก่าที่มีตัวอักษรจีนพู่กันเขียนกำกับไว้ ดูขลังและคลาสสิก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ที่กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยสองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าต่าง
ในที่สุด จักรยานคันโตก็ค่อย ๆ แล่นเข้าสู่เขตอำเภอจากเส้นทางลูกรังอันเงียบสงบ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นถนนที่เริ่มมีผู้คนพลุกพล่านมากขึ้น เสียงพูดคุยจอแจของผู้คนในตลาดดังแว่วมาแต่ไกล กลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามสายลม จื่ออิงเบิกตากว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับเหยียนเหยียนที่นั่งอยู่ด้านหน้า"เหยียนเหยียน ถึงแล้วจ้ะ ดูสิ ตลาดคึกคักมากเลย"แม้ว่าหนูน้อยจะพูดตอบกลับมาไม่ได้ แต่ดวงตากลมใสของเธอก็จับจ้องไปยังผู้คนและสิ่งรอบตัวด้วยความสนใจ ถึงแม้ว่าเธอจะมาตลาดกับคนเป็นพ่อบ้างแต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก ทุกครั้งที่มาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้หลี่เฉินเหลือบมองจื่ออิงผ่านหางตา เห็นใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้ว เขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้จักรยานยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของตลาดยามเช้า ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา และกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา"เราลงไปเดินซื้อของกันเถอะ"หลี่เฉินพูดขึ้น ก่อนจะพาจักรยานเข้าไปจอดยังลานจอดที่จัดไว้สำหรับรถจักรยานโดยเฉพาะ เขาลงจากจักรยานอย่างคล่องแคล่ว แล้วหันไปอุ้มเหยียนเหยียนลงมาจื่ออิงหันไปจัดเสื้อผ้าของหนูน้อยให้เข้าที่
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้