วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน
ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวัน
ลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เนรมิตร้านนี้ขึ้นมาด้วยหัวใจ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ รสชาติอาหารที่ปรุงด้วยรสมือเฉพาะตัว ไปจนถึงรายละเอียดเล็กน้อยในร้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดโต๊ะ การเลือกดอกไม้ประดับแจกัน หรือแม้แต่ป้ายเมนูที่เขียนด้วยลายมือ ทุกอย่างในร้านล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ
ลูกค้าที่เข้ามาไม่เพียงแค่ได้กินอาหารอร่อย แต่ยังได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของบรรยากาศ เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และคำทักทายที่แสนอบอุ่นเป็นกันเองทุกครั้งที่เปิดประตูเข้ามา
จื่ออิงและหลี่เฉินเริ่มปรับตัวเข้ากับจังหวะใหม่ของชีวิตได้อย่างลงตัว หอร้อยรสของพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่มั่นคงขึ้น แต่ยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทุกวัน พนักงานเสิร์ฟในร้านจากที่เคยมีเพียงสองคน ตอนนี้ก็เพิ่มมาเป็นสี่คน และยังมีแม่ครัวฝีมือดีที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่อีกหนึ่งคน เพื่อแบ่งเบาภาระในครัวที่เริ่มยุ่งวุ่นวายมากขึ้นทุกวัน
จื่ออิงให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ เสมอ แม้กระทั่งเรื่องเครื่องแต่งกาย เธอจึงออกแบบชุดยูนิฟอร์มใหม่ให้กับพนักงาน เป็นเสื้อเชิ้ตสีครีมที่ดูสะอาดตา สวมคู่กับผ้ากันเปื้อนสีดำลายต้นไผ่สีเขียวที่ดูเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ ให้ความรู้สึกทั้งเรียบร้อย และสะท้อนกลิ่นอายของร้านได้อย่างลงตัว
พนักงานแต่ละคนทำงานอย่างคล่องแคล่ว ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง และมีรอยยิ้มให้ลูกค้าเสมอ เพราะพวกเขาไม่ใช่แค่มา "ทำงาน" เท่านั้น แต่รู้สึกว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งของร้านนี้จริงๆ
ทุกคนคิดเหมือนกันว่า ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่ทำงาน แต่มันเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง พวกเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้รับเลือกให้มาทำงานที่นี่ มีเจ้านายที่ดีและใส่ใจในตัวพนักงานเช่นนี้
จื่ออิงและหลี่เฉินดูแลทุกคนอย่างอบอุ่น เป็นกันเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบ ใครเหนื่อยก็ให้พัก ใครมีปัญหาก็รับฟังและช่วยเหลือ ทั้งยังมีเงินพิเศษให้อย่างเหมาะสมในวันที่ทำยอดดีหรือวันที่งานหนัก
ทุกคนจึงทำงานด้วยใจ ยิ้มด้วยความสุข และช่วยกันผลักดันให้ "หอร้อยรส" เติบโตต่อไป อย่างมั่นคงและมีความสุข
จื่ออิงมองเหล่าพนักงานที่กำลังช่วยกันเก็บร้านหลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งวันด้วยสายตานุ่มนวล เธอยกยิ้มน้อยๆ ครุ่นคิดทุกอย่างอยู่ในหัวตั้งแต่วันเปิดร้านจนมาถึงวันนี้
"โอ๊ะ!"
จู่ๆ จื่ออิงก็ร้องเบาๆ พลางยกมือขึ้นแตะหน้าผาก
ภาพตรงหน้าเริ่มหมุน เธอรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอีกแล้ว ร่างกายเหมือนจะอ่อนแรงจนต้องยืนพิงขอบเคาน์เตอร์อยู่ครู่หนึ่ง
ช่วงนี้เธอมักจะเวียนหัวบ่อยๆ มันเริ่มถี่ขึ้นกว่าก่อน คงเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะร้านเริ่มมีลูกค้ามากขึ้น งานก็เยอะขึ้น เธอกับหลี่เฉินก็แทบไม่ได้หยุดพักอย่างจริงจังมาหลายสัปดาห์แล้ว
เห็นทีพรุ่งนี้ต้องแวะไปหาหมอสักหน่อยแล้วล่ะ
จื่ออิงคิดในใจ พลางสูดหายใจลึกๆ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยเธอก็ควรไปหายาบำรุงมากิน ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น เงินก็สำคัญ แต่สุขภาพก็สำคัญมากเช่นกัน และบางทีเธอก็ควรพาหลี่เฉินไปด้วย
สามีของเธอก็ทำงานหนักไม่ต่างกันเลย เขาเองก็ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เตรียมของในครัว รับลูกค้า กลับบ้านดึกแทบทุกคืน แต่ก็ไม่เคยบ่นสักคำ
จื่ออิงมองไปยังหลี่เฉินที่กำลังช่วยลูกสาวเก็บหนังสือการบ้านอยู่ที่โต๊ะมุมร้าน เธอไม่ได้บอกสามีถึงอาการที่เกิดขึ้นกับเธอในระยะนี้ เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาเป็นห่วงจนไม่ยอมให้เธอทำอะไร หากเป็นอย่างนั้นร้านคงได้วุ่นวายกว่านี้แน่
บางทีเธอก็ควรเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองและเขาให้มากขึ้นอีกนิด ก่อนที่ร่างกายจะแย่ไปกว่านี้
วันถัดมา อากาศสดใส แดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลูกค้าเริ่มแวะเวียนมาตั้งแต่เช้า บ้างมานั่งทาน บ้างมาสั่งกลับบ้าน บรรยากาศในร้านคึกคักกว่าทุกวัน
"ของโต๊ะสาม โต๊ะสี่ได้แล้วยังคะ"
เสียงพนักงานเอ่ยถามขึ้นขณะเดินถือถาดอาหารพุ่งผ่านหลังครัว
หลี่เฉินเช็ดเหงื่อจากหน้าผากก่อนตอบรับ เขาแทบไม่มีเวลาหยุดหายใจตั้งแต่ร้านเปิด หันไปทางจื่ออิงซึ่งกำลังเตรียมจะออกไปรับบุตรสาวด้วยสายตาหม่น เขาเอ่ยบอกภรรยาด้วยความรู้สึกผิด
"วันนี้ลูกค้าเยอะกว่าปกติมากเลยครับ คุณไปคนเดียวได้ไหมครับ"
จื่ออิงพยักหน้า เอ่ยบอกสามีด้วยรอยยิ้ม
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปคนเดียวได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"
จริงๆ แล้ววันนี้จื่ออิงตั้งใจจะพาหลี่เฉินไปตรวจสุขภาพด้วยกัน เธออยากให้เขาได้พักบ้าง หลังจากที่ทุ่มเททำงานหนักมาตลอดหลายสัปดาห์ แต่เมื่อเห็นว่าร้านอาหารยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า เธอจึงตัดสินใจไปคนเดียวก่อน แล้วค่อยพาเขาไปในวันหลัง
หลังจากจัดการงานในส่วนของตัวเองเรียบร้อย จื่ออิงก็มุ่งหน้าไปยังสถานีอนามัยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของเหยียนเหยียน ที่นั่นบรรยากาศเรียบง่าย แต่สะอาดและดูอบอุ่น พยาบาลต้อนรับอย่างใจดี พร้อมซักประวัติและช่วยพาเธอเข้าไปตรวจเบื้องต้น
ไม่นานนัก จื่ออิงก็ได้มานั่งอยู่ตรงหน้าคุณหมอหญิงวัยกลางคน ใบหน้าสงบและแววตาอ่อนโยน
"จากผลตรวจเบื้องต้นนะคะ"
หมอเอ่ยพลางเหลือบดูเอกสารในมือ
"คุณหลินกำลังตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6-7 สัปดาห์ค่ะ แต่ถ้าอยากทราบอายุครรภ์ที่แน่ชัดกว่านี้คงต้องไปตรวจดูที่โรงพยาบาลอีกทีนะคะ"
คำพูดนั้นเหมือนหยุดเวลาทั้งหมดไว้ในวินาทีนั้น
จื่ออิงเบิกตากว้าง มองหมอราวกับต้องการแน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด เธอก้มมองหน้าท้องของตัวเองที่ยังแบนราบ รู้สึกเหมือนบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป แม้ภายนอกจะยังเหมือนเดิม
หัวใจของเธอเต้นแรงจนได้ยินเสียงในหู ในขณะที่สมองก็พรั่งพรูไปด้วยคำถามมากมาย
หลี่เฉินจะรู้สึกยังไงนะ
เราสองคนพร้อมแล้วหรือยัง ในวันที่ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มลงตัว
แล้วเหยียนเหยียนล่ะ เธอจะดีใจมั้ยที่กำลังจะมีน้อง
ท่ามกลางความอึ้งและคำถามมากมายที่แล่นวูบขึ้นในหัว จื่ออิงได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบจิตสงบใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา แล้วพยักหน้ารับเบาๆ
"ค่ะ ขอบคุณนะคะหมอ"
จื่ออิงเดินออกจากห้องตรวจด้วยหัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกในอกทั้งอุ่นวาบและสับสนปนเปกันไปหมด ฝ่ามือยกขึ้นลูบท้องตัวเองเบาๆ พลางยิ้มจางๆ ให้กับใครบางคนที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว
"สวัสดี เจ้าตัวเล็ก"
เสียงกระซิบของเธอเบาราวสายลม
"แม่ดีใจนะ ที่มีหนู"
หลังจากออกจากสถานีอนามัย จื่ออิงก็ตรงไปยังโรงเรียนของเหยียนเหยียน เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เด็กหญิงตัวน้อยก็วิ่งพรวดออกมาจากประตูโรงเรียน พร้อมกับรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า
"แม่ขา หนูทำวิชาคำนวณได้คะแนนเต็มเลยนะวันนี้"
เหยียนเหยียนพูดด้วยเสียงสดใส ก่อนจะโผเข้าไปกอดคนเป็นแม่แน่นด้วยความดีใจ
จื่ออิงหัวเราะเบาๆ แล้วก้มลงกอดลูกกลับแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับอยากจะถ่ายทอดความรักทั้งหมดในใจผ่านอ้อมแขนนี้
"เก่งที่สุดเลยลูกสาวของแม่"
เธอมองใบหน้ากลมๆ ที่เปื้อนรอยยิ้มของลูก แล้วหัวใจก็อบอุ่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
จู่ๆ ภาพในหัวของเธอก็ลอยไปถึงเจ้าตัวน้อยอีกคนที่กำลังเติบโตอย่างเงียบๆ อยู่ในท้อง อีกไม่นานเธอจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสของใครอีกคนหนึ่ง ได้ยินเสียงเรียกว่า "แม่" จากอีกปากเล็กๆ และได้สัมผัสความสุขของคุณแม่ลูกสองที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิต
จื่ออิงสูดลมหายใจลึก รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า
"ไปค่ะ กลับไปหาพ่อกัน"
เหยียนเหยียนพยักหน้าแรงๆ มือเล็กๆ ยื่นมาจับมือแม่ไว้แน่น ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันออกจากโรงเรียน แสงแดดยามเย็นสาดทอเป็นประกายอ่อนๆ ทาบทับลงบนทางเดิน เสียงพูดคุยของสองแม่ลูกผสานกับเสียงหัวเราะเบาๆ ลอยแว่วไปกับสายลม
จื่ออิงมองลูกสาวที่เดินอยู่ข้างๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง ในหัวของเธอมีทั้งความตื่นเต้น ความสุข
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ
ทันทีที่มาถึงร้านของพวกเขา จื่ออิงกับหลี่เฉินก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งคู่ยืนมองอาคารตรงหน้าด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ จากอาคารเก่าทรุดโทรมที่เคยเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว และร่องรอยการชำรุดจากกาลเวลา ได้รับการปรับปรุงจนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลับกลายเป็นอาคารที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานที่เดียวกันอาคารตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก ผนังสีขาวสะอาดตาด้านหน้าร้านที่เพิ่งทาสีเสร็จไม่นาน ถูกแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกไม้จางๆ สีสันไม่จัดจ้านแต่กลับดูมีรสนิยม แฝงความละมุนละไมและความตั้งใจที่ใส่ลงไปในทุกรายละเอียดดูน่าดึงดูด แปลกตา มีเสน่ห์ และน่าสนใจ กลายเป็นสถานที่ที่ใครเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองหลี่เฉินจูงมือภรรยาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก่อนจะแยกออกไปพูดคุยกับนายช่างเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่ภรรยาออกแบบเอาไว้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่โต๊ะเก้าอี้และเครื่องครัวที่สั่งเอาไว้มาส่งพอดี ส่วนจื่ออิงเลือกที่จะเดินสำรวจภายในร้าน นิ้วมือเรียวลูบผนังที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสความฝันที่ค่อยๆ เป็นจริง ร้านแห่งนี้ตรงใจของเธอแทบทุกอย่าง ต้องยอมรับว่านายช่างท
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเช้าวันจันทร์ก็มาถึง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่วันที่เหยียนเหยียนต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่จื่ออิงกับหลี่เฉินต้องกลับมาทุ่มเทให้กับร้านอาหารของพวกเขาอีกครั้งวันนี้จื่ออิงตื่นตั้งแต่เช้ามืด และแน่นอนตลอดสองวันมานี้เธอตื่นขึ้นมาในห้องนอนของหลี่เฉิน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคืนหลังจากที่เหยียนเหยียนหลับสนิท หลี่เฉินก็มักจะโผล่มาแบบเงียบๆ แล้วอุ้มเธอออกจากห้องพากลับเข้าห้องของตัวเองและเขาไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนง่ายๆ หลี่เฉินลงมือรังแกเธอจนดึกดื่นค่อนคืน ผลก็คือทุกเช้า จื่ออิงก็มักจะตื่นสายกว่าที่ควรจะเป็น และก็เป็นเหมือนภาพที่ฉายซ้ำ เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นตามเวลาเป๊ะ พร้อมกับเสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังอยู่ด้านหลังประตู"พ่อคะ เปิดประตู พ่อขโมยแม่มาอีกแล้วนะ"แม่หนูน้อยผู้มาเรียกร้องสิทธิ์ในการ'ทวงคืนแม่' จากพ่อหลี่เฉินจะลุกขึ้นด้วยใบหน้ายุ่งๆ แกล้งทำเสียงงัวเงีย แล้วบ่นเบาๆ ว่า"มาแย่งแม่ไปอีกแล้ว พ่อยังนอนกอดแม่ไม่พอเลยนะ"หลังจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จื่ออิงทำได้แค่หัวเราะเบาๆ กับความวุ่นวายอ