ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ
หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียด
จนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย
"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."
แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันที
หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา
เจียงซินหยา
หลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไป
ความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั้งสองคน ก่อนที่เจียงซินหยาจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
"สวัสดีค่ะพี่เฉิน พี่พอจะมีเวลาคุยกับฉันสักครู่ไหมคะ"
น้ำเสียงของเจียงซินหยาอ่อนโยน นุ่มนวลเช่นเคย แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ
หลี่เฉินไม่ตอบในทันที เขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
"เชิญนั่งก่อนสิ"
เจียงซินหยาเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะมุมใกล้หน้าต่าง โต๊ะที่เงียบและห่างจากลูกค้าคนอื่นพอสมควร เธอมองไปรอบร้านครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เขา
"ร้านดูดีมากเลยนะคะ อบอุ่นกว่าที่คิดไว้มาก"
เธอกล่าวชม
หลี่เฉินยิ้มบางๆ รับคำชม แต่ไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งลงตรงข้ามเธออย่างมีมารยาท สายตายังคงจับจ้องการเคลื่อนไหวในร้านอย่างห่วงๆ
หลังจากความเงียบผ่านไปไม่กี่อึดใจ เจียงซินหยาเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาอย่างตรงไปตรงมา
"พี่...ยังอยากสอบเกาเข่าอยู่ไหมคะ"
คำถามนั้นไม่เพียงแต่เปลี่ยนบรรยากาศของโต๊ะ มันยังสั่นสะเทือนเข้าไปในใจของหลี่เฉินทันที ดวงตาเหมือนถูกดึงย้อนกลับไปในความทรงจำ ภาพวันเก่าที่เขาเคยนั่งทบทวนบทเรียน เทียบกับวันที่เขาวางปากกาและความหวังความฝันลง เพราะต้องเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง
เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างช้าๆ
"เรื่องนั้น...มันผ่านไปนานแล้ว"
"แต่มันก็ยังอยู่ในใจพี่…ใช่ไหมคะ"
หลี่เฉินไม่ตอบ แต่ดวงตาของเขาหลุบต่ำ คำถามของอีกฝ่ายแทงเข้าไปยังจุดที่เขาซ่อนไว้ลึกที่สุด
ซินหยาเอื้อมมือวางซองเอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ
"นี่คือใบสมัครสอบเกาเข่าปีนี้ค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้พี่แล้ว ตาของฉันจะเป็นคนลงนามรับรองให้พี่เอง พี่แค่...เซ็นชื่อกับยื่นเอกสารเท่านั้น"
หลี่เฉินหรี่ตามองอีกฝ่าย ไม่เข้าใจว่าเจียงซินหยาต้องการอะไรกันแน่ เขาตอบกลับเรียบๆ
"ตอนนี้ฉันมีร้าน มีครอบครัวที่ต้องดูแล และยังต้องรับผิดชอบหลายอย่าง คงไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น"
ซินหยายิ้มจางๆ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องใบหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างมั่นคง
"แต่โอกาสไม่ได้มาบ่อยๆ หรอกนะคะ"
เธอพูดเสียงเบา แต่ชัดถ้อยชัดคำ
"บางที พี่อาจไม่อยากปล่อยมันไปอีกแล้วก็ได้"
คำพูดของเจียงซินหยาราวกับแทรกซึมเข้าไปในความคิดของหลี่เฉิน โดยไม่ต้องเร่งเร้าอะไรเพิ่มเติม
หลี่เฉินเม้มปากแน่น เขาเงียบ เพราะรู้ว่ามันยังอยู่ แค่ถูกเก็บไว้อย่างเงียบๆ ในมุมหนึ่งของหัวใจ
ชายหนุ่มหลุบตาลง ความคิดพันกันยุ่งอยู่ในใจ เขารู้ว่าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปโอกาสก็จะยิ่งลดน้อยลง และคำพูดของเจียงซินหยาก็เหมือนประกายไฟที่จุดอะไรบางอย่างในใจให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงในครัวดังขึ้นเบาๆ ดึงเขาจากห้วงความคิด พนักงานเดินผ่านไปมา ท่ามกลางความวุ่นวายของร้านที่ยังไม่หยุดนิ่ง
หลี่เฉินเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวแต่แน่วแน่กว่าเดิมเล็กน้อย
"ฉันจะคิดดู"
ซินหยายิ้มอย่างพอใจ แล้วเอ่ยขึ้น
"ฉันรบกวนเวลาพี่มามากแล้ว คงต้องขอตัวกลับก่อน"
เจียงซินหยาถอยออกมาหนึ่งก้าว ยิ้มให้เขาอีกครั้ง
"ฉันไม่หวังอะไรจากพี่หรอกค่ะ แค่ไม่อยากเห็นพี่ทิ้งสิ่งที่ตัวเองเคยต้องการที่สุด เพราะมันเป็นฝันของพี่"
เธอพูดจบแล้วก็โค้งให้เบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงเอกสารแผ่นนั้นที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ และชายหนุ่มที่ยังนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดอุ่นที่ทาบเข้ามาช้าๆ
เจียงซินหยาก้าวเดินช้าๆ ไปตามถนนสายเล็ก สายตาเหม่อมองออกไปไกล ทั้งที่ท้องฟ้ายามเย็นกำลังไล้สีทองอย่างงดงาม แต่ในใจเธอกลับวุ่นวายจนไม่อาจมองเห็นความงามเหล่านั้นได้เลย
ไม่มีใครรู้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอต้องอดทนและลำบากมากแค่ไหน ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกมากเพียงใด เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเจียงอีกครั้ง
เธอตัดสินใจกลับบ้านตระกูลเจียง บ้านที่ไม่เคยอบอุ่น บ้านที่มีพ่อผู้โง่เขลา และแม่เลี้ยงที่จ้องแต่จะกดหัวเธอเอาไว้ ยอมกลับไปใช้ชีวิตในบ้านที่ไม่มีคำว่าความรัก ก้มหน้ารับแรงกดขี่จากครอบครัวตัวเอง เธอยอมอดทนกับคำพูดเหยียดหยาม ยอมฟังคำเสียดสี คำประชดประชันที่เจ็บลึกทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะสบตา เพราะเธอมีเป้าหมายเดียวในใจ คือกลับไปเรียนหนังสือให้ได้
และใช้โอกาสนี้ให้ได้กลับไปใกล้ชิดกับหลี่เฉินอีกครั้ง
เธอรู้ดีว่าหลี่เฉินยังไม่ลืมความฝันนั้น เธอรู้ รู้มาตลอดว่าเขายังอยากสอบ รู้ว่าลึกๆ เขายังอยากเรียนต่อ แววตาของเขาจะเปล่งประกายทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องเรียน ยังมีความฝันที่เคยต้องพับเก็บไว้ รู้ว่า เขายังไม่ได้ "ลืม" ความฝันนั้นไปจริงๆ
เธอจำสิ่งเหล่านั้นได้ทุกอย่าง และนั่นคือเหตุผลที่เธอพยายาม เพราะถ้าเธอช่วยให้เขาได้กลับไปสู่ความฝันนั้น ช่วยให้เขากลับไปยืนในจุดที่เขาควรอยู่
บางที...บางทีเรื่องนี้อาจช่วยให้เธอได้รับความสนใจจากเขา เขาอาจมองเห็นเธออีกครั้ง ความใกล้ชิด ความผูกพันระหว่างเขาและเธออาจกลับมา และเธอจะได้กลับไปอยู่ในชีวิตของเขาอีกครั้ง
และครั้งนี้...เธอจะไม่ยอมแพ้
เจียงซินหยากำมือแน่น เงยหน้ามองท้องฟ้าสีทองที่เริ่มจางแสงลง เธอรู้ว่าหนทางข้างหน้ายังอีกไกล แต่อย่างน้อย... เธอก็ยังได้เดินอยู่บนเส้นทางที่มีเขาอยู่ในปลายทาง
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ
ทันทีที่มาถึงร้านของพวกเขา จื่ออิงกับหลี่เฉินก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งคู่ยืนมองอาคารตรงหน้าด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ จากอาคารเก่าทรุดโทรมที่เคยเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว และร่องรอยการชำรุดจากกาลเวลา ได้รับการปรับปรุงจนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลับกลายเป็นอาคารที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานที่เดียวกันอาคารตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก ผนังสีขาวสะอาดตาด้านหน้าร้านที่เพิ่งทาสีเสร็จไม่นาน ถูกแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกไม้จางๆ สีสันไม่จัดจ้านแต่กลับดูมีรสนิยม แฝงความละมุนละไมและความตั้งใจที่ใส่ลงไปในทุกรายละเอียดดูน่าดึงดูด แปลกตา มีเสน่ห์ และน่าสนใจ กลายเป็นสถานที่ที่ใครเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองหลี่เฉินจูงมือภรรยาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก่อนจะแยกออกไปพูดคุยกับนายช่างเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่ภรรยาออกแบบเอาไว้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่โต๊ะเก้าอี้และเครื่องครัวที่สั่งเอาไว้มาส่งพอดี ส่วนจื่ออิงเลือกที่จะเดินสำรวจภายในร้าน นิ้วมือเรียวลูบผนังที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสความฝันที่ค่อยๆ เป็นจริง ร้านแห่งนี้ตรงใจของเธอแทบทุกอย่าง ต้องยอมรับว่านายช่างท
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเช้าวันจันทร์ก็มาถึง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่วันที่เหยียนเหยียนต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่จื่ออิงกับหลี่เฉินต้องกลับมาทุ่มเทให้กับร้านอาหารของพวกเขาอีกครั้งวันนี้จื่ออิงตื่นตั้งแต่เช้ามืด และแน่นอนตลอดสองวันมานี้เธอตื่นขึ้นมาในห้องนอนของหลี่เฉิน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคืนหลังจากที่เหยียนเหยียนหลับสนิท หลี่เฉินก็มักจะโผล่มาแบบเงียบๆ แล้วอุ้มเธอออกจากห้องพากลับเข้าห้องของตัวเองและเขาไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนง่ายๆ หลี่เฉินลงมือรังแกเธอจนดึกดื่นค่อนคืน ผลก็คือทุกเช้า จื่ออิงก็มักจะตื่นสายกว่าที่ควรจะเป็น และก็เป็นเหมือนภาพที่ฉายซ้ำ เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นตามเวลาเป๊ะ พร้อมกับเสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังอยู่ด้านหลังประตู"พ่อคะ เปิดประตู พ่อขโมยแม่มาอีกแล้วนะ"แม่หนูน้อยผู้มาเรียกร้องสิทธิ์ในการ'ทวงคืนแม่' จากพ่อหลี่เฉินจะลุกขึ้นด้วยใบหน้ายุ่งๆ แกล้งทำเสียงงัวเงีย แล้วบ่นเบาๆ ว่า"มาแย่งแม่ไปอีกแล้ว พ่อยังนอนกอดแม่ไม่พอเลยนะ"หลังจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จื่ออิงทำได้แค่หัวเราะเบาๆ กับความวุ่นวายอ