เธอเตรียมใจไปถึงวันที่จะต้องสูญเสีย และพัดพรากจากลูกกับผู้ชายที่เธอแอบรัก
ด้วยรู้ดีว่าไม่มีวันได้สมหวัง
เพราะภาพมันชัด และแนวโน้มก็ไปทางนั้น
เธอไม่รู้หรอกว่าถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ เธอจะทำใจได้ไหม หรือจะอยู่ต่อไปอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ สัญญาที่เพิ่งเซ็นไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ระบุชัดเจนว่าเธอจะต้องหย่าขาดกับเขาหลังคลอดลูก และเซ็นมอบอำนาจการปกครองลูกให้กับคนเป็นพ่อ
มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละ
การจดทะเบียนสมรสมีขึ้นเพื่อให้การอุ้มท้องของเธอในครั้งนี้ไม่ขัดต่อกฎหมาย
ชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะมาเกิดในอีกแปดเก้าเดือนข้างหน้าก็เป็นความประสงค์ของย่าเขา
ถ้ายกเงื่อนไขในสัญญาออก แล้วถามถึงความสามารถในการเลี้ยงดูลูก
นอกจากคำว่า ‘แม่’ แล้ว เธอไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย
“ไปหาอะไรกินกันก่อน เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”
มันตาไม่ได้พูดอะไรอีก และยังคงเป็นผู้โดยสารที่ดี นั่งเงียบตลอดทาง จนกระทั่งเขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับร้านอาหารญี่ปุ่น
“หิวหรือยัง พี่แวะทำธุระที่ธนาคารสักครู่ได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
มันตาตอบรับ ว่าง่ายเป็นปกติเหมือนที่ผ่านมา
แต่ที่ไม่ปกติคือ คนทำหน้าที่ขับรถ
เธอยังไม่ทันได้ขยับเตรียมลงจากรถ เขาก็ลงไปก่อนเธอแล้ว แวบแรกเลยเธอคิดว่าเขาคงจะรีบไปทำธุระที่ธนาคาร
แต่เธอเข้าใจผิด
เขามาประเปิดประตูให้เธอ!
“ตาหวานลงไปเองได้ค่ะ!”
มันตาปฏิเสธด้วยความตกใจ ลิ้นแทบพันกัน เมื่อเขายื่นมือเข้ามาในรถ เพื่อรับเธอลงจากรถ ซึ่งตอนนี้มือของเขาวางอยู่ที่แขนของเธอแล้ว
“เอากระเป๋าไปด้วย”
ตุลย์ไม่ฟังคำปฏิเสธเช่นกัน
“กำลังท้อง ต้องระวัง”
มันตาได้แต่นึกค้านเขาในใจว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความเสี่ยงใดๆ เลย แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบ และก้าวขาลงจากรถตามการประคองของเขา
“ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ตาหวานเดินเองได้”
ลงมายืนข้างรถเรียบร้อย คนมาด้วยกันไม่ยอมปล่อยมือ มันตาก็บอกกับเขาเสียงอ่อน
“เป็นเด็กดีมาตลอด อย่ามาดื้อกับพี่ตอนท้อง”
“แต่ว่า...”
มันตาพูดออกมาแค่นั้น สายตาดุๆ ของคนมาด้วยกันก็ทำให้เธอกลืนคำพูดที่เหลือไปจนหมด
“ในท้องของตาหวานนั่นลูกพี่”
เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่ก็ทำให้เธอหุบปากสนิท และปล่อยให้เขาเดินจูงมือเข้าไปในธนาคารโดยไม่พูดอะไรอีก
อย่างน้อยเขากับเธอก็เคยเดินจูงมือกัน
แม้การจับจูงเดินจะมีสาเหตุ และเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากไปกว่าต้องการดูแลความปลอดภัยของลูกในท้อง
แต่เธอจะขอจดจำช่วงเวลานี้ไว้ตลอดไป
มันตาหยิบบัตรประชาชนจากกระเป๋ายื่นส่งให้กับเขา
“คุณตุลย์เอาไปทำอะไรคะ”
เพราะเขาไม่บอกอะไร หลังจากขอบัตรประชาชนจากเธอ หญิงสาวจึงอดถามไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาธนาคารกับเขา นั่นทำให้เธอทำตัวแทบไม่ถูก โดยเฉพาะตอนที่ชายวัยกลางคนออกมาต้อนรับเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเชิญมานั่งที่ห้องนี้ พร้อมเครื่องดื่มที่เจ้าของสถานที่นำมาต้อนรับ
บุคคลวีไอพี
เธอนึกถึงคำนี้เลย เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นปฏิบัติกับเขา
“เปิดบัญชี”
เปิดบัญชี!
หมายถึงเขาจะให้เธอเปิดบัญชีเหรอ
“รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”
เสียงของชายคนนั้นทำให้เธอเก็บงำความสงสัยไว้ในใจจนกระทั่งเขาขอตัว และเดินออกไปจากห้อง เธอถึงได้พูดกับคนมาด้วยกัน ด้วยความกังวล
“เปิดบัญชีต้องใช้เงินเท่าไหร่คะ”
“พี่เป็นคนพามา พี่ต้องจัดการเองไหม”
หลังจากเรียนจบ มันตาปฏิเสธที่จะรับเงินรายเดือนจากเขาโดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เพราะไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมีเงินหรือเปล่า
อาจจะมี แต่ก็คงไม่มาก ถ้าเหลือใช้แล้วเก็บสะสมไว้ เพราะที่ผ่านมา ถ้าเดือนไหนมีเงินเหลือ มันตาก็จะฝากป้านกมาคืนเขาทั้งที่เขาบอกให้เก็บไว้ ซึ่งเรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องเดียวที่เธอดื้อกับเขา
เขายังทราบด้วยว่าที่ทำงานให้กับคุณย่า คุณย่าไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้เธอ
‘แล้วทำไมย่าต้องจ่าย...กินอยู่หลับนอนก็ฟรี ทำงานตอบแทนก็สมควรแล้ว ส่วนเงินเดือนคนใช้ที่ตุลย์เคยให้ก็ไม่ต้องให้แล้วนะ เรียนจบแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินอีก’
ตอนนั้นท่านไม่ได้พูดกับเขาคนเดียว แต่มันตากับป้านกก็อยู่ด้วยกัน พอคุณย่าประกาศแบบนั้น เธอก็ไม่กล้ารับเงินจากเขา เขาฝากป้านกไปให้ เธอก็เอามาคืน
‘ตาหวานไม่สบายใจที่จะรับไว้ค่ะ อย่าให้ตาหวานลำบากใจเลยนะคะ ตาหวานไม่อยากให้คุณท่านไม่พอใจด้วยค่ะ’
เธอบอกกับเขาแบบนี้ ตอนเอาเงินมาคืนเขา หลังเขาปฏิเสธป้านก ไม่รับเงินที่เธอฝากมาคืน
ซึ่งเขาไม่เข้าใจเอามากๆ ในเรื่องนี้
เขาไม่รู้ว่าคุณย่าจะหวงเงินไว้ทำไม ในเมื่อท่านมีเงิน และทรัพย์สมบัติเยอะมาก แต่ละปีบริจาคให้การกุศลก็ไม่น้อย เจ็ดแปดหลักก็เคยบริจาคบ่อยๆ แต่กลับเขี้ยวกับคนในบ้าน และเจาะจงเป็นกับมันตาด้วย
“ตาหวานพอมีอยู่ค่ะ...ไม่อยากรบกวนคุณตุลย์”
เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทำไมจู่ๆ พาเธอมาเปิดบัญชี แต่ถึงเขาจะพามา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะให้เขาออกเงินให้ แม้ว่าเงินที่เก็บสะสมไว้จะมาจากเงินที่เขาจ่ายให้ตอนได้เงินเดือนคนใช้ก็ตาม
เธอเตรียมใจไปถึงวันที่จะต้องสูญเสีย และพัดพรากจากลูกกับผู้ชายที่เธอแอบรักด้วยรู้ดีว่าไม่มีวันได้สมหวังเพราะภาพมันชัด และแนวโน้มก็ไปทางนั้นเธอไม่รู้หรอกว่าถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ เธอจะทำใจได้ไหม หรือจะอยู่ต่อไปอย่างไรแต่ที่แน่ๆ สัญญาที่เพิ่งเซ็นไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ระบุชัดเจนว่าเธอจะต้องหย่าขาดกับเขาหลังคลอดลูก และเซ็นมอบอำนาจการปกครองลูกให้กับคนเป็นพ่อมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละการจดทะเบียนสมรสมีขึ้นเพื่อให้การอุ้มท้องของเธอในครั้งนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะมาเกิดในอีกแปดเก้าเดือนข้างหน้าก็เป็นความประสงค์ของย่าเขาถ้ายกเงื่อนไขในสัญญาออก แล้วถามถึงความสามารถในการเลี้ยงดูลูก นอกจากคำว่า ‘แม่’ แล้ว เธอไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย“ไปหาอะไรกินกันก่อน เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”มันตาไม่ได้พูดอะไรอีก และยังคงเป็นผู้โดยสารที่ดี นั่งเงียบตลอดทาง จนกระทั่งเขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับร้านอาหารญี่ปุ่น“หิวหรือยัง พี่แวะทำธุระที่ธนาคารสักครู่ได้ไหม”“ได้ค่ะ”มันตาตอบรับ ว่าง่ายเป็นปกติเหมือนที่ผ่านมาแต่ที่ไม่ปกติคือ คนทำหน้าที่ขับรถเธอยังไม่ทันได้ขยับเตรียมลงจาก
“ถามค่ะ”“เมื่อไหร่”เขาถามต่อ พยายามชวนคนพูดน้อยคุย เพื่อไม่ให้ภายในรถเงียบจนเกินไป“เมื่อวานค่ะ”“แล้วตาหวานบอกคุณย่าว่ายังไง”“...ไม่มาค่ะ”คำตอบสั้นๆ เหมือนจะทำให้ลมหายใจเขาสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกในเวลาต่อมา“ปกติรอบเดือนมาวันที่เท่าไหร่”มันตามองหน้าคนถาม ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกกับเขาเสียงเบาคุยกันเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกประดักประเดิดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะถึงจะคุ้นเคยเห็นหน้า รู้จักกันมานานถึงยี่สิบปี ตั้งแต่วันที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านวสุจิตตานั่นแหละ แต่เธอก็ไม่เคยพูดคุยเล่นหัวกับเขา หรือคุยกันในเรื่องที่เป็นส่วนตัวขนาดนี้“คิดว่าท้องไหม” เขายิงตรงเลยคราวนี้“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”“แต่พี่ว่าท้อง”“...!”มันตาเผลอทำตาเบิกโตมองหน้าเขาตุลย์อมยิ้มบางๆ ที่มุมปากถ้ามีคนมาพูดใส่หน้าเขาว่า ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยมีมารยา เขาก็คงเถียงว่าไม่จริงเสมอไป เพราะอย่างน้อยก็มีมันตานี่แหละคนหนึ่งที่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไร้จริตมารยา“ถ้าท้อง พี่จะดีใจมาก...ไม่ใช่ว่าอยากได้ลูกนะ แต่ไม่อยากให้ตาหวานเจ็บตัว”มันตากะพริบตาถี่ๆ รู้สึกร้อนผ่าวทั่วขอบตา“พี่เองก็หดหู่กับต
ในความเมตตาของผู้ชายคนนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องเงินที่เขาหยิบยื่น แต่เขายังปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นน้อง และแทนตัวเองว่า ‘พี่’ ทุกคำเวลาพูดกับเธอ ไม่ว่าเธอจะเรียกเขาว่า ‘คุณตุลย์’ ตอนอยู่ที่บ้าน หรือเรียก ‘อาจารย์’ ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเขาไม่เคยมองว่าเธอเป็นคนรับใช้ในบ้าน หรือเด็กกำพร้าที่แม่พามาปล่อยทิ้งไว้ในบ้านหลังใหญ่ให้เป็นภาระกับเจ้าของบ้านตั้งแต่ประถมจนเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอไม่รู้ว่าเขาหมดเงินไปกับเธอเท่าไหร่ เพราะนอกเหนือจากเงินเดือนคนรับใช้ทำงานในบ้าน เขายังหยิบยื่นเงินให้เธอเรื่อยๆ และไม่ยอมให้เธอปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าเธอจะต้องใช้เงินในการเรียน และทำงานส่งอาจารย์เยอะค่าเทอมเขาก็เป็นคนจัดการให้เธอ ถึงจะเป็นธุรกิจของที่บ้านเขา และเขาเป็นผู้บริหาร แต่แน่นอนว่าค่าเทอมมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นชื่ออันดับต้นๆ ของประเทศไม่ถูกเลยตอนจบมัธยมปลาย เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ด้วย แต่ย่าของเขาไม่ให้เธอไปเรียน ด้วยเหตุผลว่ามหาวิทยาลัยอยู่ไกลบ้าน ถ้าเธอไปเรียน นั่นหมายความว่าเธอจะต้องออกจากบ้านไปอยู่หอพักเขาเปลี่ยนใจคุณย่าของเขาไม่สำเร็จในเรื่องนี้ เธอก็เลยได้เรียนที่มหาวิทยาลัยที่บ้านเขาเป็นเจ้
มันตาแบกคำว่า ‘บุญคุณ’ เอาไว้เต็มสองบ่า และคำว่าบุญคุณท่วมหัวที่คุณย่าอ้างนี่เอง ที่ปิดปากเด็กสาวเอาไว้ส่วนหนึ่งที่เขาพูดอะไรไม่ได้มากก็เพราะมันตาถ้าเขาออกหน้าเกินไป คนที่จะเดือดร้อนก็คือมันตาอีกเหมือนกัน“ไม่ต้องห่วงหรอกว่าย่าจะทำอย่างที่ตุลย์คิด เพราะยังไงเด็กก็ต้องกินนมแม่”ใช่ เด็กต้องกินนมแม่แต่หลังจากหย่านมแล้วล่ะ“ความจริงไม่ถึงกับต้องทำสัญญาก็ได้นะครับ เพราะตาหวานพร้อมจะทำตามคำสั่งของคุณย่าอยู่แล้ว”“ย่าไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากตุลย์นะ”หม่อมหลวงบุษปวันทำเสียงตำหนิหลานชายคนเดียว เพ่งมองหน้าหลานชายด้วยสายตาสำรวจ ก่อนจะเอ่ยต่อ“วันนี้เด็กนั่นอาจจะทำตามความต้องการของเรา แต่ใครจะรับประกันได้ว่าวันหนึ่งเมื่อมีเด็ก เขาอาจจะใช้เด็กเป็นข้อต่อรองกับเราเพื่อขยับสถานะ และฐานะของตัวเองก็ได้”เขาอยากจะแย้งว่าความต้องการของคุณย่าคนเดียว ไม่ใช่ ‘เรา’ แต่ก็ทราบดีว่าป่วยการจะพูดในเวลานี้ตุลย์หยิบปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจรดปลายปากกาลงบนกระดาษโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีกตั้งแต่วันไปทำ IUI ที่โรงพยาบาล เขาก็ยังไม่ได้เจอมันตา ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแม้จะอยู่คนละหลัง เพราะมันตาอยู่บ้านคนงาน ท
หลังจากเข้าพบหมอ รับคำปรึกษา ผ่านกระบวนการต่างๆ มาตามการจัดแจงของคุณย่าในที่สุดก็มีวันนี้การทำ IUI เพื่อให้ได้มาซึ่งทายาทไม่ใช่ตามความต้องการของเขา แต่เป็นความประสงค์ของคุณย่านี่ดูจะเป็นเรื่องเดียวที่เขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง หลังจากศึกษาวิธีการ และเห็นว่ามันตาน่าจะเจ็บตัวน้อยที่สุดแค่นี้เองที่เขาพอจะช่วยเธอได้แต่ในขณะที่เขากังวลสารพัด คนจะต้องอุ้มท้องกลับไม่มีความเห็นใดๆ มันตาเงียบเสียจนบางทีเขานึกอยากรู้ว่าเด็กสาวรู้ร้อนรู้หนาวกับใดๆ ในโลกนี้หรือเปล่า “ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปก่อนเลย บ่ายมีสอนนี่ ไม่ต้องรอหรอก”หม่อมหลวงบุษปวันบอกกับหลานชายหลังได้รับแจ้งว่ามันตาจะต้องนอนพักราวครึ่งชั่วโมงหลังหมอฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูก“แล้วจะกลับกันยังไงครับ”ตุลย์อดเป็นห่วงไม่ได้“เดี๋ยวกลมารับ ย่าโทรไปบอกแล้ว”ตุลย์พยักหน้าเบาๆ ปรายตาไปมองคนนอนอยู่บนเตียงเล็กน้อยมันตากำลังนอนอยู่บนนั้น ไม่รู้ว่านอนหลับหรือแค่หลับตา เพราะตั้งแต่หมอฉีดน้ำเชื้อเขาเข้าโพรงมดลูก ก็ยังไม่มีใครได้ยินเสียงพูดของเด็กสาวเลยชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆบรรยากาศรอบตัวเขาในตอนนี้ไม่สู้ดีนักหรอก ให้ความรู้สึกหดหู่มากกว่าจ