LOGINตอนที่ 11 ท่านขุน 18+
แอ๊ด!
เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหาย
เธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด
“นั่งชันเข่าไว้”
เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวด
ถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวง
ดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง
“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”
ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหู
ขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเงา
ด้านหนึ่งสลักยันต์สุริยาลงอักขระโบราณ ร้อนแรงแผดเผามนตร์ดำ อีกด้านสลักยันต์จันทรา ลายอักษรเร้นลับสะกดวิญญาณร้าย กลิ่นหอมอ่อนจากด้ามมีดไม้กฤษณาผสานลวดลายแกะสลัก ให้ความรู้สึกราวมีผีร้ายซุกซ่อนอยู่ภายใน
เขายกขึ้นประนมมือเสกบทสวดเป่าคาถาลงอาคมปลุกฤทธานุภาพยังคมมีด แล้วเคลื่อนไปบนผิวเนื้อนวลเนียนละเมียดละไม
บัดนี้เรือนกายดาราการ้อนขึ้นเองอย่างน่าประหลาด บทสวดเหล่านี้ดั่งมนตร์สะกดทำให้เธอเผลอไผลเอนกายอ่อนปวกเปียก ไหล่สะท้านไหวยามความเย็นเยียบของมีดจดลงท้ายทอยเคลื่อนไหวคล้ายขีดเขียนอักขระโบราณเคลื่อนลงแผ่นหลัง
“เปลื้องผ้ารัดอก” เขาสั่งเสียงแหบต่ำ
มือเล็กสั่นเทาปลดชายผ้าที่เหน็บไว้ร่วงลงบั้นเอว เขาดึงออกจากร่างโยนไปนอกผ้าทำพิธี
แผ่นหลังขาวนวลบอบบางทว่านุ่มนวลด้วยเนื้อหนังอย่างสาวสะพรั่งส่งผลให้จอมเวทย์หนุ่มเกือบยั้งใจไม่อยู่กระโจนเข้าใส่
ดวงตานิลกาฬหลุบลงจ้องผิวเนียนละเอียดใต้คมมีด ท่องบทสวดต่อด้วยใจระทึกเสน่หา ขีดเขียนอักขระไร้น้ำหมึกบนเรือนกายแม่หญิงงดงาม เลื่อนคมมีดลงกลางแผ่นหลังได้ยินเสียงสูดลมหายใจเฮือก ผิวกายร้อนวูบวาบ
เขาจดริมฝีปากลงเนื้ออ่อนหวานบนลาดไหล่ พรมเบา ๆ ขณะท่องบทสวด เลื่อนมีดอาคมลงด้านล่าง พรมจูบท้ายทอยใช้จมูกซุกลำคอสูดดมกลิ่นหอมหวาน ขยับปากท่องบทข้างใบหูแล้วชอนไชลิ้นเข้าไป
“ท่านขุน!”
เธอส่งเสียงตระหนก หัวใจเต้นรัวแรง เอียงศีรษะหลบเรียวลิ้นทว่าอย่างไรก็ไม่พ้น มือกร้านดันไหล่เธอไว้
“เอี้ยวหน้ากลับมา ให้ข้าจูบเจ้า”
เขาพึมพำข้างกรอบหน้า ทว่าดารากาหวั่นเกรงจนตัวแข็งทื่อนั่งนิ่ง มือกำผ้าซิ่นจนขึ้นข้อขาว
“หันมาดารานี”
เธอสะอึกขึ้นยามได้ยินชื่อพี่สาว หินที่ถ่วงอยู่ข้างในยิ่งหนักอึ้งด้วยภาระหน้าที่ เปลือกตาหลุบลงมองพื้นกระดานไม้สีเข้มดำสะกดกลั้นลมหายใจแล้วเอี้ยวหน้าไปด้านหลัง
ริมฝีปากเราพบกันอย่างคราวที่แล้วใต้ต้นไทร ทว่าคราวนี้ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
จูบหนักหน่วงในหนนี้ไร้ซึ่งการเหนี่ยวรั้ง มือแกร่งบีบไหล่เธอแน่นขณะบดขอบปากเธอจนเผยอออกแล้วสอดเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงฉ่ำชื้น
“อ้าปาก รับลิ้นของข้า แม่หญิง”
เธอขมวดคิ้ว ในเมื่อยามนี้ปากของเธอเปิดออกจนกว้างแล้ว ยังไม่อ้าอีกหรือไร เธอเอี้ยวหน้าใกล้ขึ้นเอียงจนท้ายทอยซุกพับตรงหัวไหล่ ให้เขาบดเบียดจนหนำใจ เรียวลิ้นในโพรงปากสัมผัสกันเกิดเสียงน้ำ
“ท่านขุน”
เธอสะดุ้งเรียกชื่อเขาอู้อี้ บัดนี้มือหยาบกร้านเลื่อนลงจากหัวไหล่ ลูบไล้ผ่านหน้าท้องวางทาบไอร้อนแล้วกอบฐานทรวงขึ้น
แม่หญิงดิ้นแอ่นหนีเอนไปด้านหลังจนลำตัวโค้งยอดหัวพุ่งชูชัน อกอวบอิ่มถูกเขาบีบคลึงเคล้นวนไปมา เนื้อนุ่มปลิ้นผ่านง่ามนิ้ว
“อื้อ”
จูบแผดเผายังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมมือกร้านทำร้ายทรวงอกเธอจนชอกช้ำ บีบ ขยำ บี้หัวนม เขาจับกระทำดั่งเธอเป็นก้อนนุ่มที่เขาชื่นชอบ ล้วงลิ้นชอนไช
เฮือก...
เธอสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เมื่อท่านขุนยอมปล่อยริมฝีปากเป็นอิสระ มือใหญ่กำลำคอเธอครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนลงเบื้องล่างกระตุกชายผ้า
ปึก!
ดารากาสะดุ้งหลับตาแน่น รู้สึกถึงสายลมพัดเย็นผิวหนังหน้าท้องยามที่ผ้าซิ่นสีทองไหลลงจากร่าง เขาดันเธอออกห่าง
“นอนคว่ำ” เส้นเสียงจอมเวทย์ต่ำพร่าจนเกือบจับคำไม่ได้
มือกร้านดันแผ่นหลังเธอจนเอนไปด้านหน้ากระทั่งนอนคว่ำบนผ้าพิธี ดึงผ้าซิ่นออกจากร่าง แว่วเสียงสูดลมหายใจก่อนที่สัมผัสถึงลมอุ่นบนข้อเท้าตามด้วยความเย็นเยียบของคมมีด
“ท่านขุน!”
เธอกระตุกข้อเท้า ไรฟันขบเม้มผิวเนื้อปลีน่องเจ็บนิด ๆ เสียงทุ้มต่ำท่องบทสวดลากคมมีดขึ้นเรียวขา
บุรุษแห่งอโยธยาเผยเรียวลิ้นชิมรสชาติหวานนุ่มแม่หญิง ลากลิ้นเปียกใกล้ต้นขาขยับใบหน้าเกือบจะถึงกลางลำตัว วกขึ้นแก้มก้นสะโพกกลมกลึง ฝ่ามือลูบไล้ทั่วร่างกายกอบขยำ โผนตัวเองเชื่องช้าทาบทับแล้วพลิกเธอนอนหงาย
ดารากาตระหนกแล้วอย่างสิ้นเชิง ดวงตากวางเบิกกว้าง หายใจหอบถี่เกือบขาดห้วง นัยน์ตากลอกไปมาขณะสบตาพยัคฆ์หิวกระหาย
“ข้ายังท่องบทสวดไม่จบ” เสียงท่านขุนกระเส่าแรง “ยังไม่ใช่เพลานี้ เจ้ายังมีเวลาให้ผ่อนคลายอีกสักพัก”
ผ่อนคลายเช่นนั้นหรือ?
เธอเกิดคำถามขึ้นทันที ตัวเธอจะผ่อนคลายได้เยี่ยงไรกันในเมื่อยามนี้ตัวท่านชะโงกอยู่เหนือข้า และมีทีท่าต้องการกระโจนเข้าใส่ อดกลั้นเสียจนข้ามองเห็นเส้นเลือดใต้ฐานคอเต้นตุบ ๆ ทั้งหมดนี้เธอได้เพียงคิดมิกล้าพูดออกมา
เขาลากคมมีดลงเนินทรวง วางความเย็นบนผิวเนื้อ หลุบดวงตามองทรวงอกอวบอิ่มเต็มล้นมือ กลมกลึงงดงาม พึมพำท่องบทสวดแผ่วเบาในลำคอ ปลายมีดเคลื่อนยังยอดหัวนมเล็กชูชัน
“ออเจ้าหนาวหรือไร” จู่ ๆ เขาก็ถาม
“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ”
“หัวนมเจ้า หดเกร็ง อืม...” เขาช้อนตาขึ้นจ้องเธอ “ขนอ่อนเจ้าลุกทั้งตัว”
ถึงเพลานี้ดารากาเริ่มเม้มปาก ความกลัวในช่องท้องที่มีแต่แรกกำลังเลือนไปเพราะคำพูดของท่านขุน
ตอนที่ 12 ไม่มีใครเหมือนของท่านขุนอัครเดชเหตุใดเขาจึงมิทำมันให้จบสิ้น เธอนอนเกร็งไปทั่วร่าง หวาดหวั่นจนลำคอแห้งผาก ขาเป็นตะคริว ความขุ่นข้องพาให้เธอดันไหล่เขาออก คิ้วเข้มขมวดทันที“เป็นกระไร เรายังทำพิธีไม่เสร็จ”“แล้วเหตุใดท่านขุนจึงมิทำเสียให้แล้วโดยไว ท่านท่องบทสวดประเดี๋ยวหยุด ประเดี๋ยวท่อง เยี่ยงนี้เมื่อใดกันจึงจักเรียบร้อย”ด้วยถูกเลี้ยงดูมากับบ่าวไพร่จึงทำให้เธอมักพูดโพล่งออกไปไม่ทันคิด เห็นคิ้วข้างขวาเขายกขึ้นโก่งสูง ขยับหน้าขึ้นจ้องเธอนิ่ง“ออเจ้าเร่งรัดข้าหรือ? ต้องการให้ข้าทำแบบรีบร้อนเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ท่านขุน ข้าคิดว่าท่านช้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นแม่หญิงมีตระกูล แค่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนพื้นกระดาน บนผ้าสีขาวกลางห้องทำพิธีมืดทึมนี่ก็นับว่าหมิ่นเกียรติมากพอแล้ว แทนที่ท่านจักทำมันให้จบ ๆ กลับให้ข้านอนใจเต้นระทึกเป็นนาน”ขุนอัครเดชเกิดความสับสนไม่แน่ใจ นับจากที่พบเธอในวัดเพลานั้นเธอคล้ายหวาดกลัว แม้ว่ามีเค้าลางดื้อดึงซ่อนอยู่ ส่วนวันก่อนหวาดกลัวหนักกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งร่างทว่าในค่ำนี้ แรกที่เขาสัมผัสร่างเธอยังสั่นเทิ้ม แล้วเหตุใดแปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งบทสวดขึ้น
ตอนที่ 11 ท่านขุน 18+แอ๊ด!เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหายเธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด“นั่งชันเข่าไว้”เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวดถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวงดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหูขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเง
ตอนที่ 10 วันส่งตัวเช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนบวรเวทย์เรือนไทยสูงตระหง่านตรงกลางแมกไม้หนาทึบ กลิ่นดอกกาสะลองชัดกว่ากลิ่นใด ในขณะที่ดารากาเยื้องย่างมาถึงยังเรือนแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ร่างอรชรในชุดบ่าวสีน้ำตาลโจงกระเบนเนื้อหยาบพันผ้าคาดอกเผยผิวนวลผิดไปจากทาสคนอื่น ปิดคลุมหน้าด้วยผ้าหยาบสีน้ำตาลโพกพันถึงลำคอ นั่งเงียบถัดอยู่ด้านหลังบ่าวบัว มือรวบไว้บนพื้นค้อมตัวลงก้มศีรษะ สะดุ้งเบา ๆ ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น“ท่านขุนอัครเดช” ดารานีทักเสียงเบา“ข้าให้คนเตรียมห้องหับไว้ให้ออเจ้าแล้ว อยู่อีกชานเรือนฟากฝั่งทิศเหนือ ช่วงนี้กำลังเข้าหน้าฝนไม่ร้อนสักเท่าใด”เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าทำให้ดารากาหดขาพับเพียบเข้ามาอีกไม่รู้ตัว เธอสั่นไปหมดก้มหน้าจนเกือบติดพื้น“เจ้าค่ะ”“นำบ่าวมาเพียงเท่านี้หรือ”“เจ้าค่ะ”“แล้วบ่าวผู้นั้น ไยจึงโพกผ้า เจ้าเงยหน้า” เขาส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านี้ดารากาก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงกระหน่ำ หูคล้ายดับไปแล้วจึงก้มหน้างุดลงอีก“ท่านขุนเจ้าคะ บ่าวผู้นั้นชื่อชะเอม มันโดนไฟคลอกตั้งแต่ยังเล็ก ใบหน้าพิกลพิกาลนัก เลยให้มันโพกผ้าไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”“วั
ตอนที่ 9 ใจอันหนักอึ้งเช้าวันต่อมา ณ เรือนศรีสงครามเรือนนอนของดารากาอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก เป็นเรือนไม้สักทองทั้งหลังงดงามไม่แพ้กันทว่าหลังเล็กกว่าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวแสงยามเช้าสีทองสาดเข้ายังหน้าต่างห้องนอนทอดยาวเกิดเงาบนผนัง ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวตามแรงลมเอื่อย ดวงหน้าขุนอัครเดชยังติดตายากจะสลัดทิ้ง“พี่บัว”“เจ้าคะ คุณหนู”“ค่ำวานนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อกับแม่กลับมากันยามใด”“ค่อนดึกเจ้าค่ะ บ่าวลอบมองข้างบันไดใบหน้าซีดเซียว ยิ่งคุณหนูดารานีคล้ายคนเป็นลมมาเจ้าค่ะ”ดารากานิ่งงันไปอึดใจ แม้นว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่ายังได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดี กตัญญูรู้คุณ ยามนี้คนในบ้านเดือดร้อนเธอเองก็พลอยร้อนใจตาม“บ่าวเคยได้ยินเรื่องท่านขุน เขาเล่าลือกันว่าคาถาอาคมแกร่งกล้าแม้กระทั่งเสกคนให้กลายเป็นหินเจ้าคะ”“หินงั้นหรือ?” น้ำเสียงตื่นตระหนก“เจ้าค่ะ” บัวทำท่าขนลุกก่อนจะสะดุ้งโหย่งตึง ตึง ผลัวะ! จู่ ๆ บ่าวรับใช้อีกคนอายุยังน้อยเพียงสิบหกปี วิ่งตึงตังพรวดพราดเข้ามาในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ”“อะไรแม่ชะเอม! เดินเหินให้เบาฝีตีนสักหน่อย ใครได้ยินจะหาว่าบ้านนี้ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่” บ
ตอนที่ 8 เจ็ดวันคราขุนอัครเดชยืดเรือนกายเคร่งเครียด ในเพลานี้เขาตระหนักแล้วว่าหลวงพิริยเดชหมายถึงสิ่งใด การถอนคำสาปแช่งอาคมแกร่งกร้าวที่ไร้ผู้สืบทอดจนหาต้นตอมิได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ ตาย!!“ท่านหมายใจจะให้ธิดาท่านสิ้นชีวาหรือ?”เขาพุ่งคำถามทันทีไม่รอช้า จ้องดวงตาคุณหลวงที่แฝงความกังวล ใบหน้าหมองคล้ำ“มิได้ท่านขุน ข้ามิได้ต้องการให้ดารานีต้องตาย”“ถ้าเช่นนั้น ท่านหมายถึงการหาตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่”“ท่านขุนเก่งฉกาจนัก เดาใจข้าได้ถูกต้อง”ขุนอัครเดชนิ่งอึ้ง สิ่งที่เขาคาดเดามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าการถอนคำสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ดังนั้นการหาตัวตายตัวแทนย่อมดีกว่าให้ธิดาต้องตายดับ“ข้าอาจมิได้เก่งกาจอันใด ขอหลวงท่านขยายความด้วยเถิด”ขุนอัครเดชหยิบน้ำขึ้นจิบทันที ลำคอแห้งผากกะทันหัน เพราะภายในใจนั้นรู้เต็มอกว่าต้องทำเยี่ยงไร ภาพในห้วงสำนึกเพลานี้จึงเป็นภาพที่มิควรเห็น พยายามไม่จดจ้องดวงหน้างดงามที่เอาแต่ก้มหน้า“โหรหลวงท่าน...ข้านี้กระดากปากยิ่งนัก เป็นถึงพ่อคนแม่คนแต่ต้องพูดเยี่ยงนี้ให้บุตรีเสียชื่อ ทว่าหากไม่กระทำเยี่ยงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”หลวงพิริยเดชเอ่ยถ่อมตัวเล็กน้อย“ข้าต้
ตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กั







