เสียงฝีเท้าของผู้คุมหยุดชะงักกะทันหัน ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่เพียงชั่วพริบตา
แล้วร่างนั้นก็พุ่งผ่านเธอไป
รวดเร็วเกินกว่าสายตาจะมองทัน—ราวกับสายลมสีดำที่พัดผ่านไปเงียบงัน
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนเด็กสาวจะทันหันไปมอง ขวานสีทองตวัดฟาดลงอย่างไร้ความลังเล เสียงเนื้อฉีกสะท้อนก้องในอากาศ ลำคอของชายคนแรกถูกกรีดขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายสาดกระเซ็นลงบนกำแพงหินเย็นเฉียบ ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงราวกับหุ่นเชิดที่ขาดด้าย ร่างนั้นปรากฏตัวกลางวงศัตรู ราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากความมืด
เหล่าผู้คุมที่เหลือแข็งค้าง—ลมหายใจขาดห้วงในอก พวกมันพึ่งเริ่มตระหนักถึงภัยที่กำลังกลืนกิน
แต่ไม่ทันแล้ว
ชายสองคนที่อยู่ใกล้สุดตั้งสติได้ก่อน เงื้อดาบหมายจะสังหาร ทว่าเสียงโลหะเฉือนเนื้อดังกึกก้องก่อนที่พวกมันจะฟันลง ขวานสีทองพุ่งเป็นแนวเฉียง ตัดทะลุร่างทั้งสอง รอยแผลฉีกลึกถึงกระดูก เลือดร้อนๆ กระเซ็นเปรอะเต็มพื้นหิน
เสียงร่ายมนตร์ดังขึ้นจากพวกด้านหลัง—แต่เขาเร็วกว่าพวกมัน
ขวานถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังและความแม่นยำ ปักเข้ากลางอกของนักเวทย์คนหนึ่งเต็มแรง เสียงเนื้อฉีกกระชากดังก้องในอากาศ ร่างนั้นทรุดลง มือขาวซีดสั่นระริกก่อนจะหมดลมหายใจ ขณะเดียวกัน เขาหมุนตัวหลบคมดาบที่ฟันเข้ามา ก่อนที่จะฟาดขวานที่อยู่ๆก็โผล่มาจากอากาศ ทะลุคอของผู้คุมที่อยู่ใกล้ที่สุด เลือดกระฉูดออกเป็นเส้นสีแดงสด
พวกที่เหลือเริ่มตื่นตระหนก
บางคนพยายามยกดาบขึ้นแม้มือจะสั่น บางคนเร่งร่ายเวท เวทมนตร์บทหนึ่งถูกร่ายออกมาได้สำเร็จ บอลเพลิงขนาดใหญ่พุ่งใส่ร่างนั้น แต่เขาสไลด์ตัวต่ำ หลบลูกบอลเพลิงที่พุ่งเฉียดผิวหนังไปเพียงปลายนิ้ว ก่อนจะใช้แรงจากขาข้างหนึ่งถีบพื้นพุ่งไปอยู่ที่ด้านหน้าของศัตรู—ฟาดขวานลงเต็มแรง
ฉับ!
ใบมีดของมันฝังลึกลงกลางกะโหลก เสียงแตกหักของกระดูกดังสะท้อนทั่วบริเวณ พวกที่เหลือพากันหน้าซีดเผือด ศัตรูบางคนเริ่มถอยหนี—บางคนตัดสินใจวิ่ง แต่ไม่มีใครเร็วกว่าความตายที่ตามมา
ร่างนั้นไล่ตามไปติดๆ มือข้างหนึ่งคว้ากระชากคอเสื้อของชายที่วิ่งได้ช้าที่สุดก่อนจะกระชากกลับมา ขวานในมือฟาดลงกลางแผ่นหลังจนร่างนั้นแน่นิ่งไป พวกที่หนีไปได้ต่างลงไปด้านล่าง ไปรวมกลุ่มกับพวกที่ยังมาไม่ถึงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสัญญาเตือนภัยที่ดัง และ ถี่ขึ้นกว่าเดิม
เขาจะหยิบปืนพลุไฟจากเอว ก่อนเล็งไปด้านบน ลั่นไกทันที ปัง! เสียงระเบิดกึกก้อง แสงสว่างพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำแสงสีส้มเจิดจ้าสะท้อนให้เห็นภาพเบื้องล่าง—กลุ่มผู้คุมทาสที่เหลือกำลังมองขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
แสงไฟเผยให้เห็นจำนวนศัตรูที่ยังเหลือ พวกมันเริ่มตั้งขบวนใหม่ พยายามกระชับอาวุธในมือขณะร่ายเวทมนตร์ เขาไม่รอให้พวกมันได้เปล่งเสียงร่าย มือของเขากวาดคว้าเข็มสีดำขนาดใหญ่ออกมาหลายแท่งก่อนจะปาออกไปอย่างแม่นยำ
เสียงโลหะเจาะทะลุเนื้อกระดูกดังก้อง พวกมันล้มลงราวกับหุ่นเชิดที่เชือกขาด ศัตรูบางคนยังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น แต่เขาไม่เสียเวลามอง กลับพุ่งลงไปด้านล่าง เข้าไปหาพวกที่รวมกลุ่มกันที่ยังเหลือรอด ร่างของเขาเคลื่อนที่ราวกับนักล่าในเงามืด
นักเวทคนหนึ่งสะบัดมือ เตรียมปลดปล่อยเวทมนตร์สายฟ้า แต่สิ่งที่มันได้รับคือร่างของเพื่อนคนนึงที่ถูกเหวี่ยงเข้าใส่อย่างรุนแรง กระแสเวทปะทะเข้ากับร่างนั้นเต็มๆ แรงระเบิดเพลิงแผดเผาพวกเดียวกันใกล้ๆจนเกิดความโกลาหล เสียงกรีดร้องจากเปลวเพลิงดังสะท้อนทั่วพื้นที่
เขาใช้จังหวะนั้นพุ่งเข้าไป กวาดขวานออกด้านข้าง ตัดผ่านศัตรูที่ยังขวางทางเหมือนใบไม้ที่ถูกพายุซัด เสียง ฉัวะ! ของขวานผ่าเนื้อและเสียง กร๊อบ! ของกระดูกแตกดังขึ้นต่อเนื่อง ผู้คุมแต่ละคนร่วงลงกับพื้น เลือดไหลนองไปทั่วโพรงด้านล่าง
เด็กสาวยืนแข็งทื่อ ร่างกายราวกับถูกตรึงอยู่กับที่ ภาพเหตุการณ์ตรงหน้ารุนแรงและไร้ความปรานีเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนสมองของเธอประมวลผลตามไม่ทัน
“นั่นมัน...” เธอพึมพำเสียงสั่น ดวงตายังจับจ้องไปที่ชายคนนั้น—นักล่าผู้ไร้ความลังเล
แต่ก่อนที่เธอจะได้คำตอบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านหลัง เธอสะดุ้งเฮือก หัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เธอหันขวับไปอย่างระแวดระวัง แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
เรือนผมยาวสลวยเป็นประกายสีฟ้า ราวกับถูกถักทอจากสายน้ำ ดวงตาของเธอส่องประกายอ่อนโยน แต่ในความอ่อนโยนนั้นก็มีบางสิ่งที่เด็กสาวอ่านไม่ออก
หญิงสาวจ้องลึกเข้ามาในดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนหวาดกลัวของเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“เธอไม่เป็นไรนะ... พวกเรามาช่วยเธอ”
ไม่รู้ทำไม แต่ทันทีที่เสียงของหญิงสาวคนนั้นดังขึ้น ความตึงเครียดในร่างของเธอกลับคลายลง ความกลัวที่กุมหัวใจอยู่ค่อย ๆ จางหายไป เธอรู้สึกสงบขึ้น ทั้งที่เหตุการณ์รอบตัวควรจะทำให้เธอยิ่งตื่นตระหนกก็ตาม
ราวกับต้องมนต์ เธอเผลอลดความระวังอย่างไม่รู้ตัว เด็กสาวเพิ่งจะรู้สึกถึงความสงบที่แผ่ซ่านจากเสียงของหญิงสาวคนนั้น แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ความรู้สึกเย็นวูบที่สัญชาตญาณร้องเตือนก็แล่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง
มีบางอย่างผิดปกติ
เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า แต่เงาบางอย่างเคลื่อนผ่านจากด้านหลัง
เธอลอบมอง และหัวใจแทบหยุดเต้น—บางสิ่งเคลื่อนตัวเข้ามาจากด้านหลัง ก่อนจะพุ่งตรงไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“ระวัง—!” เด็กสาวอ้าปากจะร้องเตือน แต่ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกไป
ปัง!
เสียงปืนแหวกอากาศดังขึ้น ก่อนที่สมองของเธอจะทันประมวลผล หญิงสาวผมสีฟ้าได้ชักปืนขึ้นมายิงไปที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ
ร่างที่ซ่อนอยู่นั้นสะดุ้งเฮือก เลือดไหลลงมาจากรูที่ปรากฏบนร่างลวงนั้น ก่อนจะกระแทกพื้นด้วยเสียงที่หนักหน่วง
เด็กสาวเบิกตากว้าง ลมหายใจติดขัด นั่นมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป—เธอพึ่งจะพยายามส่งเสียงเตือนแท้ๆ
เธอหันขวับไปมองหญิงสาวคนนั้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ขณะที่อีกฝ่ายลดปืนลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งคำถาม ชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวออกมาจากเงามืด เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพอดี
“ขอโทษ ดูเหมือนว่าไอ้บ้านี่จะมีรีลิคที่ทำให้ตัวเองล่องหน มันคงหลุดจากการเฝ้าระวังมาได้”
เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวออกมาจากเงามืด เขาดูไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
จากนั้น เขาก็เหลือบมองเธอราวกับเพิ่งสังเกตเห็น เธอยังตัวสั่นเล็กน้อยจากแรงกระตุ้นของอะดรีนาลีน
“เธอคงตกใจสินะ” เขาพูดเสียงเรียบ ก่อนจะก้มตัวลง ยื่นบิสกิตกับน้ำให้ “เอานี่ กินซะ จะได้มีแรง”
เด็กสาวมองสิ่งที่ถูกยื่นให้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆรับมา เขาวางบิสกิตลงบนมือเธอเบาๆ ราวกับกลัวว่าเธอจะแตกสลาย มือของเธอยังสั่นอยู่เล็กน้อย
ระหว่างที่เธอพยายามตั้งสติ ชายหนุ่มก็หันไปสนทนากับหญิงสาวผมสีฟ้าแทน
“ตอนนี้เก็บกวาดถึงไหนแล้ว?”
หญิงสาวมองลงไปข้างล่าง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อีกไม่นานก็ใกล้เสร็จแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่าเป็นคำชมหรือหยอกเย้า
“สมกับเป็นจอมเชือด… ยังน่ากลัวเหมือนเดิม”
หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ปรายตามองเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก
ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเสริมขึ้นมา “ก็ยังดีที่เรามีนักเวทย์ที่สามารถลบความทรงจำได้ ไม่งั้นเรื่องพวกนี้คงได้กลายเป็นฝันร้ายของเด็กหลายๆ คนแน่”
เด็กสาวกำบิสกิตแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว คำพูดนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดีอย่างน่าประหลาด… หมายความว่าอะไร? พวกเขาจะลบความทรงจำพวกเรางั้นหรอ?
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่