โพรงหินขนาดมหึมาขยายตัวออกเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงไปในความมืด เสาหินโบราณตั้งเรียงรายตามระเบียงทางเดินสูงต่ำ ราวกับขั้นบันไดแห่งอารยธรรมที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
แต่แทนที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่รกร้าง กลับมีเหล็กกล้าสนิมเขรอะ ปราการคุมขัง และกรงเหล็กที่แขวนห้อยอยู่ตามแนวผนัง บ่งบอกว่ามันได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคุกใต้ดินอันโหดร้าย
และในตอนนี้—มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่เปรอะไปด้วยเลือด
เสียงฝีเท้าก้องสะท้อนจากกำแพงหินขรุขระ ขณะที่เหล่าผู้ช่วยเหลือนำกลุ่มทาสเด็กที่รอดชีวิตฝ่าความเงียบสงัดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เปลวไฟริบหรี่สาดเงาทอดยาวไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกและคราบสีแดงฉาน
"อย่าหันไปมองรอบๆ มุ่งหน้าต่อไป" เสียงกระซิบดังขึ้นเป็นระยะๆจากเหล่าผู้นำทาง
เด็กหลายคนก้มหน้าลง มองเพียงเงาของตัวเองที่ทอดยาวบนพื้นหินเย็นเยียบ แต่ความอยากรู้อยากเห็น และกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่อบอวล ทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองรอบด้าน
ร่างของผู้คุมถูกแขวนคว่ำอยู่กับเสาหิน ศพของพวกเขาถูกแทงทะลุด้วยหอกและดาบ บางร่างถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนบันไดหินที่ทอดยาวลงไปสู่ระดับลึกกว่า เลือดไหลเป็นทางลงไปสู่ความมืดที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
"อึก…!"
เสียงสะอื้นระคนเสียงอาเจียนดังขึ้นจากเด็กคนหนึ่ง ร่างเล็กทรุดลงไปกับพื้นอย่างหมดแรง
จอมเวทย์ในชุดคลุมสีหม่นขยับตัวเข้าไปหา เขาคุกเข่าลงข้างเด็กคนนั้น มือแตะเบาๆบนหน้าผาก เสียงท่องบทเวทย์แผ่วเบาดังขึ้น ทันใดนั้นวงแหวนเวทย์สีฟ้าก็เปล่งประกาย
เปลือกตาของเด็กน้อยค่อยๆปิดลง ร่างกายของเขาคลายความสั่นไหว และจมลงสู่ห้วงนิทรา
"พาเขาขึ้นไปข้างบน" จอมเวทย์กล่าวสั้นๆ
หนึ่งในผู้ช่วยเหลืออุ้มเด็กขึ้นแนบอก ก่อนจะเดินตามกลุ่มที่เหลือไปตามเส้นทางที่ทอดยาวขึ้นสู่เบื้องบนของโพรงหิน
ชายหญิงกลุ่มหนึ่งนั่งรวมตัวกันอยู่บนแท่นหินใกล้ๆ มองภาพที่ของเด็กๆที่ได้รับการช่วยเหลือออกจากคุกใต้ดินด้วยความลำบากใจ บางคนถอนหายใจ บางคนกอดอกแน่นคล้ายครุ่นคิด บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งจะก้าวออกจากเงามืดเข้าใกล้พวกเขา
เรือนผมสีเทาของเขาปล่อยสยายอย่างยุ่งเหยิง ดวงตาสีแดงฉายประกายเย็นชา เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เต็มไปด้วยรอยขาดรุ่ยและคราบเลือด แต่กลับไม่มีบาดแผลให้เห็นเลยสักแห่ง มีเพียงกลิ่นคาวที่ติดอยู่บนตัวราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของเขา
เขาหยิบขวดยาเล็กๆออกจากกระเป๋าอก แล้วยื่นมันคืนให้ชายคนหนึ่งในกลุ่ม
"ผิดแผนไปหน่อย เลยไม่จำเป็นต้องใช้" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ชายที่รับขวดมายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้าเงียบอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถาม
"เพราะเธอเหรอ?"
ชายวัยกลางคนไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาเพียงแค่ยืนเงียบ มองเด็กสาวคนนั้นอยู่นาน ก่อนจะจงใจเปลี่ยนเรื่อง
"พบที่เก็บสมบัติแล้ว" เขาพูดขึ้น พลางกวาดตามองพวกเขาทีละคน "ยังไงก็ตามมาแบ่งกันหน่อย"
สิ้นคำพูดนั้น ชายที่รับขวดยามาเก็บมันเข้ากระเป๋า แล้วลุกขึ้นพร้อมพรรคพวกอีกสองสามคนที่เหลือ
ก่อนที่พวกเขาจะเดินตามไป ชายวัยกลางคนก็หันไปมองหญิงสาวผมสีฟ้าที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของแท่นหิน แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
"ไอลีน เดี๋ยวผมมานะ"
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย
"อืม"
หลังจากพวกเขาเดินจากไป เด็กสาวที่ก้มหน้าเงียบ กำชายเสื้อที่ขาดวิ่นของตัวเองแน่น ร่างเล็กสั่นน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้า ความหวาดกลัว หรือเพราะความตึงเครียดที่เกิดขึ้นสักครู่
"เพราะหนูเหรอ...?"
เสียงพึมพำแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากของเธอ แต่ก็พอให้หญิงสาวผมสีฟ้าที่นั่งอยู่ใกล้ๆได้ยิน เธอหันมามอง ก่อนจะขยับเข้าใกล้เด็กสาวมากขึ้น
"เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ?"
"หนู..." เด็กสาวลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกำมือแน่นกว่าเดิม
"หนูเป็นคนทำให้แผนของเขาพังใช่ไหม?... ถ้าหนูไม่พยายามหนีออกมา พวกคนที่มาช่วย คงไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้..."
หญิงสาวมองใบหน้าของเธอที่หม่นหมองลง ดวงตาของเด็กหญิงสะท้อนความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กสาวช้าๆ
"ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะงั้นมันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เด็กสาวเม้มปากแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างลังเล "...แต่..."
"ไม่ต้องคิดมากหรอก" เธอส่งยิ้มบางๆให้ "สำคัญที่สุดคือตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว เข้าใจไหม?"
เด็กสาวสบตากับเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงพูดต่อ
"เธอมาจากไหน... มีบ้านให้กลับไหม?"
เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มปากแน่น ราวกับกำลังพยายามกลั้นบางอย่างไว้ หลุบตาลงต่ำก่อนจะตอบเสียงเบาหวิว
"หนูไม่รู้..."
เธอขมวดคิ้ว "หมายความว่ายังไง?"
"พวกมันพาหนูข้ามทะเลมาไกลมากๆ... หนูอยู่กับพวกมันมาเป็นปีๆ จนจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเกิดของตัวเองอยู่ที่ไหน... หนูไม่รู้จริงๆว่าตัวเองมาจากที่ไหน..."
น้ำเสียงของเธอสั่นน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรือเพราะความเหนื่อยล้าจากสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงสาวมองเธออย่างเงียบๆ ก่อนจะถามอีกคำถามหนึ่ง
"แล้วบ้านล่ะ? เธอมีบ้านให้กลับไหม?"
เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดริมฝีปากเบาๆ
"ไม่มี...พวกมันเผาทำลายทุกอย่างไปหมดแล้ว..."
เสียงสุดท้ายของเธอสั่นเครือ ก่อนที่ริมฝีปากของเด็กสาวจะเม้มเข้าหากันแน่นขึ้นไปอีก หญิงสาวมองเธอเงียบๆ ไม่มีคำพูดปลอบโยนใดๆ ออกมาทันที
ความเงียบบุกคลุมไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะถอนหายใจ แล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กสาวอย่างแผ่วเบา
"เข้าใจแล้ว..." เธอพึมพำ "เหนื่อยมามากแล้วสินะ?"
เด็กสาวไม่ตอบ แต่เธอพยักหน้าเล็กๆ อย่างช้าๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน ชายผู้มีเรือนผมสีเทากลับมาพร้อมกับถุงขนาดใหญ่เล็กน้อยในมือ
“เสร็จธุระแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังเด็กสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างเธอ
“พวกเราเองก็ควรขึ้นไปด้านบนกันเถอะ”
ทว่าหญิงสาวกลับไม่ขยับ เธอจ้องมองเด็กสาวครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เอ–เรย์นาร์ค ฉันตัดสินใจได้แล้ว”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องอะไร?”
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนกล่าวอย่างหนักแน่น “ฉันจะรับเด็กคนนี้มาดูแลด้วยอีกคน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนพ่นลมหายใจออกทางจมูก คล้ายทั้งประหลาดใจและครุ่นคิด
“เอาจริงเหรอ? แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
ไอลีนพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ฉันมั่นใจ”
เธอหันกลับไปหาเด็กสาวแล้วคุกเข่าลงเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาเท่ากัน “เธอชื่ออะไร?”
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในบ้านเกิดของเธอ ชื่อที่แท้จริงจะมีเพียงครอบครัวเท่านั้นที่รู้ และเธอยังไม่มีชื่อที่สองเลย
แต่แล้วภาพของชายตรงหน้าก็ผุดขึ้นมาในความคิด เขาอาจดูน่ากลัว แต่ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้าก็ชัดเจนจนสัมผัสได้
เขาจะปกป้อง และ ดูแลเธอได้แน่ๆ ถ้าอย่างนั้น……
เด็กสาวคิด เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบาแต่มั่นคง “หนูชื่อ… ไอลีน”
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง “บังเอิญจังนะ พวกเรามีชื่อเหมือนกันเลย”
เธอหันไปทางชายหนุ่ม “ส่วนนี้… เรย์นาร์ค ถึงจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่เขาเป็นคนใจดีนะ”
เรย์นาร์คมองหญิงสาวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะถอนหายใจยาว “เอาเถอะ ถ้าเธอตัดสินใจแล้ว”
เขากวาดตามองเด็กสาวครู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นแม้จะเย็นชาแต่กลับไม่ไร้ความเมตตา “ไปกันเถอะ”
ไอลีน (ตัวจริง) ยื่นมือให้เด็กสาว “ไปกันนะ”
เด็กสาวมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า เธอลังเลไปเพียงชั่วขณะ ก่อนจะตัดสินใจคว้ามือนั้นไว้
และก้าวออกจากอดีตที่เลือนรางไปสู่อนาคตที่จะถูกเขาทอดทิ้งเพราะความล้ำเส้นของเธอ
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่