เสียงนกป่าร้องเบา ๆ ปลุกให้เธอตื่น
แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านเรือนใบไม้เหนือศีรษะ ลำธารยังคงไหลเหมือนเดิม แต่บางอย่าง… กลับหายไปเมิ่งซินลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
กลิ่นของดิน กลิ่นสมุนไพร และไอเย็นจากน้ำยังอยู่ แต่สัมผัสอุ่นที่ควรจะอยู่ข้างกายเธอ… ไม่เหลือแล้วเมิ่งซินลุกขึ้นนั่งทันที
ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากการนอนกลางดินกลางป่าไม่ใช่ประเด็นประเด็นคือ... เขาหายไปแล้ว!เธอกวาดตามองไปรอบบริเวณ
ไม่มีแม้แต่เงาของเขา ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของม้าในระยะไกล “กระดาษโพสต์อิท” ให้ฝากคำลาก็ไม่ทิ้งไว้ ใช่...เขาไปแล้วและทิ้งเธอไว้กลางป่า! คนเดียว! หลังจากที่หนีตายมาด้วยกันและเธอเพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืน!“โอ้ โอ้ โอ๊ย! ให้ตายเถอะ! คนบ้าอะไร… จะไปก็ไม่บอกกันสักคำ...ไอ้นักรบปีศาจเอ๊ย... ฉันอุตส่าหฺดูแลแทบตาย! สุดท้ายกลับทิ้งฉันไว้กลางป่า จะพาไปส่งเข้าเมืองก็ไม่ได้ไร้มารยาทที่สุด”
เธอขบกรามแน่น ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป่ารอบตัว
“ได้! หนีได้ก็หนีไป! อย่าให้เจออีกแล้วกัน ถ้าเจอนะแม่จะสวดให้หูชาเลย...”
เสียงลมหายใจเธอแรงขึ้น ก่อนจะสะบัดหน้า
แต่พอลมหายใจช้าลง…หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นอย่างเงียบงัน“ทำไมฉันต้องโมโหขนาดนี้ด้วยวะ...ทำหยั่งกะถูกแฟนทิ้ง...บ้าไปแล้วแน่ ๆ ”
เธอพึมพำกับตัวเอง
น้ำเสียงอ่อนลง เหลือเพียงความสับสนที่ตีกันในใจเมิ่งซินนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่
ลมหายใจของเธอเบา… แต่แผ่วอย่างหนักอึ้ง หัวใจเหมือนถูกวางทิ้งไว้กลางแสงแดดที่เพิ่งขึ้น—ร้อนรนและว่างเปล่าในเวลาเดียวกันเธอหลับตา…
แล้วเหตุการณ์เมื่อคืนก็ไหลย้อนกลับมาในหัว ราวกับฟิล์มเก่าในห้องฉายเงียบเธอเห็นมือเขาที่ยื่นมารั้งเธอไว้ก่อนตกจากม้า
เห็นดวงตาคมวาบในเงามืด เห็นไหล่กว้างที่บาดเจ็บจากลูกดอก… แต่ยังนั่งนิ่งเพื่อให้เธอฝังเข็มแต่สิ่งที่ติดอยู่ในใจเธอที่สุด… คือแววตาคู่นั้น
แววตาที่จ้องเธอขณะเธอเอื้อมไปจะถอดหน้ากากเขา แววตาที่ทั้งแข็งกร้าว… แต่ก็ซ่อนบางสิ่งที่เธอรู้สึกคุ้นเหลือเกิน“แปลกจริง…”
เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ“ทำไมฉันรู้สึกว่า… ฉันเคยเห็นดวงตาแบบนี้มาก่อน?”ภาพในหัวเธอเริ่มซ้อนทับ
แวบหนึ่งคือฝันตอนยังเด็ก อีกแวบหนึ่ง… เป็นภาพบางอย่างที่เธอเคยฝันซ้ำแล้วซ้ำอีกตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฝันถึงชายในชุดคลุมสีดำที่ยื่นมือมาให้เธอท่ามกลางพายุฝุ่นและเปลวเพลิง แววตา… แบบเดียวกันแต่ไม่ว่าจะคิดยังไง
ภาพก็พร่ามัว เหมือนเสี้ยวความทรงจำที่ถูกล็อกไว้ด้วยกุญแจแห่งเวลา เธอคิดไม่ออก"นายเป็นใครกันแน่...ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเคยรู้จักนายมาก่อน?"เมิ่งซินก้มมองสมุนไพรในมือที่บดจนมือช้ำอีกครั้ง ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมามองดู
“แต่เอ๊ะ...นี่ฉันฝังเข็มให้คนที่หายบาดเจ็บได้จริง ๆ เหรอเนี่ย เหลือเชื่อชะมัด ไม่คิดเลยว่าความรู้จากบรรพบุรุษจะยังใช้ได้สุดยอดไปเลย...เอาล่ะที่นี่ก็ได้เวลาหาทางกลับบ้านแล้ว”
เสียงน้ำยังคงไหล
แต่หัวใจของเมิ่งซิน… เริ่มล่องไปในทิศทางใหม่ ทิศทางที่ไม่มีแผนที่ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีตรรกะ แต่มีเพียงแรงดึงดูดบางอย่างที่กำลังนำพาเธอให้เดินต่อเมิ่งซินเดินฝ่าแนวพุ่มไม้ สองเท้าเหยียบลงบนพื้นชื้นจากน้ำค้าง เสียงน้ำลำธารไหลกระทบโขดหินข้างหน้า เธอเดินตามมันไปอย่างไร้จุดหมาย—เพียงเพื่อหนีจากความเงียบของการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังทันใดนั้น เสียงฝีเท้า เสียงพูดคุยกันอย่างเบาเบา… ดังขึ้นจากอีกฟากลำธาร เธอชะงัก ย่อกายลงอย่างระวัง …กลุ่มคนประมาณห้าหกคนในเสื้อผ้าพื้นเมืองแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังแบกตะกร้าเดินเลียบลำธารเสียงพวกเขาพูดกันเบา ๆ แต่ชัดเจน “ข้าว่าพวกเรารีบกลับหมู่บ้านกันเถอะ เพลานี้พวกข้าศึกออกลาดตะเวนบ่อยขึ้น ถ้าเจอกับพวกมันเข้าจะแย่เอานะ" "เออ...ก็ดีเหมือนกัน หวังใจว่าสมุนไพรพวกนี้คงจะพอรักษาชาวบ้านในหมู่บ้านของพวกเราได้นะ"เสียงนั้น… เป็นภาษาไทย แถมยังเป็นสำเนียงไทยแบบที่เคยได้ยินจากละคร และบทความในงานวิชาการภาษาไทยโบราณ...สำเนียงเหนือ...หรือ…ไทยย้อนยุคที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยฟังรู้เรื่องเลย?ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ—ตอนนี้เธอกลับฟังรู้เรื่องหมดทุกคำ“เดี๋ยวนะ…รู้สึกว่าเมื่อคืนก็พูดกับเขาเป็นภาษาไทย…นี่มันอะไรกันเนี่ย”เธอพึมพำความทรงจำซ้อนทับในหัว ใบหน้าของชายหนุ่มปริศนาในหน้ากากทองดำ คำพูดที่เขาเอ่ยเตือนเธอ ก
เสียงนกป่าร้องเบา ๆ ปลุกให้เธอตื่น แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านเรือนใบไม้เหนือศีรษะ ลำธารยังคงไหลเหมือนเดิม แต่บางอย่าง… กลับหายไปเมิ่งซินลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า กลิ่นของดิน กลิ่นสมุนไพร และไอเย็นจากน้ำยังอยู่ แต่สัมผัสอุ่นที่ควรจะอยู่ข้างกายเธอ… ไม่เหลือแล้วเมิ่งซินลุกขึ้นนั่งทันที ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากการนอนกลางดินกลางป่าไม่ใช่ประเด็นประเด็นคือ... เขาหายไปแล้ว!เธอกวาดตามองไปรอบบริเวณ ไม่มีแม้แต่เงาของเขา ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของม้าในระยะไกล “กระดาษโพสต์อิท” ให้ฝากคำลาก็ไม่ทิ้งไว้ ใช่...เขาไปแล้วและทิ้งเธอไว้กลางป่า! คนเดียว! หลังจากที่หนีตายมาด้วยกันและเธอเพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืน!“โอ้ โอ้ โอ๊ย! ให้ตายเถอะ! คนบ้าอะไร… จะไปก็ไม่บอกกันสักคำ...ไอ้นักรบปีศาจเอ๊ย... ฉันอุตส่าหฺดูแลแทบตาย! สุดท้ายกลับทิ้งฉันไว้กลางป่า จะพาไปส่งเข้าเมืองก็ไม่ได้ไร้มารยาทที่สุด”เธอขบกรามแน่น ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป่ารอบตัว“ได้! หนีได้ก็หนีไป! อย่าให้เจออีกแล้วกัน ถ้าเจอนะแม่จะสวดให้หูชาเลย...”เสียงลมหายใจเธอแรงขึ้น ก่อนจะสะบัดหน้า แต่พอลมหายใจช้าลง…หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นอย่างเงียบงัน“ทำไมฉันต้อ
ลำธารไหลเอื่อยเย็นใต้เงาไม้เสียงแมลงป่าร้องระงมเป็นท่วงทำนองแผ่วเบา ราวกับกล่อมให้ทุกชีวิตผ่อนลมหายใจในแสงจันทร์ที่หล่นลงจากเรือนยอดไม้หญิงสาวชาวจีนผู้หลงเข้ามาในโลกที่ไม่รู้จัก… นั่งคุกเข่าอยู่ข้างชายผู้แบกความลับทั้งตัวตนเมิ่งซิน เปิดห่อผ้าเล็ก ๆ จากกระเป๋าคาดเอวข้างในคือสมุนไพรแห้งจำนวนหนึ่งที่เธอเตรียมไว้เสมอเธอไม่รู้ว่ายังไงถึงรอดมาได้ถึงตรงนี้แต่เธอรู้—ว่าชายตรงหน้า… ไม่ควรต้องตายเพราะเธอ“ถ้าคุณฟังอยู่… อย่าขยับนะ”“พิษจะกระจายเร็วขึ้นถ้าเลือดสูบฉีดแรงเกินไป”น้ำเสียงของเธอสั่น แต่มือทั้งสองนิ่งอย่างน่าประหลาดใจแม้จะไม่เคยรักษาใครกลางป่ามืดแต่ศาสตร์ในการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนก็ฝังรากลึกอยู่ใน DNA ของเธอมาตั้งแต่เกิด เธอบดสมุนไพรด้วยหินริมลำธารเธอก้มลง ค่อย ๆ ทายาลงบนบาดแผลที่บ่าเขานิ้วเรียวของเธอแตะผิวเนื้อเขาด้วยความระมัดระวังผิวร้อนจัดจากพิษ… แต่แผ่นหลังยังนิ่งดั่งภูผา“คนบ้าอะไรตัวเย็นชะมัด...นึกว่าแผ่นหินสะอีก” เมิ่งซินรำพันเบา ๆจากนั้นเธอหยิบชุดเข็มฝังจากกล่องโลหะเล็ก ๆมือเธอสั่นเล็กน้อยขณะเปิดฝากล่อง“หวังว่าพื้นฐานการแพทย์จีนจะยังพอช่วยคุณได้…”ชายหนุ่มที่น
เสียงกีบม้ากระแทกผืนดินดังสนั่น ตัดผ่านพงไพรและกิ่งไม้หนาทึบราวกับพายุโหมม้าหนุ่มพ่นลมหายใจฟืดฟาด ขณะที่ร่างสองร่างแนบแน่นอยู่บนหลังม้าหนึ่งคือเขา—นักรบผู้ไม่เคยรู้จักคำว่า “ถอย”อีกหนึ่งคือเธอ—หญิงสาวจากโลกอีกภพ ที่ยังไม่เข้าใจว่ากำลังตกอยู่ในเรื่องแบบไหนเสียงเป่าหวีดของศัตรูดังไล่หลังมาทุกระยะแสงคบเพลิงเริ่มสว่างขึ้นจากแนวป่าเบื้องหลังพวกมันไล่ทันแล้ว“จับไว้แน่น ๆ!” เขาตะโกนสั้น ห้วน แต่เด็ดขาดเมิ่งซินเกาะแผ่นหลังเขาไว้แน่น ทั้งที่หัวใจเธอกำลังจะกระเด็นออกจากอกแม้ในยามชีวิตแขวนบนเส้นด้าย เธอยังได้กลิ่นเหงื่อและดินบนตัวเขา—แม้ไม่รู้ชื่อเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่เธอรู้… ว่าเขาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอยังมีลมหายใจเสียงธนูฉึก! ปักเข้าที่ต้นไม้ข้างพวกเขาอีกไม่กี่วินาทีคงไม่แม่นยำเท่านี้อีกเขาขบกรามแน่น ก่อนกระชากบังเหียนม้าให้หักเลี้ยวแรง“ไปต่อไม่ได้... ทิ้งม้า!”เขากระโดดลงก่อน แล้วคว้าตัวเธอมากอดไว้ในวงแขนร่างของทั้งคู่ล้มกลิ้งเข้าในพุ่มไม้ข้างลำธารเสียงตะโกนไล่ล่าดังเข้ามาใกล้“เร็ว! พวกมันอยู่แถวนี้!”เขาไม่พูดอะไรอีกเพียงจ้องตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนพาเธอลุกขึ้นแล้ววิ่งฝ่ากอ
เสียงหอบหายใจของผู้คนปะปนกับกลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งไปทั่วลานโล่งกลางป่าลึก คบเพลิงส่องแสงวูบไหวดั่งอัสนีบนท้องฟ้า ในยามที่แสงไฟพลิ้วไหวท่ามกลางความมืด—เงาร่างหนึ่งกลับสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงความกลัวของคนทั้งสิบที่รายล้อมเขาอยู่ดวงตาคมลึกดุจเปลวเพลิงซ่อนแสง เฝ้ามองศัตรูรอบด้านอย่างไม่ไหวเอน ร่างสูงของเขายืนนิ่งในท่วงท่าที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ ในขณะที่แวดล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์นับสิบ มือแต่ละคนถือหอก ดาบ หรือธนูเล็งไว้ไม่ให้พลาดแล้วหนึ่งในศัตรู—ชายผู้ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่ม—ก็แค่นเสียงหัวเราะเยาะออกมา“ตอนนี้เอ็งเหลือเพียงคนเดียว…แต่กลับกล้ายืนอยู่กลางวงเราอย่างไม่สะทกสะท้าน ...หรือว่าชีวิตเอ็งไม่มีค่าเสียแล้วถึงได้ถูกพรรคพวกทิ้งไว้”เขาเดินออกมาข้างหน้า รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปาก“ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย… คุกเข่าแล้วยอมกลับไปกับพวกข้าเสียเถอะแลกชีวิตเจ้ากับคำสารภาพว่าใครส่งเอ็งมา บางทีนายเหนือหัวของข้าอาจจะไว้ชีวิตเอ็ง...”เขากวาดตามองไปยังพวกพ้อง พลางหัวเราะในลำคอเสียงหัวเราะของเหล่าทหารรอบด้านเริ่มดังขึ้น—เย้ยหยัน สะใจ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือแววหวั่นไหวในดวงตา“คำขู่ของพว
ความเงียบงันโอบล้อมทุกสรรพเสียง โลกทั้งใบดูเหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงเดียวที่ยังคงดังก้องอย่างชัดเจน... “ตุบ… ตุบ… ตุบ…” นั่นคือเสียงหัวใจของเธอเอง เธอรู้สึกว่าตอนนี้มันเต้นแรงส่งเสียงชัดเจนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเมิ่งซินลืมตาขึ้นช้า ๆ เปลือกตาหนักราวถูกถ่วงด้วยตะกั่ว เธอกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตา ภาพรอบตัวยังพร่ามัว ราวกับกำลังอยู่ในความฝันที่ยังไม่ตื่นเต็มที่เธอพึมพำเสียงแผ่ว ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า:“...ที่นี่มันที่ไหน…” “ฉัน... ยังอยู่ในป่าหรือเปล่า…” “ทำไมรู้สึกเหมือน... ทุกอย่างผิดที่ผิดเวลา...” “อุปกรณ์ฉันล่ะ... กล้อง สมุด... หายไปไหนหมด...” “หรือว่า...ฟ้าผ่าทำให้ฉันสลบ แล้วใครสักคนพามาทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง...” “ไม่... ไม่มีเหตุผลเลย ไม่มีแม้แต่รอยเท้า ไม่มีแม้แต่เสียงคน... ฉันไม่เชื่อ ต้องมีบางอย่างเล่นตลกกับฉันอยู่แน่ๆสมองฉันยังสั่งงานอยู่ แต่ทุกอย่างรอบตัวมัน—”(เธอหยุด พึมพำเบา ๆ) ...เหมือนภาพจำจากตำราโบราณ… กลิ่นดินเปียก กลิ่นใบไม้ กลิ่นมอสโบราณกระแทกจมูกแรงจนเธอต้องเบี่ยงหน้า มันไม่ใช่กลิ่นในห้องแลบ ไม่ใช่ห้องสมุด มันคือ