“ มินครับ ตื่นมากินข้าวก่อนนะ ” ภวิชนั่งข้างเตียงพยุงคนที่หลับ คนที่แทบไม่รู้สึกตัวให้ลุกขึ้นคนถูกกวนการนอนร้องอื้ออึงผ่านลำคอที่แห้งผาก
“ อือ คนใจร้าย ” เธอพรึมพรำละเมอต่อว่าเขา
“ นี่ขนาดไม่รู้สึกตัวนะ เดี๋ยวพี่ก็ใจร้ายลักหลับซะหรอก ” เขาประครองให้เธอนอนพิงแนบหน้าอกของเขา เขาพยายามจะป้อนข้าวให้ร่างบางพอได้ยินเธอว่าเขาใจร้าย ก็สลดอยู่หรอกนะ แต่ก็ขอโทษแล้วไง คนอุตส่าห์ดูแลยังจะมาต่อว่าเขาอีก
“ ก๊อกๆๆ ” เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ภวิชชะเง้อไปมองเขาใส่เสื้อยืดคอวีสีขาวกับกางเกงสามส่วนสบายๆ คนย่างกายเข้าห้องคือแม่นมเขานั่นเอง
“ แม่นิ่มมีอะไรหรือเปล่าครับ ” เมื่อเห็นเป็นคนคุ้นเคยเขาก็ส่งเสียงถามทักทายก่อนจะหันหน้าไปสนใจป้อนข้าวคนไข้ของเขาต่อ
“ เอ่อ คุณชายค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่มาหาค่ะ ” ภวิชเงยหน้าขึ้นมองแม่นมของเขา พลางสงสัยว่าพ่อกับแม่มาหาเขาทำไมบ้านหลังนี้เขาปลูกไว้เพื่อสะดวกในการเดินทางไปบริษัท พ่อกับแม่แทบไม่เคยมาพักที่นี่ด้วยซ้ำเพราะท่านชอบบรรยากาศทางเหนือมากกว่า
“ ครับ เดี๋ยวผมตามลงไป ”
“ ค่ะ ” เมื่อประตูห้องปิดลงเหลือแค่เขากับมิน ภวิชป้อนข้าวมินตราอีกคำเพราะเธอทำท่ารำคาญเต็มทนแล้วเดี๋ยวเถอะไอ้ท่าทางกระเง้ากระงอดที่ดูทั้งน่ารักน่าแกล้งนั้นทำให้เขาคาดโทษหวังกำไรกับเธอ
“ อืม ฟอด ชื่นใจจัง ” มินตราที่ถูกริมฝีปากหนากดลงบนแก้มนวลทำให้เธอพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก เธอจ้องภวิชแต่ไม่มีคำพูดใดๆ ใช่สิเธอโกรธเขาอยู่ แต่คนหน้ามึนทำเป็นไม่สนใจยักไหล่กลับแล้วหันไปหยิบยาแล้วแก้วน้ำให้คนไข้ที่มีอิทธิต่อจิตใจเขามากขึ้นทุกวัน ก่อนจะหันกลับมาตีหน้านิ่งใส่คนที่พยายามดันตัวเองให้นั่งพิงหัวเตียงมองเขานิ่ง ภวิชบอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกเช่นไร แววตานิ่งๆ ไม่มีคำพูดคำถามใดๆจากปากของเธอ.......จะหุบปากไม่คุยกับเขาได้ก็ให้รู้ไป
“ ตื่นก็ดีแล้ว อ่ะกินยาซะ ” เขาเคาะกระปุ๊กยาลดไข้สองสามครั้งพอให้เม็ดยากระเด็นออกมาสองเม็ดเขาก็ส่งยื่นให้เธอ มินตราเอื้อมมือไปหวังจะหยิบยาในมือเขา
“ อือ อึก ฟึ่บ ” คนเจ้าเล่ห์ดึงมือที่กำยาไว้เข้าหาตัวเมื่อมินตราจะคว้ามันที่ตอนนี้เขาทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะยกแก้วน้ำแล้วกรอกยาเข้าปากตัวเองตามด้วยน้ำที่จะให้เธอ ใบหน้าคมหล่อเหลาไม่เปิดโอกาสให้ได้ถามเขาคว้าต้นคอมินตรา ดันให้แหงนเงยมองหน้ารับสัมผัสการป้อนยาแบบพิเศษด้วยปากของเขา ภวิชป้อนยาให้เธอด้วยปากเขาที่บรรจงเต็มใจบริการอย่างถึงที่สุด และไม่ลืมสำรวจความหอมหวานจากกลีบปากบางของเธอ เขาจูบเธอเนิ่นนานทั้งอ่อนหวานและเรียกร้อง ไม่อยากลงไปพบพ่อกับแม่เลยอยากทำอย่างอื่นมากกว่า.....มินตราหอบหายใจเสียงหายใจที่เริ่มสม่ำเสมอทำให้ภวิชยอมถอนจูบปล่อยออกอย่างเสียดาย
“ หลับไปซะแล้ว ว้า แย่จัง ” เขามองคนสวยที่หลับหนีเขาไป ภวิชเกลี่ยผมที่ปรกหน้าคนสวยของเขา นิ้วหัวแม่มือสัมผัสที่มุมปากเธอที่มีรอยช้ำเพราะเขา ผิดจริงๆไอ้วิชเอ้ยจะง้อเขายังไงว่ะคราวนี้ เล่นไม่พูดอะไรกับเขาเลยตั้งแต่ลืมตามา เล่นสงครามกับเขาด้วยการนิ่งเธอขู่เขาแบบนี้ รู้ไหมว่าเขาหวั่นแค่ไหน
“ อย่างอนพี่นานนักนะมิน พี่อยากกอดมินด้วยรอยยิ้มมากกว่ารู้ไหม ” แม้รู้ว่าพูดออกไปเธอคงไม่ได้ยินเขากระชับกอดแน่นขึ้น กดริมฝีปากหยักหนาลงบนหน้าผากอีกครั้งก่อนจะค่อยๆวางเธอลงแล้วลงไปพบพ่อกับแม่ของเขาเอง
...........เสียงประตูปิดลงเปลือกตาที่ปิดค่อยๆเปิดขึ้น มินตราแอบลอบยิ้มสะใจ เธอปวดหัวตัวร้อนไม่สบายก็จริงแต่ไม่ได้ความจำเสื่อมนี่ที่จำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรกับเธอไว้บ้าง เธอจำมันได้หมดทุกคำ เธอแกล้งคนหื่นไม่เลิกขนาดเธอไม่สบายยังขโมยจูบเธอเลย เธอเลยแกล้งหลับหนีมันซะดื้อๆ
“ คนอะไรหื่นเป็นบ้า! ไม่หายง่ายๆหรอกพี่วิช ฝันไปเถอะ ” มินตราทำหน้าบึ้งๆออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าและรอยยิ้มคนหื่นและบ้าพลังยามทำหน้าทะเล้นใส่เธอ มิหน้าเขาจึงเปรียบเทียบสุภาสิตที่ว่ามารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน แต่รู้ไหมว่าที่ใช้สุภาษิตนี้ก็เพราะว่าตอนนี้เธอคิดสำนวนที่เหมาะสมกันได้แล้ว
........มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนฤาจะเท่า......
........ชายหนุ่มที่เจนสังเวียนเจ้าเล่ห์เช่น.....พี่วิชของเธอ..
“ ไง เจ้าวิช กว่าจะลงมาได้นะ เรา ”
“ ขอโทษที่ให้รอนานครับ คุณพ่อ คุณแม่ แล้วนั่นคุณแม่กำลังมองหาใครหรอครับ ” ภวิชกวาดสายตามองตามแววตาของผู้เป็นแม่ก่อนจะตั้งคำถามเมื่อไม่รู้ว่าท่านหาใครกันแน่
“ แล้วน้องกับเจ้าวัตต์หล่ะวิช ”
“ แล้วนี่พี่ชายตัวดีไม่ได้ไปรายงานตัวกับพ่อแล้วก็แม่ที่ลำปางหรอครับ ส่วนใยวาวก็ไปมหาลัยมั้งครับวันนี้วันพุธนี่นา ” ไม่แปลกที่บ้านหลังนี้ไม่ค่อยมีใครอยู่เพราะภัสสรเองก็มีคอนโดที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยจะได้สะดวกเวลาที่มีกิจกรรม ตอนแรกก็ไม่มีใครอนุญาตด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กของบ้านแต่น้องสาวตัวแสบก็มีข้ออ้างจนทุกคนต้องใจอ่อนจนได้
“ เฮ้อ มีลูกชายก็บ้าแต่งาน คนนึงก็เพิ่งกลับจากต่างประเทศนี่ตาวัตต์หนีแม่กลับมาแม่เจอตัวนะจะตีให้ก้นลายเลยคอยดู ” ภวิชยักไหล่ไม่ยีระกับคำพิพากษาลงโทษของผู้ให้กำเนิด หญิงสูงวัยที่ยังคงมีความสง่างามไม่แพ้สาวแรกรุ่นเลยทีเดียว
ภวิชล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปหย่อนตัวนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับพ่อและแม่ของเขา
“ แม่แกเขากำลังยุ่งๆหน่ะเลยยังไม่ได้คุยอะไรกับเจ้าวัตต์มันมากมาย ส่วนน้องสาวเราช่วงนี้ไม่ค่อยเจอเลยสงสัยกำลังเจอของเล่นหรือสนุกกับอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ” นั่นเป็นนิสัยที่คนเป็นพ่อรู้ดีสำหรับลูกสาวคนเล็กที่มีแต่คนเอาอกเอาใจ เวลาลูกสาวคนเล็กเงียบหายไม่พบหน้าใคร แวบๆ หายๆ นั่นเป็นอาการเวลาเจอของที่ถูกใจหรือเจออะไรที่กำลังสนุกและท้าทาย นักบริหารชั้นแพลตตินัมที่เมื่อต้นปีเพิ่งได้รับรางวัลเกียรติยศมาประดับเสริมบารมีในฐานะนักธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดในอันดับต้นๆ ไม่อยากจะคุยเขาก็มีส่วนนะทำให้รายได้เยอะขนาดนั้น
“ ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่มีอะไรรึเปล่าครับทำไมถึงมาหาผมได้ถึงที่นี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ ”
“ พอดีพ่อพาแม่เขามาดูเครื่องเพชรที่ส่งมาตกแต่งเมื่อเดือนก่อนหน่ะ ไหนๆ ก็ผ่านมาพ่อจะแวะมาหาลูกชายบ้างไม่ได้หรือไง! บ้ะ ไอ้นี่ ” ชายสูงวัยอธิบายถึงสาเหตุที่มาในตอนแรกก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงดุดันในตอนท้ายเป็นอันรู้กันในครอบครัวว่า นี่คือการคุยแบบหนึ่งที่หยอกล้อเล่นกันฉันท์พ่อลูก
“ จริงสิคุณบอกเรื่องที่เราคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นให้ลูกรับรู้หรือยังค่ะ ”
“ นั่นสิ ผมเกือบลืม ”
“ เห็นไหมล่ะ ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องลืม ” หน้าง้ำงอใส่ผู้เป็นสามีก่อนจะหันมาพูดกับลูกชาย
“ เออนี่ ตาวิช แม่ว่าถึงเวลาแล้วหล่ะลูกที่ต้องจัดงานหมั้นสักทีหมั้นตอนเช้าแต่งตอนเย็น ลูกสาวท่านรัฐมนตรีน่าจะกลับมาเมืองไทยแล้วใช่ไหมค่ะคุณ? ” ประโยคสุดท้ายถามสามีเพื่อความแน่ใจ หญิงสูงวัยลืมเรื่องที่ลูกสาวคนเล็กของบ้านเคยเปรยถึงผู้หญิงอีกคนไปเลย เมื่อพูดถึงอนาคตครอบครัวของลูกชายเธออยากอุ้มหลานจะขาดใจอยู่แล้ว
“ อืม พ่อเห็นด้วยกับแม่เขานะ ” ผู้เป็นพ่อสนับสนุนภรรยาสุดที่รักทันที ภวิชเริ่มมีสีหน้ากลัดกลุ้ม เวลาแห่งความสุขมันสั้นอะไรขนาดนี้
“ ขอเวลาผมคิดหน่อยได้ไหมครับ ชีวิตผมทั้งชีวิตนะครับพ่อ นะครับแม่ ” ผู้เป็นพ่อกับแม่เริ่มทำหน้าลำบากใจก็ตลอดเวลาที่บอกว่าลูกชายมีคู่หมั้น ภวิชไม่ได้พูดอะไร แต่คราวนี้ดูลูกชายเขาเริ่มกังวลหรือจะมีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน การพูดคุยกันระหว่างสามคนพ่อแม่ลูกยังดำเนินไปนานพอสมควรกว่าจะสิ้นสุดลง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น บอดี้การ์ดรูปงามกำลังรับสายและสนทนา
“ อืมๆ ฉันรู้ ” เสียงเรียกของสายชลทำให้ทัชที่คุยโทรศัพท์อยู่หันไปมอง
“ ทัช ” สายชลเดินเข้าไปหาเพื่อนที่เพิ่งวางโทรศัพท์ไป
“ ว่าไง ”
“ คุณวิชเรียก สงสัยมีงานให้นายทำ ”
“ อืม ” เมื่อทัชพยักหน้ารับรู้และเดินจากไปสายชลมองตามหลังเพื่อนที่ร่วมทำงานมานานพอตัว จนรู้นิสัยกันไปเสียแล้ว
“ เฮ้อ! ” เขาถอนหายใจหนักๆ
“ กริ๊งๆ ” เสียงโทรศัพท์ของสายชลดังขึ้นชายหนุ่มกดรับสายอย่างสุภาพอาจเป็นงานของเจ้านายก็ได้
“ สวัสดีครับ ”
( สวัสดีค่ะ โทรจากโรงพยาบาล...............นะคะ ดิฉันจะโทรมาแจ้งอาการของผู้ป่วย...ตอนนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ ) การรายงานและรายละเอียดของพยาบาลและข้อมูลของผู้ป่วยทำสายชลจดรายละเอียดทุกอย่างตามความเคยชินที่เป็นเลขาให้กับเจ้านาย สายชลเป็นคนที่สุภาพที่สุด นิ่งที่สุด และจริงจังกับงานทุกอย่างทำให้ภวิชรู้สึกมีทั้งแขนและขาที่สามารถทำให้การทำงานของเขาราบเรียบขึ้น หลังจากวางสายจากโรงพยาบาลสายชลก็นึกถึงคำพูดที่เจ้านายหนุ่มสั่งเขา
“ ทำให้เงียบที่สุด อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเข้าใจไหม....”
“ ครับเจ้านาย ” เขาขับรถออกไปจัดการงานที่ภวิชสั่ง คำสั่งที่ได้รับมันคือสิ่งที่สายชลต้องทำให้สำเร็จ
การมาเยือนของใครบางคนที่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปอยู่ดี
“ ถึงเมืองไทยสักที รฎา เฮ้อ เหนื่อยจะแย่ กว่าจะจบได้ ” สาวร่างสูงโปร่งผิวขาวอมชมพู ตากลมโต ผมยาวตรงถึงเอวคอดกิ่ว สูงสง่าโฉบเฉี่ยว ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตากลมถูกซ่อนไว้ภายใต้แว่นสีชา ชุดเดรสสีแดงสดทำให้ภาพลักษณ์เธอโด่ดเด่นมากกว่าเดิม หายไปนานหลายปีที่ไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นเธอแค่อยากลืมมัน