ตกเย็นฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกสนุกมากจริงๆ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิตเลยที่ฉันทำงานขนาดนี้ เพราะช่วงที่เรียนก็มีทำงานอยู่บ้างแต่ยังไม่ถึงขั้นตั้งใจทำงานแลกเงินแบบนี้
พอก้มมองนาฬิกาในโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ฉันกำลังเดินข้ามถนนมาหาพี่จางหลินอี้ตามที่เขาบอก ตอนมาส่งของรู้สึกว่าพี่เจ้าหน้าที่ให้ฉันขึ้นไปง่ายมากผิดกับตอนนี้ที่เขาแจ้งฉันว่าฉันจะต้องแจ้งเหตุผลในการมาอย่างชัดเจน! แล้วจะให้ฉันบอกว่าอะไร? มาหาประธานของคุณงี้เหรอ? คงไม่มีใครเชื่อเด็กแบบฉันแน่น "งั้นฉันนั่งรอเขาด้านล่างก็ได้ค่ะ" "ถ้าเพื่อนเป็นพนักงานบริษัทนี้ป่านนี้เขาคงกลับไปกันหมดแล้วละ ลองโทรหาเขาสิถ้ามีหลักฐานพี่จะให้ขึ้น" ถึงพี่เจ้าหน้าที่จะบอกแบบนั้นแต่จะให้ฉันโทรหาพี่หลินอี้เพียงเพราะต้องการขึ้นไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง ฉันเลยปฏิเสธแล้วอ้างว่าเพื่อนทำโอทีขอนั่งรอที่โซฟาด้านล่างดีกว่า "เอะ...ลู่จิน ไป๋ลู่จิน" ฉันหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง พอหันไปฉันก็ถึงขั้นต้องกระโดดโลดเต้นเมื่อคนตรงหน้าคือเพื่อนเก่าของฉันที่เคยเรียนด้วยกัน'เหมยลี่' ซึ่งเธอก็ห้อยบัตรพนักงานของบริษัทจางหลินอยู่ที่คอ "เหมยลี่ไม่ได้เจอกันนานเลย คิดถึงจัง" "เหมือนกันแล้วมาทำอะไรที่บริษัทละ? สมัครงานเหรอ" เหมยลี่ถามด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีดพร้อมกับนั่งลงตรงโซฟาเป็นเพื่อนฉัน ฉันมีท่าทีอึกอักนิดหน่อยเพราะฉันไม่เคยบอกใครว่าตัวเองมีคู่หมั้นเป็นตระกูลจางแม้กระทั่งเพื่อนสมัยเรียนที่สนิท "ฉันมารอแกนั่นแหละ พอดีฉันทำงานร้านตรงข้ามแล้วเห็นเธอเลยคิดถึง"ฉันอ้างไปข้างๆ คูๆ เพื่อเอาตัวรอด "โอยน่ารักจังเลย...ว่าแต่แกหายไปไหนมาตอนติดต่อกันก็ไม่เคยบอกว่าย้ายไปไหน"เพื่อนสาวกอดฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะชะงักไปแล้วจ้องหน้าตรงๆ "อะ เอิ่ม คือไปอยู่เมืองไทยมาน่ะเลยเรียนที่นั่นจนจบ" "ไปไม่ลา ไม่คิดจะบอกอะไรเพื่อนแบบฉันเลย"เหมยลี่ทำหน้างอ "โอๆ ตอนนี้กลับมาแล้วไงนี่มานั่งรอแกโดยเฉพาะเลยเซอร์ไพรส์ไหม" "มากกกก ว่าแต่...แกมีแฟนยัง"อยู่ๆ เหมยลี่ก็ถามขึ้นมาทำเอาฉันถึงขั้นไปไม่เป็นเลย จะบอกเธอว่ายังไงดีละมีคู่หมั้นที่ไม่ได้อยากมีอยู่คนหนึ่ง แถมเขาเป็นเจ้านายเธอสะด้วยงั้นเหรอ "เอิ่ม" "คงยังไม่มีใช่ไหมล่ะ งั้นวันนี้ไปเที่ยวกัน ฉันมีนั่นบอร์ดกลุ่ม" "ห๊า! วันนี้เหรอ" "น๊าาาา ไหนแกว่าจะมาง้อฉันไงไปนัดบอร์ดเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ"เหมยลี่กอดแขนฉันก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ พอกำลังจะอาปากปฏิเสธเจ้าตัวก็ทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับจะโกรธ "แต่ว่า ฉัน...บ้านไกล" "นอนกับฉันแล้วกันนะ ยังไงก็ทำงานแถวนี้นี่พรุ่งนี้เราก็มาด้วยกัน"เพื่อนสาวพูดพร้อมแจกแจงจนฉันไม่สามารถพูดอะไรได้ ฉันเลยได้แต่ตอบตกลงแล้วส่งข้อความบอกพี่หลินอี้ล่วงหน้า ก่อนจะยอมกลับบ้านไปกับเหมยลี่เพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปนัดบอร์ดเป็นเพื่อนเธอ นี่อาจจะดีแล้วก็ได้...ถ้าข้างห้องพักของเหมยลี่มีห้องว่างจะได้เก็บเงินย้ายมาอยู่กับเธอเสียเลย .... : บริษัทจางหลิน ชายหนุ่มมองนาฬิกาด้วยความตกใจตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว นี่เขาทำงานเพลินจนมืดแล้วงั้นเหรอ พอคิดได้ว่าตอนนี้มืดแล้วก็นึกไปถึงหญิงสาวที่เขาได้นัดไว้เมื่อตอนเย็นด้วยความร้อนใจ "ทำไมดึกแล้วยังไม่มา หรือไม่อ่านข้อความฉันอีก" ใบหน้าหล่อเหลากำลังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดด้วยความกังวล หลินอี้บ่นพึมพำก่อนจะหันไปจับโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะส่งข้อความตามไป๋ลู่จินแต่ดูเหมือนเธอจะส่งข้อความมาแล้วตั้งแต่ช่วงเย็น 'พี่หลินอี้ วันนี้ฉันเจอเพื่อนเราจะไปปาร์ตี้กันแล้วฉันจะพักที่ห้องเธอค่ะ' "เหอะ เห็นฉันเป็นอะไรกันเนี่ยลู่จิน! อยากจะไปไหนก็ไปงั้นเหรอ?" หลินอี้พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาเจ้าของข้อความทันที มือข้างหนึ่งก็เคาะโต๊ะรัวเพื่อข่มอารมณ์ให้ตัวเองใจเย็นลง (ฮัลโหล.@/6;฿&) "อยู่ไหน..."หลินอี้กดเสียงลงต่ำทันทีเมื่อได้ยินว่าปลายสายตอนนี้มีเสียงเพลงดังกระหึ่มแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ เขาถามแบบนั้นออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าหญิงสาวปลายสายกำลังเที่ยวสนุกอยู่ในสถานบันเทิง (ไม่ได้ยินเลย ;894@.) "ไป๋ลู่จิน!" ร่างกายของหลินอี้อยู่ไม่เป็นสุข เขาลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้องอย่างกังวลจนคิ้วสวยขมวดเข้าหากันเป็นปมระหว่างรอเสียงจากปลายสายที่ค่อยๆ สงบลง ตอนนี้ลู่จินเธอคงกำลังหาที่เงียบๆ เพื่อคุยกับเขา แต่เจ้าตัวก็รอแทบไม่ไหวจนถึงกับต้องยกมือขึ้นมากอดอกแน่นเลยทีเดียว (โอเค๊~ เงียบลงหน่อยเนอะ~) "อยู่ไหน! แล้วทำไมเสียงเป็นอย่างนั้น!" หลินอี้ร้อนใจเมื่อเสียงปลายสายดูเหมือนจะพูดด้วยน้ำเสียงรากยาวและออดอ้อนกว่าปกติ พอได้ยินแบบนี้เขารู้ทันทีว่าปลายสายคงเมาแล้ว แถมน้ำเสียงของเธอตอนนี้มันช่างฟังดูเชิญชวนชอบกล (ใจเย็นน๊าคุณผู้ชายย ฉันมาเที่ยวค่ะ) "กับใคร แล้วที่บอกจะไปนอนที่อื่นคือที่ไหน!!?" (อ่ออออ เพื่อนไง ถามเยอะจัง) "เธออยู่ที่ไหนไป๋ลู่จิน ส่งโลเคชั่นมาเดี๋ยวนี้!!" (ต้องทำด้วยเหรอ...) หลินอี้ได้แต่สูญหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดอารมณ์ความโมโหแต่พอรู้ตัวอีกทีมือเจ้ากรรมก็หยิบหมอนอิงที่โซฟาออกมาปาลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์เป็นที่เรียบร้อย เขากลัวว่าตอนเมาลู่จินจะถูกผู้ชายหิ้วไปน่ะสิเพราะหน้าตาเธอก็ไม่ใช่จะธรรมดาและยังชอบแต่งตัวเปิดเนื้อหนัง มันง่ายมากที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น แถมตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเธอไปกับเพื่อนคนไหนอีกด้วยแล้วแบบนี้จะให้เขากลับบ้านไปนอนได้ยังไง "ถ้าเธอไม่ส่งมาตอนนี้ฉันจะทำทุกอย่างให้ฉันเจอเธอ...และเมื่อไหร่ที่เจอเราจะไม่คุยกันดีแบบนี้แน่ๆ" เสียงทุ้มต่ำเชิงขู่ของหลินอี้ทำให้ลู่จินถึงกับเงียบไปก่อนที่โทรศัพท์ของเขาจะมีข้อความแจ้งเตือน มันเป็นโลเคชั่นของหญิงสาวปลายสายและเมื่อเขาได้รู้ที่อยู่ของเธอก็รีบคว้ากุญแจรถคันหรูเพื่อไปรับเธอทันที (พอใจแล้วใช่ไหม...ดังนั้นอย่าดุฉัน) เสียงปลายสายอ่อนลงแต่ยังคงยืดยาวเพราะความมึนเมา "กลัวฉันดุก็ไม่ควรไปตั้งแต่แรก รออยู่ที่นั่นฉันจะไปรับ" เขาพูดไปพร้อมกับสาวเท้ายาวๆ ไปด้วย ก่อนจะตัดสายแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งทันทีเพราะในใจตอนนี้มันร้อนรนไปหมด แถมในสมองของเขาก็กลัวไปสารพัด ตอนนี้เขาขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ปกครองของเธอแต่กลับปล่อยปละละเลยจนเธอหนีไปเที่ยวเสียได้"ฉันชอบรอยยิ้มของเธอที่สุด ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น"เสียงของมู่อี๋เฉินเบาราวกับลมถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวในดวงใจเดินออกจากร้านไปจนลับตา กว่าเขาจะทำใจมาแสดงละครกับเธอในวันนี้ได้ก็เล่นเอาหนักใจไม่น้อย...เพราะเขาเองก็ชอบเธอมาก คนที่เป็นพลังบวกให้คนรอบข้างอย่างลู่จินเขาไม่อยากจะเสียเธอไปเพียงเพราะคบกันไม่ได้ เขาจึงจำยอมจะต้องลดความรู้สึกตัวเองลงเพื่อให้ตัวเองยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม"สวัสดี"มู่อี๋เฉินเอ่ยทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามานั่งแทนที่ของลู่จินที่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน จริงๆ เขาเห็นหลินอี้แอบมองมาตั้งแต่ตอนที่ลู่จินนั่งรออยู่ตรงนี้แล้ว การที่หลินอี้ทนเก็บความหึงได้ขนาดนั้นคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแน่"เรื่องของลู่จิน..."หลินอี้เอ่ยเปิดประเด็นด้วยเสียงนิ่ง"ไม่ต้องห่วง ผมขอกลับไปเป็นเพื่อนกับเธอ"มู่อี๋เฉินเอ่ยแทรกประโยคของหลินอี้ เขารู้ดีว่าใบหน้าตึงเครียดนั้นคงคิดว่าเขาจะมาตามเซ้าซี้ลู่จินจนกังวลใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคนตรงหน้าได้คำตอบที่ชัดเจนจากเขาคิ้วที่ถูกผูกโบเป็นปมก่อนหน้าก็ค่อยๆ คลายออกราวกับโล่งใจ"ทำไมตอนนี้ถึงยอมแพ้"หลินอี้พูดโดยที่ห
: บริษัทจางหลิน: ลู่จิน ฉันถูกปู่ไล่กลับมาช่วยงานที่บริษัทกับพี่หลินอี้หลังจากที่เราอยู่เฝ้าปู่กันถึงสามวันติด ทำให้ตอนนี้งานที่บริษัทยุ่งเหยิงไปหมด และฉันเชื่อว่าพี่หลินอี้จะไม่เหนื่อยขนาดนี้เลยถ้าตอนอยู่อเมริกาเขาหัดรับสายเลขาเสียบ้าง "พี่หลินอี้มีอะไรให้หนูช่วยไหม"ฉันถามขึ้นด้วยความเบื่อเหนื่อยเมื่อเล่นเกมจนชนะไปทุกด่านแล้ว นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันเข้าไปแล้วพี่หลินอี้ก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารและแก้เอกสารอยู่ที่เดิมไม่ขยับ "ไม่มีครับ เบื่อเหรอ?"พี่หลินอี้วางปากกาพร้อมหันมามองสบตาฉันผ่านแว่นตาใส ภาพของเขาตอนนี้มันช่างหล่อเหลาจนสามารถสะกดให้ฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยจริงๆ"ก็...เบื่อสิคะ หางานให้ทำหน่อย"ฉันพูดอ้อนก่อนจะเดินตรงไปกอดคอแฟนหนุ่มของตัวเองไว้หลวมๆ เป็นการเอาใจ ตอนนี้บอกตามตรงฉันไม่รู้จะทำอะไรแก้เบื่อแล้ว "อยากทำอะไรละ? ให้พี่กินหนูฆ่าเวลาดีไหม"คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยหอมที่แก้มฉันเสียงดัง ฟอด ตั้งแต่คบกันมาเขาก็เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อยเลยแถมยังไม่เคยจะเลือกที่อีกต่างหากเรียกได้ว่าว่างเป็นเอาเปรียบไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน"คิดแต่เรื่องลามก!""ก็เห็นครางสะเพรา
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ลู่จินก็ยังคงนั่งมองไปนอกหน้าต่างนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดมากมาย จนหลินอี้ที่เอนตัวทำงานอยู่บนเตียงข้างกันถึงกับต้องเก็บงานแล้วขยับตัวเข้าไปโอบเมียสาวไว้ก่อนจะเกยคางลงบนบ่าเล็กอย่างเอาใจ เขารู้ว่าเธอคงคิดมากเรื่องคุณปู่ไม่น้อยอีกทั้งเธอยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแผนการของท่านเท่านั้น ไม่แปลกที่เธอจะกังวลอันที่จริงการผ่าตัดของปู่ลู่จินผ่านไปได้ด้วยดี เนื้องอกส่วนนั้นถูกตัดได้อย่างปลอดภัย จะเหลือเพียงแค่รอให้แผลฟื้นตัวดีขึ้นก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ อีกทั้งการตรวจสุขภาพครั้งใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"คิดมากเรื่องคุณปู่เหรอ""คิดถึงช่วงเวลาที่ทำให้ครอบครัวหนักใจค่ะ""หมายถึง?""ที่หนูหนีไปทุกคนคงเป็นห่วงมาก...ตอนนั้นหนูโกรธจนไม่ติดต่อใครเลยแต่สุดท้ายทางบ้านก็ยังส่งคนตามหาและตามดูแลห่างๆ""ท่านคงห่วง...""แต่หนูก็ทำเป็นไม่รู้ใช้ชีวิตของตัวเองไป หางานทำเลี้ยงตัวเอง เที่ยวกับเพื่อนทุกวัน...ยังดีที่งานพิเศษรายได้ดีหนูเลยไม่ต้องติดต่อขอเงินทางบ้าน แต่การที่หนูไม่ติดต่อมันก็ทำให้หนูพลาดไปหลายอย่าง..."เสียงลู่จินอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนหลินอี้ต้
ร่างสวยยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยวีไอพีโดยที่มีมือหนาของหลินอี้คอยจับที่บ่าไว้ตลอด ทั้งที่ตลอดการเดินทางมาลู่จินทำใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะเข้มแข็ง แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยเห็นคุณปู่ป่วยจนนอนโรงพยาบาลมาก่อน บอกตามตรงมันทำให้เธอรู้สึกหน่วงที่ใจจนเจ็บ"ไม่เป็นไรนะลู่จิน คุณปู่แค่อ่อนเพลียจากการผ่าตัด"หลินอี้ยังคงปลอบใจแฟนสาว ทำให้ลู่จินมีแรงใจขึ้นมาแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอย่างสงบ ก่อนที่สายตาสวยของเธอจะมองสำรวจไปทั่วห้องสีขาวแล้วมาหยุดที่ร่างชายสูงวัยบนเตียงผู้ป่วย ร่างนั้นเต็มไปด้วยสายออกซิเจนและสายยางมากมายถูกเชื่อมเข้ากับตัวที่ยังคงนอนนิ่งภาพที่เห็นทำเอาลู่จินถึงกับจุกอกจนน้ำตาไหลเธอได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปหาท่านช้าๆ โดยไม่สนคำทักทายของพ่อและแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนที่จะวางมือเล็กลงบนมือที่ทั้งขาวซีดและเหี่ยวแห้งตามกาลเวลานั้น "ลู่จินลูกเพิ่งมาถึงทำไมไม่ไปพักก่อนละลูก"แม่ของลู่จินเดินเข้ามาลูบเข้าที่ผมลูกสาวเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นลู่จินก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เธอเอาแต่มองใบหน้าชายสูงวัยที่กำลังนอนหลับนิ่งพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"ลู่จิน ตอนนี้คุณปู่เพิ่งได้รับยานอนหลับไปไม่ต้องคิดมาก”
หลังจากลงไปส่งแม่ขึ้นรถไปที่สนามบินเสร็จ หลินอี้ก็รีบขึ้นมาเก็บของเพื่อจะไปรับลู่จินและเตรียมใจจะบอกเธอเรื่องอาการป่วยของคุณปู่ ทั้งที่ในใจก็กำลังกังวลเรื่องความรู้สึกของลู่จินเขากลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่เขาคิดว่าในเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะคบหากันอย่างจริงจังแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ไม่ควรปิดบังเธอเพียงไม่นานเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่จอดรถของกองถ่ายก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลู่จินกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทอย่างสะอึกสะอื้น จนหลินอี้ตกใจรีบจอดรถทิ้งไว้กลางทางแบบนั้นก่อนจะตรงเข้าไปโอบไหล่เธอไว้เพื่อปลอบขวัญ"เกิดอะไรขึ้น หนูเป็นอะไร"เขาถามอย่างร้อนใจในขณะที่มือก็ลูบไปตามเนื้อตัวของเมียสาวฟืบ !ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะโผล่กอดหลินอี้แน่นจนเขารับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นของหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาใส ก่อนเธอจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้หนัก"คุณปู่ไม่สบายเหรอ?""รู้แล้วเหรอ?"หลินอี้ถามแฟนสาวเบาๆ เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้เขาซึ่งมันก็แสดงประวัติการโทรเข้าเป็นเบอร์ของคุณน้าแม่ของลู่จิน"แม่โทรมา บอกว่า อึกๆ ที่หายไปเพราะคุณปู่ไม่สบาย"เธอเงยหน้ามองสบตาแฟนหนุ่มด้ว
หลายวันต่อมาหลินอี้ยังคงทำงานตามปกติส่วนลู่จินแฟนสาวคนสวยวันนี้เธอขอไปออกกองเพื่อไปช่วยงานร้าน ซึ่งชายหนุ่มก็กำชับแฟนสาวอย่างเคร่งครัดว่าอย่าเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาจีบและอยู่ให้ห่างจากมู่อี๋เฉิน ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์งานเสร็จเขาจะรีบตรงไปรับเธอ"ประธานครับ""มีอะไรซูเฟีย ถ้าให้เซ็นเอกสารต่อไม่เอาแล้วนะ ฉันต้องไปรับลู่จิน"หลินอี้ตอบเลขาหนุ่มทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทำให้ซูเฟียหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่ยืนสง่าอยู่ด้านหลังซึ่งเธอก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาออกจากห้องนี้ไปก่อน ส่วนเธอก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามลูกชายตัวดีก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยเคาะเบาๆ ที่โต๊ะเพื่อเรียกความสนใจของหลินอี้ให้เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อหลินอี้ได้เงยตามองขึ้นมาก็ถึงกับนิ่งไปด้วยความแปลกใจ เพราะเดิมทีความสัมพันธ์ของเขาและพ่อแม่ค่อนข้างห่างเหินทำให้การได้พบกันระหว่างเขาและครอบครัวส่วนมากจะเกิดขึ้นทางธุรกิจ แต่ใช่ว่าเขาจะน้อยใจ...เขาเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจมันยุ่งและวุ่นวายมากขนาดไหน"มาได้ยังไงครับแม่ ไม่เห็นบอกก่อนเลย"หลินอี้ยิ้มให้คนเป็นแม่อย่างอบอุ่น