@คอนโดนับดาว
นับดาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรงทันทีที่มาถึงคอนโดที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ ทว่าเธอหลับตาลงได้ไม่ทิ้งห้านาทีก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจกับเสียงโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังขึ้นระรัว รีบเอื้อมมือไปหยิบมาดูปรากฏว่าเป็นเบอร์ส้มจึงกดรับสาย (เห็นข่าวตัวเองรึยังนับ ตอนนี้เต็มโซเชียลไปหมด แล้วแกก็อธิบายมาด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมในข่าวถึงแกถึงย่องจดทะเบียนสมรสกับคุณติณณภัทร) ทันทีที่เธอกดรับปลายสายก็พ่นคำพูดใส่จนไฟแลบ ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เธอตกใจเท่ากับประโยคที่เพื่อนสาวบอกในที่สุดเรื่องของเธอกับติณณภัทรก็เป็นข่าวจนได้ เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนตอบเพื่อนสาวไป "แกมาหาฉันที่คอนโดสิ เดี๋ยวจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง" (โอเคฉันจะรีบไป) ว่าจบปลายสายก็วางไป นับดาวจึงรีบเปิดเฟสบุ๊คเพื่อดูข่าวของตัวเองซึ่งมันเป็นไปตามที่เพื่อนสาวบอกไม่มีผิด หน้าฝืดเต็มไปด้วยข่าวของเธอกับติณณภัทรที่คนนับพันต่างพากันแชร์ รีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาข่าวด้วยความอยากรู้ว่างานนี้นักข่าวจะตีสีใส่ไข่ไปมากแค่ไหนเป็นประเด็นร้อนแรงอีกแล้วนะคะสำหรับนางแบบสาวคนดังอย่าง 'นับดาว พรนับพัน จิระกาญ' ที่ย่องไปจดทะเบียนสมรสแบบเงียบ ๆ กับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างคุณ 'ติณณภัทร อัครสกุล' แต่ที่ร้อนแรงกว่านั้นคือมีคนวงในกระซิบมาว่านางแบบสาวคนดังไปแย่งคู่หมั้นของพี่สาวมานี่สิคะ ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่างานนี้ชาวเน็ตคงต้องสวมบทโคนันตามสืบกันแล้วละคะว่าจะจริงหรือเท็จ ทันทีที่อ่านข่าวจบนับดาวถึงกับกำหมัดแน่นมันไม่ใช่แค่เรื่องเธอจดทะเบียนสมรสกับติณณภัทร แต่ยังเกี่ยวกับเรื่องนีรนุชด้วยซึ่งปาปารัสซี่ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้แน่ ๆ หากไม่มีคนในบ้านของเธอ หรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานเป็นคนเอาออกมาบอก ตอนนี้เธอสงสัยอยู่สองคนคือนีรนุชกับแม่เลี้ยงใจยักษ์เพราะดูมีเหตุจูงใจที่สุดแล้ว และดูเหมือนตอนนี้กระแสสังคมจะโจมตีเธอหนักมากมีคอมเมนท์ด้านลบเต็มไปหมด ที่ผ่านมาเธอมีแต่ข่าวในด้านที่ไม่ดีพอมีเรื่องแบบนี้คนส่วนใหญ่ก็ตัดสินไปเองแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งเธอก็ไม่เถียงเพราะเรื่องนี้คือความจริง แต่สิ่งที่เธอต้องทำคือหาตัวคนปล่อยข่าวให้ได้ เธอพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ก่อนจะกดปิดหน้าจอโทรศัพท์วางลงที่เดิม จากนั้นก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อนสายตา แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็ต้องปรือตาอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ เมื่อหยิบมาดูเป็นเบอร์ของติณณภัทรนั่นเองเธอจึงกดรับสายพอจะเดาได้ว่าเขาโทรมาทำไม "คิดถึงเมียหรอกคะคุณสามี" รู้ทั้งรู้ว่าเขาโทรมาด้วยเรื่องอะไร แต่เธอก็มิวายพูดกวนประสาทอีก (คุณเป็นคนปล่อยข่าวใช่ไหมนับดาว) ปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นบ่งบอกได้ว่าเขาโกรธมากแค่ไหน "คุณคิดว่าฉันจะโง่ปล่อยข่าวให้คนด่าตัวเองรึไง อยากรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวก็สืบเอาสิพ่อคูณ หากคุณมีหลักฐานว่าฉันเป็นคนทำ ฉันจะยอมหย่าให้เลยเอาไหม" นับดาวก็ไม่ยอมเช่นกันตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วน แถมยังกล้าท้าทายอีกในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนทำจะกลัวทำไม ดีเสียอีกให้เขาเป็นคนสืบหากเป็นแบบที่เธอคิดเขาจะได้ตาสว่างสักทีว่าคนสองแม่ลูกนั่นไม่ได้แสนดีอย่างที่คิด (ก็ไม่แน่ คนอย่างเธอมันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วนิเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ) แต่เหมือนปลายสายจะฟังหูสายทะลุหูขวายังมีหน้ามาว่าเธออีก เป็นแบบนี้ก็สุดแล้วแต่เถอะ "ก็แล้วแต่จะคิด ฉันไม่มีเวลามานั่งอธิบายกับคนใจแคบแบบคุณหรอก" ว่าจบก็กดวางสายทันทีให้รอให้ปลายสายพูดอะไรต่อ "เชิญโง่ให้สองคนแม่ลูกนั่นหลอกต่อไปเถอะ" เธอบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มดับอารมณ์คุกรุ่นในกาย แกร็ก! ระหว่างนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามานับดาวไม่ต้องออกไปดูก็รู้แล้วว่าเป็นส้มเพื่อนสนิทเพราะมีเธอคนเดียวที่รู้รหัสห้องนี้ ไม่ทันขาดคำเสียงของเพื่อนสาวก็ดังโวยวายขึ้น "ยัยนับอยู่ไหนมาคุยกันให้รู้เรื่องเลย" แต่ผิดคาดนิดหน่อนเมื่อเดินออกมาดูยังห้องนั่งเล่นปรากฏว่าแบงค์มาด้วย แถมตอนนี้ทั้งสองก็มองมาทีเธอราวกับจะเขมือบหัวยังไงยังงั้น งานนี้เธอคงต้องนั่งตอบคำถามทั้งสองยาว ๆ แล้วล่ะ "ว่ามาฉันกับไอ้แบงค์รอฟังอยู่" ส้มยิงคำถามทันทีที่นับดาวหย่อนก้นนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม "ข่าวนั่นเป็นจริงทุกอย่าง ฉันไม่มีอะไรจะปฏิเสธ" นับดาวลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนยอมรับไปตามตรง ไม่คิดแก้ตัวใด ๆ เธอทำจริงก็ต้องยอมรับต่อให้เพื่อนทั้งสองจะมองเธอเปลี่ยนไปก็ตาม "พวกแกจะว่าฉันเลว ฉันก็ยอมรับ" คำตอบจากปากนับดาวทำเอาส้มกับแบงค์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ หันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่าง ซึ่งทั้งสองจักนิสัยนับดาวดีว่าเธอไม่มีทางทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน บางทีเบื้องลึกเบื้องหลังอาจมีอะไรมากกว่าที่เห็นทั้งสองเชื่อแบบนั้น ยิ่งเรื่องจดทะเบียนยิ่งแล้วใหญ่เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่านับดาวขยาดผู้ชายขนาดที่ป่าวประกาศว่าชาตินี้จะไม่ขอแต่งงาน หรือยุ่งเกี่ยวกับผู้ชาย "เรื่องนี้มันมีอะไรมากกว่าที่เห็นใช่ไหม" ส้มมองหน้าถามอย่างคาดคั้น ซึ่งนับดาวก็ไม่คิดจะปิดบังเพราะยังไงเรื่องมันก็แดงขึ้นมาขนาดนี้แล้ว จึงตัดสินใจเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นจนจบ "ทำไมแกทำแบบนี้ว่ะนับ" ฟังเพื่อนสาวเล่าจบแบงค์ก็อดโกรธไม่ได้จริง ๆ เพราะทั้งเขา และส้มเคยเตือนไปแล้วว่าให้หยุดเรื่องที่คิดจะเอาคืนสองคนแม่ลูกนั่น แต่เพื่อนสาวก็ไม่ฟังสุดท้ายเป็นไงล่ะให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตน "เห็นไหมว่าผลมันออกมาเป็นยังไง" "ใช่นับ แล้วทำไมแกถึงไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับพวกฉันสักคำ" ส้มเอ่ยเสริมมองหน้าเพื่อนสาวอย่างตัดพ้อ "ถ้าฉันบอกพวกแกก็จะห้ามไม่ให้ฉันทำ และในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วฉันก็ต้องยอมรับ แล้วเดินหน้าต่อ" "ที่พวกฉันห้ามเพราะรัก และหวังดีกับแกนะ" ส้มเอ่ย "ฉันรู้ว่าพวกแกรัก และหวังดีกับฉัน แต่ฉันไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้จริง ๆ จนกว่าสองคนแม่ลูกนั่นจะได้รับกรรม" "สรุปแกยังจะเดินหน้าเอาคืนสองคนแม่ลูกนั่นต่อ ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม" ส้มถามย้ำให้แน่ใจว่าเธอเข้าใจไม่ผิดเพราะดูจากสายตาอาฆาต และใบหน้าจริงจังแล้วเพื่อนสาวคงไม่ล้มเลิกเรื่องนี้แน่ "ใช่" "งั้นตามใจแกก็แล้วกัน แต่ทำอะไรก็นึกถึงผลเสียที่ตามมาด้วย ยังไงฉันกับแบงค์ก็อยู่ข้างแกเสมอ" สุดท้ายส้มก็ต้องร่วมลงเรือลำเดียวกับเพื่อนสาว เพราะความรัก และความผูกพันธ์ที่มีต่อกันถึงแม้จะไม่เห็นด้วยสักเท่าไรก็ตาม สำหรับคนอื่นนับดาวอาจจะเป็นคนแรง ๆ นิสัยไม่ดี แต่ในฐานะเพื่อนนับดาวคือเพื่อนที่ดีที่สุด และนับดาวก็ไม่ได้ร้ายแบบไม่มีเหตุผลเธอเชื่อว่าเพื่อนสาวต้องเจออะไรมามากมายแน่ถึงได้จงเกลียดจงชังสองแม่ลูกนั่นขนาดนี้ ส่วนแบงค์เองก็คิดแบบนี้เพราะเคยได้ยินเรื่องปัญหาภายในครอบครัวจากนับดาวมามากพอสมควร "ขอบคุณพวกแกมากนะ ที่ยังยืนข้างฉันเสมอแม้ว่าฉันจะนิสัยไม่ดีก็ตาม" นับดาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมารู้สึกซึ้งใจในความรักของเพื่อน ๆ ที่เธอสัมผัสมาได้ตลอด ก่อนจะลุกเดินเข้าไปสวมกอดทั้งสองหลวม "ฉันรักพวกแกนะ" "ฉันก็รักแก ยัยนับดาวนิสัยไม่ดี" ส้มเอ่ยแกล้มหยอกล้อพลางสวมกอดตอบอย่างแนบแน่นส่งผ่านความรู้สึกให้เพื่อนสาว "ฉันก็รักแกนะ" แบงค์ก็ไม่ยอมน้อยหน้าบอกรักออกไปเสียงหนักแน่น และมันแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เกินคำว่าเพื่อน ใช่เขาไม่ได้รู้สึกกับนับดาวแค่เพื่อน แต่เขาแอบรักนับดาวมานานแล้วตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ทว่าเพราะมีคำว่าเพื่อนค้ำคออยู่บวกกับนับดาวเคยพูดเสมอว่าชาตินี้จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับผู้ชายในเชิงชู้สาวเขาจึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ กลัวว่าบอกไปความสัมพันธ์อันดีนี้จะจบลง เรื่องที่ได้รับรู้ในวันนี้ทำให้เขาเจ็บไม่น้อยแต่จะทำยังไงได้ล่ะนอกจากทำใจเพราะแสดงอะไรออกไปไม่ได้มาก "แล้วแกจะเอายังไงต่อตั้งแต่เกิดเรื่องคนที่เคยดีลงานกับเราพากันทยอยยกเลิกงานไปหมดเลย ไหนจะคอมเมนท์ด้านลบอีก ชาวเน็ตเมาท์กันสนุกปากเลย" ส้มเอ่ยขึ้นหลังจากผละกอดเพื่อนสาวแล้ว พลางล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาเปิดดูข่าว "ปล่อยไปเถอะ เดี๋ยวนานไปข่าวก็เงียบเองแหละ" นับดาวเอ่ยอย่างไม่ใส่มากนัก เธอทน และก้าวผ่านความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวดจากคำก่นด่า และการกระทำรุนแรงของบิดามาได้เพราะฉะนั้นคำพูดของชาวเน็ต หรือใคร ๆ ก็ไม่สามารถกระทบกระเทือนต่อมความรู้สึกของเธอได้อีกแล้ว อีกอย่างเธอก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาบ่อยจนชินตั้งแต่เข้าวงการนางแบบมา "มันต้องอย่างนี้สิ" ส้มยกยิ้มออกมาอย่างพอใจกับความเข้มแข็งของเพื่อนสาวตอนแรกพอเห็นคอมเมนท์แรง ๆ ในเน็ตเธอก็อดกังวลไม่ได้ แต่เพื่อนสาวเข้มแข็งกว่าที่เธอคิดจริง ๆ "แล้วเรื่องงานล่ะ ไม่มีงานแกะเอาอะไรกิน" "ฉันมีเงินเก็บอยู่ไม่ต้องห่วงหรอก นั่งกินนอนกินได้อีกเป็นปี" นับดาวเอ่ยติดตลก แต่ที่เธอพูดคือความจริงเพราะตลอดเวลาที่ทำงานเธอจะแยกเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้เผื่อยามฉุกเฉิน ทว่านั่นมันก็เป็นแค่คำพูดทำให้เพื่อนสบายใจเพราะความจริงแล้วเธอมีทางได้เงินใช้โดยไม่ต้องควักของตัวเองสักบาท หนำซ้ำงานนี้ยังสามารถทำให้สองแม่ลูกนั่นอิจฉาตาร้อนจนนั่งไม่ติดเลยล่ะอยากสร้างเรื่องให้เธอดีนัก กระเป๋าเงินที่ว่าก็คือติณณภัทรยังไงล่ะในเมื่อเขาเป็นสามีเธอแล้ว เธอก็ต้องใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าหน่อยสิ "หากไม่พอเอาที่เราก่อนได้นะ" แบงค์เอ่ยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย "ได้ ฉันจะเอาจากแกให้หมดตัวเลย" นับดาวตอบกลับติดตลก ทั้งสามนั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ จนค่ำส้มกับแบงค์จึงกลับไป นับดาวถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ แล้วเข้านอนเพราะพรุ่งนี้มีเรื่องให้ทำอีกมากมายโดยเฉพาะต้องไปหาพ่อแม่ของติณณภัทร แม้เธอจะจดทะเบียนสมรสกับเขาเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่เธอก็ควรเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองสักหน่อย ถึงไม่รู้ว่าทั้งสองจะต้อนรับเธอหรือไม่ ที่สำคัญคือไปหาสามีสุดที่เกลียดอย่างติณณภัทรบอกเลยงานนี้เธอจะทำให้เขาเห่าเป็นหมาให้ได้ทำท่ารังเกียจเธอดีนักนับดาวให้กำเนิดบุตรสาวในวันเกิดของตัวเองพอดิบพอดีเพียงแต่คนละเวลากันเท่านั้น วันเกิดเธอปีนี้จึงกลายเป็นสุขสันต์วันคลอดแทนทุกคนต่างปลื้มปิติ โดยเฉพาะติณณภัทรวินาทีที่ได้เห็นหน้าบุตรสาวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่"ได้เจอกันสักทีนะลูกสาวพ่อ" ก้มจูบบนฝ่าเท้าน้อย ๆ ของบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างพินิศ คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยเพราะทุกส่วนบนใบหน้าบุตรสาวเหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิด แทบไม่มีส่วนไหนที่ได้เขามาเลยมันน่าน้อยใจชะมัด"นับคุณดูสิลูกลำเอียงชะมัดเลย คิ้วก็เอาของแม่มา ตาก็เอาของแม่มา จมูกก็เอาของแม่มา ปากก็เอาของแม่มาไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผมเลย อุตส่าห์ทำแทบตาย" เขาแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับเมียสาวทีเล่นทีจริงทำเอาทุกคนอดยิ้มตามไม่ได้"แสดงว่าลูกรักแม่มากกว่าพ่อไงคะ" นับดาวตอบกลับยิ้ม ๆ อีกคนหาได้ยอมน้อยหน้าไม่เอ่ยประกาศเสียงกร้าว เชิดหน้าขึ้นอย่างมาดหมาย "แบบนี้ยอมไม่ได้นะ ลูกคนต่อไปต้องเหมือนผมแล้วแหละ"คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกระลอกหนึ่ง คงจะมีแต่แบงค์ที่ต้องกลำกลืนฝืนทนมองภาพทั้งสองหยอกล้อกันทั้งที่ในใจมันชอกช้ำอย่างหนัก ส้มซึ่งรู้ดีทำได
แสงแดดสีทองยามสี่โมงเย็นตกกระทบผิวน้ำทะเลสีเขียวมรกตทอประกายระยิบระยับ สายลมเอื่อย ๆ พัดโชยพากลิ่นอายทะเลลอยตลบอบอวลทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย"อากาศดีจังเลยค่ะ นานแล้วสิที่ไม่ได้พักผ่อนแบบนี้" นับดาวหันบอกกล่าวกับร่างสูงที่เดินเคียงข้าง จับมือพากันเดินเลียบไปตามแนวชายหาดด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาเที่ยวทะเล และดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ต้องขอบคุณผู้ชายข้าง ๆ ที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนสิ้นเชิงทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเลเธอจะมาเพราะต้องการแก้เบื่อแก้เซ็ง มาด้วยอารมณ์โดดเดี่ยว แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความสุขจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้"ใช่ครับ" ติณณภัทรระบายยิ้มตอบเขาเองก็ไม่ได้เที่ยวแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน ได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้กับคนที่รักจึงมีความสุขไม่น้อย "ได้มาพักผ่อนกับคนที่รักมันดีกว่าคนเดียวเป็นไหน ๆ เลยว่าไหม""ใช่ค่ะ นับไม่เคยรู้เลยว่าการมีความรัก มีครอบครัวมันดีขนาดนี้ต้องขอบคุณคุณนะคะที่เข้ามาในชีวิตของนับ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยมาจากก้นบึ้งของหัวใจ"ผมก็ขอบคุณคุณเช่นกันที่เข้ามา
วันต่อมาหลังจากเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปวันนี้ติณณภัทรจึงตั้งใจพานับดาวไปทำบุญ และไหว้แม่ของเธอ"จะไปไหนกันฮึสองคนนี้" อรอินเอ่ยทักบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนจะออกไปไหนกัน"ผมกับนับจะไปทำบุญกันครับ" ติณณภัทรตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันมองหน้าเมียสาวพร้อมยื่นมือไปกอบกุมมือเรียวไว้หลวม ๆ นับดาวส่งยิ้มหวานให้คนเป็นสามีบาง ๆ "ก็ดีเหมือนกันนะจะได้เป็นมงคลให้กับชีวิต แม่ขอให้ชีวิตคู่หลังจากนี้ของลูกทั้งสองพบแต่ความสุขนะ" อรอินเห็นดีเห็นงามด้วย และก็อวยพรให้เด็กทั้งสองพบเจอแต่ความสุขในชีวิตคู่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มามากมาย"พ่อก็ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขมาก ๆ นะ จะเป็นพ่อแม่คนแล้วทำอะไรก็นึกถึงจิตใจกันและกันให้มาก ๆ อย่าเอาอารมณ์เข้าว่า อย่าละเลยความรู้สึกกัน รักและดูแลกันให้เหมือนวันแรกที่รักกัน ความสม่ำเสมอและเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคู่มาก พ่อหวังว่าลูกทั้งสองคนจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขไปจนแก่จนเฒ่า" พิภพอวยพรเด็กทั้งสองต่อหลังจากภรรยาเอ่ยจบ และไม่ลืมจะให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตคู่กับทั้งสองด้วย"ขอบคุณคุ
นับดาวกำแหวนในมือแน่น แล้วเดินกลับไปยังห้องชายหนุ่มอีกครั้ง คาดว่าตอนนี้เขาคงขึ้นมาจากชั้นล่างแล้ว ยืนรวบรวมความกล้าข่มความตื่นเต้นอยู่หน้าห้องนานนับนาที ก่อนค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเสียงเปิดประตูทำให้ติณณภัทรที่ทำท่าจะตามหาหญิงสาวหลังจากเข้ามาในห้องแล้วไม่พบเธอรีบหันไปมอง ครั้นเห็นคนตัวเล็กก็รีบเดินเข้าไปถามไถ่ "ไปไหนมาฮึ""ฉันมีอะไรจะมอบให้คุณค่ะ" นับดาวไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่กลับจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วจัดการเอาแหวนที่กำไว้บรรจงสวมบนนิ้วนางของเขา "คุณมอบแหวนแต่งงานให้ฉันแล้ว ถึงคราวฉันมอบแหวนแต่งงานให้คุณบ้างแล้ว แหวนวงนี้แทนความรักจากฉันนะคะ""นะ..นี่มันอะไรกัน เธอความทรงจำกับมาแล้วเหรอ" ติณณภัทรถึงกับประมวลผลไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกในตอนนี้คือทั้งดีใจ สับสนงุนงง และไม่เข้าใจ ดวงตาคมกริบปริ่มไปด้วยน้ำสีใสจ้องมองใบหน้าสวยเชิงตั้งคำถาม "ฉันรักคุณนะคะ" นับดาวตอบคำถามของเขาแทนด้วยการบอกความรู้สึกออกไปพร้อมกับก้มจูบหลังมือของเขา ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปคล้องลำคอแกร่งเอาไว้หลวม ๆ แล้วเขย่งเท้าขึ้นประทับริมฝีปากจูบริมฝีปากหนาติณณภัทรไม่ได้ปฏิเสธถึงแม้ตอนนี้จะยั
หลังจากนับดาวฟื้นขึ้นมาหมอก็ให้นอนดูอาการอีกสองวันจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะร่างกาย และผลการสแกนสมองปกติดีทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เธอจำอะไรไม่ได้หมอประเมินว่าอาจเป็นอาการความทรงจำหายไปชั่วคราว อีกไม่นานความทรงจำน่าจะกลับมาเหมือนหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา"บ้านของเราจำได้ไหม" ติณณภัทรเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อรถจอดลงหน้าบ้านอัครกุลสิ้นเสียงทุ้มนับดาวก็ทอดสายตามองเข้าบ้านหลังใหญ่โตตรงหน้า คิ้วสวยขมวดเป็นปมคล้ายกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย"ฉันจำไม่ได้เลย" เปล่งเสียงตอบด้วยใบหน้าเศร้า แววตาหม่นหมองจนติณณภัทรต้องรีบรั้งเธอมากอดใช้มือลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม "จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็จำได้เองไม่ต้องรีบร้อน""ค่ะ""เข้าบ้านกันดีกว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงรออยู่ ท่านดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าเธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว" "ค่ะ" คนที่อิงแอบหน้ากับไหล่กว้างพยักรับ แล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวโต ซึ่งติณณภัทรก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมาเปิดประตูให้เธอ"เชิญครับ" บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยื่นมือไปให้เธอจับ อีกคนยื่นมือไปวางบนมือหนาแล้วพาตัวลุกจากรถโดยไม่ลืมจะเอ่ยขอบคุณคนตัวโต "ขอบคุณนะคะ
วันต่อมาวันนี้ติณณภัทรตั้งใจว่าจะสวมแหวนแต่งงานให้นับดาวถึงแม้เธอจะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม เขาโทรไปยังร้านดอกไม้สั่งให้ทางร้านจัดช่อดอกกุหลาบสีแดงซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชอบจำนวนหนึ่งร้อยดอก แล้วให้นำมาส่งที่โรงพยาบาลหลังจากได้รับช่อดอกไม้เขาก็นำมันไปวางข้างเตียงหญิงสาว เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองใบหน้าสวยอย่างสื่อความหมาย "ฉันเอาดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ตื่นมาดูสิสวยมากเลยนะ และวันนี้ฉันก็มีบางอย่างจะให้เธอด้วยนะ"เขาว่าแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนล้วงกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออกแล้วหยิบแหวนมาถือไว้ "แหวนวงนี้เป็นแหวนที่ฉันตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเป็นแหวนแต่งงานสำหรับเธอเลยนะ หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นเธอจะชอบมันนะ"ว่าจบก็จับมือด้านซ้ายของเธอมาบรรจงสวมแหวนเพชรลงบนนิ้วนาง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนหลังมือนิ่มแช่ค้างไว้แบบนั้นและในจังหวะนั้นเองนิ้วเรียวทั้งห้าก็ขยับขึ้นเบา ๆ ทำให้ติณณภัทรต้องรีบผละดูให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง และใช่นิ้วของเธอขยับจริง ๆ เขาค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าสวยด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยลุ้น และตื่นเต้นกับอะไรเท่านี้มาก่อนเลย"