วันต่อมาเหม่ยอิงที่ได้พักและรู้สึกว่าอาการปวดหัวดีขึ้นแล้วเธอจึงตื่นตั้งแต่เช้า บรรยากาศภายในคฤหาสน์ตระกูลไท่ช่วงเช้านี้เหม่ยอิงพอจะเห็นลูกน้องของสามีเดินผ่านไปมากันประปราย ตอนแรกเธอคิดจะนั่งอ่านประวัติครอบครัวของตัวเองที่เหวินเจิ้งมอบให้ภายในห้องนั่งเล่น แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ
ขาเรียวก้าวไปถึงสวนในบริเวณคฤหาสน์ของสามี ยามเช้ามันดูร่มเย็นเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนโดยไม่มีคนอื่นมารบกวน พลันสายตาก็เห็นเก้าอี้ไม้ยาวซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ เหม่ยอิงเคลื่อนตัวลงนั่งทันที ดวงตากลมโตกระพริบเชื่องช้าในขณะที่กวาดสายตามองรอบ ๆ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เธอตื่นเช้าขนาดนี้ ไม่แปลกนักหากจะเพิ่งได้รู้ว่าคฤหาสน์ตระกูลไท่มีสวนที่น่านั่งเช่นนี้อยู่ด้วย “คุณเหม่ย คุณหนูเหม่ย” หากแต่เพิ่งได้นั่งไม่นานก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเพราะเสียงเรียกชื่อของตนเอง เหม่ยอิงไม่ได้ขานตอบกระทั่งสาวใช้ที่เรียกหาเธอเดินเข้ามาใกล้ “มีอะไร” เสียงหวานเอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมอง เหม่ยอิงค่อย ๆ เปิดซองสีน้ำตาลแล้วหยิบกระดาษข้อมูลด้านในขึ้นมาเตรียมอ่าน “ไม่ได้นะคะคุณหนู สวนนี้คุณท่านไม่ค่อยให้ใครเข้ามา หากคุณท่านทราบ…” เธอเว้นประโยคไว้แค่นั้น ก่อนพูดต่อ “ให้ฉันเตรียมน้ำชากับของว่างให้แล้วเปลี่ยนไปห้องนั่งเล่นดีไหมคะ” พลันจบประโยคนั้นแล้วคนฟังถึงกับช้อนตาขึ้นมอง เหม่ยอิงเลิกคิ้วเชิงสงสัย “เหวินเจิ้งน่ะหรือหวงที่นี่?” เธอทวนถาม หลันค้อมศีรษะลง พยักหน้าต่อคำถามนั้น “งั้นหรือ” แล้วเธอก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เป็นเพราะสีหน้าแสนสนุกของนายหญิง ดูก็รู้ว่าจงใจจะหาเรื่องให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองเป็นแน่ “กลับเข้าไปด้านในกันเถอะนะคะ หากคุณท่านลงมา...” “แบบนั้นคงจะแย่แน่ ๆ เลย จริงไหม?” สาวใช้นามหลันชะงักพลันมองเสี้ยวใบหน้าแสนงดงามของคุณหนูเหม่ยอิง ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยตอบเนิบนาบหากแต่ชวนให้คนฟังหน้าร้อนผ่าว ท่วงท่ากิริยาดูทรงเสน่ห์ ยิ่งตอนที่เหม่ยอิงหันมาวาดรอยยิ้มกดลึกให้กันก็ยิ่งกักเก็บสีหน้าตัวเองได้ไม่ไหว เธอชื่นชอบนายหญิงผู้นี้ตั้งแต่เรื่องที่ชงชาวันนั้นแล้ว การโต้กลับไม่ใช่สไตล์นางร้ายที่ตนเคยได้ยินข่าวลือมา ไม่ได้โวยวายหรือใช้น้ำเสียงแหลมหูชวนรำคาญ ทว่าคุณหนูเหม่ยตัวจริงนั้นมีใบหน้างดงามและเรือนร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียด น้ำเสียงก็ชวนให้คนฟังเคลิบเคลิ้ม “ฉันจะกลับเข้าไปตอนที่เหวินเจิ้งตื่น เขาคงไม่ทันรู้ว่าฉันนั่งอยู่ที่นี่” เหม่ยอิงพูดต่อแล้วหันกลับมาสนใจเอกสารในมืออีกครั้ง เธอคิดว่ารอยยิ้มเมื่อกี้คงทำให้หลันยอมใจอ่อนได้ หางตาเห็นว่าเธอดูเหมือนอยากห้ามอีกรอบแต่ก็สุดท้ายก็ยอมละความตั้งใจ “งั้นฉันจะชงชามาให้นะคะ” “ขอบใจนะ” สีหน้าแดงก่ำของหลันตกอยู่ในสายตาเหม่ยอิงทั้งหมด ครั้นเมื่อเธอคนนั้นเดินออกไปแล้วเหม่ยอิงจึงถอนหายใจแผ่วเบา อุตส่าห์เจอที่ดี ๆ ทั้งทีก็ดันเข้ามานั่งเล่นดั่งใจนึกไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ยอมหยุดคิดเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วมาตั้งใจอ่านข้อมูลของครอบครัวตัวเอง ตระกูลจ้าวทำงานด้านอสังหาฯเหมือนที่สามีเธอทำ ผู้นำตระกูลหรือป๊าของเธอมีนามว่าจ้าวหวังฝู เคยขึ้นอันดับเป็นตระกูลใหญ่ในจีน หากแต่อยู่ค้ำฟ้าได้ไม่กี่ปีก็กำลังจะล้มละลายเพราะบริหารผิดพลาด แม้หนี้ท่วมหัวหากแต่ยังปิดบังทุกอย่างกับลูกสาวคนเดียวของเขาไว้ ในประวัติที่เหวินเจิ้งให้กันมามีเขียนกระทั่งว่าหวังฝูตามใจลูกสาวมากกว่าใคร และไม่ยอมให้เธอแต่งงานแม้ว่าจะมีสัญญากับตระกูลไท่ของเหวินเจิ้งก็ตาม แต่สุดท้ายด้วยภาระบริษัทและภาระลูกน้องที่แบกไว้บนบ่า หวังฝูไม่สามารถดูแลบริษัทต่อได้กระทั่งต้องขายทอดในตลาดหุ้น หากแต่ว่ากันว่าใครซื้อก็ไม่คุ้ม ไม่มีพันธมิตรบริษัทไหนยื่นมือมาช่วยยกเว้นตระกูลไท่ หวังฝูไม่มีทางเลือก เขารับความช่วยเหลือกระทั่งพอจะยืนขึ้นมาได้บ้าง สุดท้ายทั้งด้วยสัญญาก่อนหน้านี้และความช่วยเหลืออันมีบุญคุณ ทำให้หวังฝูยอมจัดงานแต่งให้ลูกสาวในที่สุด เหม่ยอิงอ่านมาถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเหวินเจิ้งถึงปิดเรื่องที่เธอความจำเสื่อมเอาไว้ คงเพราะถ้าหวังฝูรู้เข้าจะต้องมีปัญหามากมายเกิดขึ้นแน่นอน “...” เหม่ยอิงปิดหน้ากระดาษลงเพราะรู้สึกเริ่มปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย เธอหันไปยกแก้วน้ำชาที่สาวใช้เอามาให้แล้วจิบเงียบ ๆ อีกฝั่งหนึ่งทางผู้นำตระกูลไท่ เขาตื่นนอนและอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มือหนาหยิบนาฬิกาเรือนหรูสวมไว้ที่ข้อมือเป็นอย่างสุดท้าย พลันดวงตาสีสวยตวัดหันมองลูกน้องที่มีอาการแปลกจนสังเกตได้ง่าย “มีอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถาม จงเซ่อที่ได้ยินพลันสะดุ้งก่อนจะปฏิเสธว่าไม่ได้มีอะไร แต่คิดว่าเหวินเจิ้งจะเชื่องั้นหรือ? “เหม่ยอิงทำอะไรอีก?” คราวนี้สีหน้าบอดี้การ์ดคนสนิทยิ่งดูแตกตื่นจนเห็นได้ชัด เหวินเจิ้งถอนหายใจเล็กน้อย งานอดิเรกภรรยาเขาคือสร้างเรื่องสร้างราวไม่เว้นวันหรืออย่างไรกัน? “จงเซ่อ” “เอ่อ...คือว่าคุณหนูเหม่ยเธอเข้าไปนั่งเล่นในสวนครับ” เพียงแค่นั้นก็ทำให้ประมุขตระกูลไท่ขมวดคิ้วหงุดหงิด ขายาวก้าวออกจากห้องแล้วลงมาชั้นล่าง พลันดวงตาก็สบเข้ากับคนที่เดินกลับเข้ามาพอดี “คุณเหวิน” เหม่ยอิงเอ่ยเรียก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อยแล้วทำทีเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคดีที่เธอกลับเข้ามาได้ทัน “ไปไหนมา” เหวินเจิ้งถาม แม้รู้เต็มอกแต่ก็ยังแกล้งทดสอบภรรยา ซึ่งเหม่ยอิงที่โดนถามเช่นนั้นถึงกับชะงัก “เปล่านี่คะ คุณเห็นฉันไปไหนล่ะ” คำตอบแสนพยศเล่นเอาคนในบริเวณที่ได้ยินถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หวังว่าคงไม่มีสงครามเกิดขึ้นกลางโถงทางเดินตั้งแต่เช้าหรอกใช่ไหม? “ไม่บอกก็ไม่บอก บ่ายเบี่ยงให้ได้ทุกรอบแล้วกันนะเหม่ยอิง” สุรเสียงทุ้มแสนเย็นเฉียบ แม้ว่าจะทำให้เหม่ยอิงรู้สึกหวั่นในใจแค่ไหนแต่ใบหน้าของเธอก็ยังเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเหมือนเคย มื้อเช้าวันนี้ของสามีภรรยาตระกูลไท่ช่างน่ากระอักกระอ่วน ทำให้เหม่ยอิงทานได้ไม่ค่อยเยอะ และเมื่อเสร็จจากมื้อเช้าแล้วแทนที่เหวินเจิ้งจะไปบริษัทเหมือนทุกที วันนี้เขากลับย้ายตัวเองไปนั่งที่ห้องทำงานของเขาชั้นล่างกับงานกองโต “คุณเหวินไม่เข้าบริษัทเหรอ” ความสงสัยผลักให้เหม่ยอิงเข้าไปถามจงเซ่อในที่สุด เขาหันกลับมาพยักหน้าให้นายหญิง “ใช่ครับ วันนี้คุณท่านจะประชุมออนไลน์กับคู่ค้าที่ต่างประเทศ ท่านเลยให้ผมเอางานกลับมาเมื่อวานนี้” เหม่ยอิงขานรับในลำคอเมื่อฟังจบ เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเหวินเจิ้งในตอนที่เขาทำงาน “วันนี้ผมก็ช่วยงานคุณท่านอยู่แถวนี้ หากคุณหนูเหม่ยอยากได้อะไรก็เรียกผมได้นะครับ” ใบหน้างดงามวาดรอยยิ้มให้ลูกน้องสามีเมื่อได้ฟังเช่นนั้น เหม่ยอิงรู้สึกสนิทใจกับจงเซ่อมากที่สุด ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับนั้นเป็นผลให้คนมองยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ใครได้มาเห็นใบหน้าคุณหนูเหม่ยระยะนี้ก็ต้องอ่อนระทวยกันทั้งนั้น “ขอบคุณนะ ถ้างั้น...” “จงเซ่อ” หากแต่บทสนทนาระหว่างกันจำต้องถูกชะงักเพราะเสียงขัดของไท่เหวินเจิ้ง ใบหน้าดุดันยามนี้ฉายความหงุดหงิดให้ได้เห็นอย่างเปิดเผย “ครับคุณเหวิน” เหม่ยอิงมองตามหลังของจงเซ่อไป แล้วเธอก็สบสายตากับเหวินเจิ้งที่มองอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเป็นเอกลักษณ์จดจ้องทางภรรยาอย่างไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่ หงุดหงิดอะไรของเขาอีก? คนตัวบางคร้านจะใส่ใจจึงย้ายตัวเองไปที่ห้องนั่งเล่น เหม่ยอิงไม่มีอะไรทำจึงแค่นั่งอ่านประวัติของครอบครัวตัวเองไปเรื่อย ๆ กระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง ที่หน้าห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงคนมาใหม่ “เอกสารเพิ่มเติมให้คุณเหวินค่ะ” เป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังหยุดพูดกับลูกน้องของเหวินเจิ้ง เหม่ยอิงลอบสำรวจเธอคนนั้นซึ่งอยู่ในชุดสูทสีสุภาพ ผมยาวตรงและถือเอกสารมาเต็มมือ “อ้าว ขอบคุณครับคุณลี่ถิง” จงเซ่อที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องกล่าวขึ้น ซึ่งเธอคนนี้มีชื่อว่าลี่ถิง เป็นผู้ช่วยเลขาคนหนึ่งของเหวินเจิ้ง เธอเป็นคนทำงานได้ดีจึงได้รับความไว้ใจและสนิทกับจงเซ่อพอสมควร “ระหว่างรอเอกสารจากคุณท่าน ไปนั่งทานน้ำชาก่อนแล้วกันครับ” จงเซ่อพูด แต่เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเพราะลืมไปเสียได้ว่าห้องนั่งเล่นที่ว่านั้นนายหญิงตนเองใช้อยู่ “งั้นเราไปใช้ห้องทางนู้น...” “จะดื่มน้ำชาใช่ไหม เข้ามาสิ” คำพูดถูกแทรกขึ้นเพราะเหม่ยอิงได้ยินบทสนทนานั้น ลี่ถิงซึ่งเพิ่งได้เจอภรรยาเจ้านายอีกครั้งในรอบเกือบสองเดือนถึงกับชะงักไป “สะ สวัสดีค่ะคุณหนูเหม่ย” “สวัสดีค่ะ” เหม่ยอิงตอบรับอย่างเป็นมิตร เธอเพิ่งจะได้เจอพนักงานที่เป็นผู้หญิงบ้างก็เลยอดที่จะดีใจเสียไม่ได้ “ไม่ได้พบกันนานนะคะ สบายดีหรือเปล่าคะ” ลี่ถิงไถ่ถาม ถึงจะอึดอัดแต่เพราะคนตรงหน้าคือคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงเธอจึงต้องปฏิบัติตัวเช่นนั้น หากพูดอะไรผิดหูหรือขัดใจเข้ามีหวังคงโดนไล่ตะเพิดก่อนได้รับเอกสารเป็นแน่ “ก่อนหน้านี้ก็สับสนอยู่ค่ะ แต่ตอนนี้สงบใจขึ้นเยอะแล้ว” คนได้ฟังคำตอบถึงกับขมวดคิ้วสงสัย คุณหนูเหม่ยอิงสับสนเรื่องอะไรกัน? “ช่างเถอะ นั่งก่อนสิคะ” อีกเรื่องที่ลี่ถิงนึกแปลกใจคือคุณหนูเหม่ยเป็นคนพูดเพราะตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ก่อนหน้านี้แค่จะมีบทสนทนาร่วมกับเธอนับว่าเป็นสิ่งที่ยากเย็น “ฉันพอจะได้ยินข่าวมาว่าคุณหนูเหม่ยไม่ค่อยสบายก็เลยหายจากหน้าสื่อไป อาการดีขึ้นแล้วหรือคะ?” “อืม ไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ ขอบคุณที่ถามนะ” แก้วชาในมือชะงักไปครั้นได้ฟังคำตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้างามของภรรยาคุณไท่เหวิน ลี่ถิงถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ? ระหว่างที่รอเอกสาร บรรยากาศระหว่างเธอและเหม่ยอิงก็มีแต่ความเงียบ แม้มีเรื่องสงสัยเต็มหัวแต่ลี่ถิงก็ถามไม่ได้ เธอจึงทำแค่สำรวจท่าทีของอีกคนก็แค่นั้น ไม่ใช่คำพูดที่แปลกไปอย่างเดียว ดูเหมือนว่าบรรยากาศรอบกายคุณหนูเหม่ยก็ต่างไปจากเดิม ดูไม่เหมือนก่อนหน้านี้ “ลี่ถิง” เหม่ยอิงลองเรียก ซึ่งพบว่าผู้ช่วยเลขาของสามีเธอนั้นสะดุ้งตัวโยน เป็นคำตอบกลาย ๆ ให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ก็คงกลัวเธอเช่นเดียวกัน “คะ?” ลี่ถิงร้องถาม สีหน้าดูเจื่อนลง “น้ำชาถูกปากหรือเปล่า” “ดี…ดีค่ะคุณหนูเหม่ย” เหม่ยอิงลอบหัวเราะ ก่อนจะบอกให้อีกคนคลายความเกร็งลง ซึ่งยิ่งพูดก็ดูเหมือนลี่ถิงยิ่งนั่งตัวแข็งขึ้น “หรือว่าอึดอัดใจที่ต้องนั่งกับฉันรึเปล่าคะ?” คราวนี้เหม่ยอิงเริ่มถามเสียงอ่อน ใบหน้างามหงอยลงเล็กน้อย “เปล่าค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย” ครั้นได้ฟังคำตอบก็ลอบยิ้ม เหม่ยอิงขยับเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะส่งมือนุ่มของตัวเองไปแตะแผ่นหลังเธอคนนั้นเบา ๆ “งั้นก็อย่าเกร็งไหล่ขนาดนั้นเลย นั่งดื่มชาให้อร่อยดีกว่านะคะ” ลี่ถิงเม้มริมฝีแน่น เสียงหวานกับใบหน้าสวยหยดทำให้เธอมือสั่นใจสั่น อยากพูดกับคนที่เคยบอกให้เธอระวังคุณหนูเหม่ยคนนี้เอาไว้ หมายถึงระวังอย่างไรเธอเพิ่งเข้าใจในวันนี้! ทั้งคู่นั่งคุยกันต่ออีกสักพัก มีบ้างที่ลี่ถิงจะขัดเขินจนตอบคำถามได้ตะกุกตะกัก แต่เหม่ยอิงก็ยังคงวาดรอยยิ้มให้อย่างใจดี จนกระทั่งเสียงขออนุญาตดังขึ้น ละความสนใจให้ทั้งคู่หันไปมอง สาวใช้เข้ามาแจ้งว่าเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว “งั้นไว้คุยกันอีกนะลี่ถิง” “ได้ค่ะคุณหนูเหม่ย ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ” ร่างบางพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้างพอรู้ว่าสามารถเป็นมิตรกับลูกน้องคนหนึ่งของเหวินเจิ้งได้ หลังจากลี่ถิงกลับไปแล้วเหม่ยอิงก็นั่งอ่านเอกสารต่อในห้องนั่งเล่นจนถึงค่ำ เหวินเจิ้งเสร็จจากงานก็ดึกพอสมควร เขายืดตัวขึ้นระบายความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานมาทั้งวัน ตอนนี้ที่คฤหาสน์ไม่ได้มีใครอยู่แล้ว ร่างสูงเดินออกจากห้องทำงานเพื่อจะไปอาบน้ำที่ห้องตัวเอง ครั้นเดินผ่านที่ห้องนั่งเล่นก็ต้องชะงักไปเสียก่อน ภาพของจ้าวเหม่ยอิงที่นอนหลับตาพริ้มกอดเอกสารไว้ที่อก เธอเอนหนุนหมอนอิงใบเล็กแล้วเหมือนจะเผลอหลับไปดูท่าทางแล้วนอนไม่สบายตัวเลยสักนิด “...” เหวินเจิ้งเดินเข้าไปใกล้ พิจารณาใบหน้าเย่อหยิ่งนั้นครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับ ไม่คิดจะปลุกภรรยาแม้แต่น้อย เขาขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับลงมาที่ห้องครัวเพื่อจะหาอะไรกิน แต่พอเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็ยังเห็นภรรยาตัวเองยังคงหลับอยู่ “จะขี้เซาไปถึงไหน” เสียงทุ้มบ่น ทั้ง ๆ ที่เขาอาบน้ำเกือบชั่วโมงแต่ดูเหมือนเหม่ยอิงจะนอนอยู่ท่าเดิมเลยด้วยซ้ำ เหวินเจิ้งไม่อยากจะไปวุ่นวายเท่าไรนัก แต่ก็ทนเห็นภาพนั้นไม่ได้อยู่ดี หากเธอเป็นหวัดเพราะอากาศหนาวขึ้นมาคงต้องได้ไปนอนที่โรงพยาบาลอีกครั้งเป็นแน่ “เหม่ยอิง” “...” “จ้าวเหม่ยอิง” ไร้การตอบรับจากคนที่หลับอยู่ เหวินเจิ้งถอนหายใจ พยายามเรียกต่ออีกหลายครั้งแต่คนขี้เซาก็ยังคงหลับต่อ สุดท้ายทนไม่ไหวเหวินเจิ้งถึงต้องเอื้อมมือไปสะกิดคนบนโซฟา “จ้าวเหม่ยอิง” “อือ...” ร่างเล็กเริ่มรู้สึกตัว แพขนตายาวกระพริบเล็กน้อยก่อนจะลืมตามองสามีที่ยืนหน้านิ่งกอดอกมองกันอยู่ “คุณไท่?” “จะนอนตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือไง” ตอนนั้นเหม่ยอิงถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอหลับไป เธอลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตาตัวเอง ทำได้แค่ยิ้มแหยให้ร่างสูงพลางขอบคุณเสียงเบา “กี่โมงแล้วเหรอคะ” “เที่ยงคืน” ตอบเพียงแค่นั้นแล้วหันหลังกลับทันที ฝั่งเหม่ยอิงพอได้ยินคำตอบถึงกับเบิกตากว้าง รีบลุกขึ้นจากโซฟาจนเผลอเซเล็กน้อยและหลุดร้องเสียงหลง “อ๊ะ!” เหวินเจิ้งหันกลับมา เขาทำหน้าดุ ๆ ใส่คล้ายจะตำหนิว่าเธอจะซุ่มซ่ามอะไรนัก “ขอโทษค่ะ คือฉันรีบไปหน่อย ดึกขนาดนี้แล้วฉันยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย” เหม่ยอิงเบะปากคล้ายจะร้องไห้ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่มีใครมาปลุกเธอเลยสักคน คนในคฤหาสน์นี้เกลียดเธอกันหมดเลยหรือไง! “ก็สมควร จะนอนทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไง” แถมยังโดนสามีแขวะอีกต่างหาก เหม่ยอิงเก็บเอกสารครอบครัวของเธอแล้ววางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนจะเดินตามหลังคนตัวสูงที่ดูเหมือนว่าจะเข้าห้องครัวเช่นเดียวกัน “ฉันขอใช้ครัวได้ไหม” เหวินเจิ้งไม่ตอบ แต่ก็ส่งสายตาให้ประมาณว่าอยากทำอะไรก็ทำ ซึ่งเหม่ยอิงจะถือว่าการกระทำเช่นนั้นคือการอนุญาต หญิงสาวยืนนิ่งมองดูเครื่องครัวที่ไม่คุ้นเคย มือไม้พันกันจนมั่วไปหมด ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูเงอะงะ เป็นผลให้เหวินเจิ้งที่ยืนกระดกน้ำอยู่ถอนหายใจ “หลบ” “คะ?” เหม่ยอิงขมวดคิ้วพลางถามเสียงหลง ส่วนเหวินเจิ้งถอนหายใจอีกครั้ง เขาใช้ไหล่หนาดันเธอออกเบา ๆ คล้ายจะสื่อว่าต้องการยืนแทนเธอ “คุณเหวินจะทำให้ฉันเหรอคะ?” เหวินเจิ้งไม่ตอบ เพียงแค่เหลือบมองเธอด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก เหม่ยอิงยู่ปากทันที ก็ไหนตอนแรกเขาให้เธอใช้ครัวได้ไม่ใช่หรือไง ทำไมตอนนี้ถึงมาแย่งกันหน้าตาเฉย? “แต่ว่า—” เมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ที่ตวัดมามองแล้วเหม่ยอิงก็ยอมเงียบแต่โดยดี เหวินเจิ้งเริ่มทำอาหารง่าย ๆ โดยมีคนมีศักดิ์เป็นภรรยาชะเง้อมองอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง “เสร็จแล้วเหรอคะ งั้นฉันขอทำต่อ--” “จานนั้นเหลือ” เหวินเจิ้งพูดแทรก เหม่ยอิงที่ยังงุนงงจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป กระทั่งคนเป็นสามียกจานของตัวเองแล้วไปนั่งทานที่เคาน์เตอร์อีกฝั่งหนึ่ง คราวนี้คนตัวบางถึงได้เข้าใจคำพูดก่อนหน้า สมกับเป็นไท่เหวินเจิ้ง ก็แค่พูดออกมาตรง ๆ ว่าทำให้เธอนี่มันยากมากหรืออย่างไร? แต่ก็นั่นแหละ...เพราะเป็นไท่เหวินเจิ้ง เหม่ยอิงถึงได้ลอบหัวเราะเบา ๆ แทนที่จะขุ่นเคืองกับการกระทำนั้น ดวงตาสวยช้อนมองสามีแล้วนึกขำ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังดูหงุดหงิดอยู่เลยแท้ ๆ “ขอบคุณค่ะ” ว่าจบก็ยกมื้อดึกไปทานร่วมโต๊ะกับสามีไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน
หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก
เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ
หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง
ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่
ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่