วันต่อมาเหม่ยอิงที่คิดว่าจะตื่นเช้าเพื่อไปนั่งเล่นที่สวนอีกครั้งกลับผิดแผนเพราะวันนี้เธอตื่นสาย อาจเพราะเมื่อคืนทานข้าวมื้อดึกไปหน่อยกว่าจะได้นอนก็ช้ากว่าปกติหลายชั่วโมง วันนี้พอเหม่ยอิงลงมาด้านล่างก็พบว่าเหวินเจิ้งไปทำงานเสียแล้ว
“คุณหนูเหม่ยทานมื้อเช้าเลยไหมคะ” สาวใช้นามหลันเดินเข้ามาถาม หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังไม่ค่อยหิวน่ะ เอาอะไรแก้ง่วงให้ฉันหน่อยสิ” เหม่ยอิงร้องขอ ซึ่งหลันก็ดูกระตือรือร้นขึ้น เธอรีบพูดว่าจะไปชงกาแฟมาให้ “ได้แล้วค่ะคุณหนูเหม่ย” ผ่านไปเพียงครู่เดียวแก้วสีขาวขุ่นก็ถูกวางลงตรงหน้า เหม่ยอิงพูดขอบคุณเสียงเบา “นั่งข้างฉันก็ได้นะ” “ฉะ ฉันไม่กล้าหรอกค่ะ” เหม่ยอิงไม่ซักไซ้ เธอยกแก้วกาแฟขึ้นจนได้กลิ่นในระยะใกล้ ครั้นจะดื่มแต่ก็ต้องเบ้หน้าแล้วเขวี้ยงทิ้งอย่างแรงกระทั่งกาแฟหกรดเต็มพื้นบ้าน เสียงแก้วแตกทำให้ลูกน้องของเหวินเจิ้งวิ่งเข้ามาทันที “เกิดอะไรขึ้น!” เสียงดังโวยวายและความชุลมุนทำให้หลันหน้าซีด เธอมองนายหญิงตัวเองที่บัดนี้หน้าถอดสีทั้งยังยกมือขึ้นกุมศีรษะคล้ายจะปวดร้าวอย่างรุนแรง “คุณหนู คุณหนูเหม่ย” หลันพูดตะกุกตะกัก สีหน้าซีดเผือด “เธอเสิร์ฟอะไรให้คุณหนูเหม่ยน่ะ!” กลุ่มสาวใช้อีกคนร้องถาม ซึ่งเมื่อรู้ว่าเป็นกาแฟก็ถึงกับตกใจตาโต “คุณเหม่ยอิงดื่มกาแฟไม่ได้ แค่ได้กลิ่นก็ไม่ได้!” “รถโรงพยาบาลคงมาช้าเกินไป อุ้มนายหญิงขึ้นรถเถอะ” ตอนนี้ความวุ่นวายและเสียงเอะอะแทบไม่เข้าหัวเหม่ยอิง เพราะเธอทั้งรู้สึกเวียนหัวทั้งตาลาย มือขาวสั่นระริกกระทั่งสติเริ่มเลือนลาง “คุณหนูเหม่ย ขออนุญาตนะครับ” แล้วประโยคสุดท้ายที่เธอจำได้ก็มาพร้อมกับวงแขนของลูกน้องคนหนึ่งของเหวินเจิ้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป คำรายงานจากลูกน้องคนสนิทเป็นผลให้เหวินเจิ้งขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาสีน้ำตาลฉายความขุ่นมัวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามว่าใครเป็นคนเสิร์ฟกาแฟให้เหม่ยอิงดื่ม เพราะหากเป็นคนในคฤหาสน์ย่อมรู้ดีถึงข้อนี้ว่าหากเหวินเจิ้งไม่สั่งจะไม่มีการชงกาแฟต่อหน้าคุณหนูเหม่ยเป็นอันขาด “สาวใช้คนใหม่น่ะครับ เป็นเพราะผมสะเพร่าเอง ขอโทษครับคุณเหวิน” จงเซ่อค้อมศีรษะจนคางแทบชิดอก “คนที่ควรไปขอโทษคือเหม่ยอิงไม่ใช่ฉัน” จงเซ่อค้อมตัวอีกเล็กน้อยราวรู้สึกผิดอย่างมาก “แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” “ถึงโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วครับ ถึงจะไม่ร้ายแรงมากแต่หมอแนะนำให้แอดมิทหนึ่งคืนครับ” เหวินเจิ้งพยักหน้า เขามองกองงานตัวเองที่คั่งค้างตั้งแต่ไปมาเก๊าแล้วถอนหายใจ เขายังมีเอกสารที่ต้องจัดการด่วนอยู่เยอะพอสมควร... จงเซ่อที่เห็นท่าทางของเจ้านายตัวเองก็คิดว่าเหวินเจิ้งคงไม่ไปเยี่ยมคุณหนูเหม่ยเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ขนาดเหม่ยอิงหลับไปยี่สิบแปดวันเขายังไปดูอาการแค่ครั้งเดียวเอง ทว่า... “เคลียร์งานด่วนขึ้นมาก่อน ส่วนงานที่เหลือเอากลับไปที่บ้าน” คำสั่งนั้นเป็นผลให้จงเซ่อตาโต นึกแปลกใจจนอยากถาม ทว่ารู้ดีว่าก้าวก่ายไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรีบรับคำแล้วจัดการทำตามนั้นทันที อีกฝั่งทางคุณหนูเหม่ยอิงเธอรู้สึกว่าตัวเองจะสนิทกับพยาบาลมากกว่าสามีตัวเองเสียอีก เพิ่งได้ออกจากที่นี่ไปไม่กี่วันก็ต้องกลับมานอนราวผักเปื่อยอีกครั้ง ชีวิตช่างดีเสียจริง “ทานข้าวทานยาแล้วพักผ่อนนะคะคุณเหม่ยอิง” “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยตอบพยาบาลพลางยกยิ้มให้ หลังจากได้ทราบอาการว่าตัวเองเป็นเช่นนี้เพราะแพ้กาแฟแล้วก็รู้สึกหนักอกหนักใจ เหม่ยอิงคิดว่าหลันคงต้องรู้สึกผิดหนักเป็นแน่ เธอต้องรีบออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปปลอบใจเสียหน่อยแล้ว ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษเงียบเหงาทันตาเมื่อไร้พยาบาลที่อยู่ก่อนหน้านี้ ทำให้เหม่ยอิงนึกถึงครอบครัวคนเดียวที่มีอย่างไท่เหวินเจิ้งขึ้นมา เหม่ยอิงรู้...รู้ดีว่าเขาไม่ได้ชอบเธอและไม่เต็มใจที่จะมีเธอคนนี้เป็นภรรยาเลยแม้แต่น้อย แต่เหม่ยอิงก็ไม่มีทางเลือก หลังตื่นขึ้นมาคนที่เธอมีอยู่ในชีวิตเพียงคนเดียวก็คือสามีอย่างไท่เหวินเจิ้ง จำทุกคนที่เกี่ยวข้องกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่หญิงสาวทำได้ก็คือพยายามใช้ชีวิตอยู่กับเขาในระหว่างที่ต้องฟื้นฟูความทรงจำไปด้วย แม้จะไม่เต็มใจก็ตามที “...” ผ่านไปครู่หนึ่งกระทั่งเหม่ยอิงทานยาไปเสร็จ จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมปรากฏคนที่เพิ่งจะนึกถึงไปเมื่อครู่ เหวินเจิ้งเดินเข้ามาด้วยท่าทีนิ่งเงียบตามสไตล์เจ้าตัว ข้างกายไม่ได้มีลูกน้องคนสนิทแบบทุกทีทำเอาเหม่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณเหวินเจิ้ง?” เป็นเธอที่เอ่ยเรียกขึ้นก่อน ร่างสูงเดินมาหยุดข้างเตียงแล้วใช้สายตาพิจารณากันครู่หนึ่ง “ชอบนอนที่นี่เสียจริงนะ” คำทักทายแรกก็ไม่เข้าหูเสียแล้ว เหม่ยอิงอมลมในปากก่อนจะเอ่ยเถียงว่าใครมันจะไปชอบกัน! “เอาเถอะ ฉันก็แค่แวะมาดู ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” เขาพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินออกไปเหมือจะกลับ เหม่ยอิงรีบรั้งไว้ “เดี๋ยวก่อนค่ะ” ใจคอจะมาแค่นี้แล้วไปเลยหรือ? หญิงสาวได้แต่ต่อประโยคตำหนินี้ในใจ “ฉันอยากกินของหวาน” เธอเอ่ย พร้อมช้อนมองสามีด้วยสายตาแปลกไป “มีใครอยู่ข้างนอกไหมคะ” เหวินเจิ้งขมวดคิ้ว มองดูจานอาหารที่เหมือนว่าเหม่ยอิงจะเพิ่งทานข้าวเสร็จ “จะบอกพยาบาลให้” “ไม่เอาค่ะ ฉันอยากจะไปซื้อเอง” พูดเสร็จก็ก้าวลงจากเตียงจนเหวินเจิ้งขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า ขายาวก้าวเพียงนิดก็สามารถมาถึงตัวภรรยาได้ เขาช่วยจับต้นแขนนั้นไว้เมื่อร่างบางเซเล็กน้อย “...” เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง เหม่ยอิงแปลกใจกับการกระทำเมื่อครู่ของสามี ก่อนหน้านี้ทั้ง ๆ ที่เธอล้มต่อหน้าแต่เหวินเจิ้งไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด ทว่าครั้งนี้กลับยอมประคองกันไว้ เขากินอะไรผิดไปหรือเป็นอะไรถึงได้ทำเช่นนั้น? “กลับขึ้นไปบนเตียงซะเหม่ยอิง” “ไม่เอาค่ะ ฉันอยากทานขนมนี่...” คนดื้อยังเถียง เหวินเจิ้งถอนหายใจทันที “ก็ตามใจ ถ้าล้มขึ้นมาอีกฉันจะไม่ช่วย” คนฟังพอได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะในคอ ต่อให้ไม่บอกเธอก็พอจะรู้อยู่ อีกอย่างเหม่ยอิงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว “ว่าแต่ด้านนอกไม่มีใครอยู่เลยเหรอคะ ฉันไม่อยากไปคนเดียว” เงยหน้าขึ้นถามสามี เหม่ยอิงกลัวว่าจะไปทำอะไรแปลก ๆ ก็เลยอยากมีคนไปเป็นเพื่อน แล้วจู่ ๆ เธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถ้าเช่นนั้นก็แค่ต้องลองเอ่ยขอสามี... “คุณเหวินไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิคะ” ซึ่งทันทีที่จบประโยคนั้นทำเอาคนฟังเลิกคิ้ว เหวินเจิ้งไม่คิดว่าผู้เป็นภรรยาจะกล้าชวนเขาเลยสักนิด ดวงตาดุดันมองคนตัวเล็กกว่านิ่งงัน เขาพยายามประเมินว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ “คงรู้ตัวนะว่าพูดอะไรออกมา และคงรู้คำตอบอยู่แล้วใช่ไหม” เหม่ยอิงถอนหายใจ “ไม่ได้เหรอคะ ก็ฉันอยากทานนี่” เหวินเจิ้งเงียบ มองดูใบหน้างามที่ปกติเอาแต่พยศใส่กัน บัดนี้เหม่ยอิงเหมือนแค่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ เขาถอนหายใจก่อนจะยกข้อมือดูเวลาเพราะมีงานต้องไปจัดการต่อ “ฉันให้เวลาเธอได้แค่สิบห้านาที” “อือ! ฉันจะไม่ให้กินเวลาคุณเลยค่ะ” สุดท้ายคนมีศักดิ์เป็นทั้งประธานและประมุขตระกูลไท่ก็มายืนกอดอกมองดูภรรยาที่อยู่ในชุดผู้ป่วยกำลังเลือกขนมในร้านที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลจนได้ เหม่ยอิงกวาดตามองนู่นนี่ด้วยท่าทีที่ร่าเริงขึ้น ซึ่งทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันเป็นภาพที่ทำให้คนรอบข้างต้องหันมามองเป็นตาเดียว ชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทเต็มยศกับรังสีกดดันและน่าเกรงขามรอบตัว ใบหน้าหล่อเหลาหากแต่เรียบนิ่งกับโซนขนมหวานที่ดูไม่เข้ากัน ข้างกายคือหญิงสาวร่างระหงที่ใบหน้าคล้ายกับตุ๊กตา ปลายจมูกรั้น ผิวขาวเนียนจนสะดุดตา และแม้เธอคนนั้นจะอยู่ในชุดผู้ป่วยหากแต่กลับโดดเด่นมากจนทำให้เป็นที่สนใจได้ไม่ยาก “จะเลือกนานไปถึงไหน รีบหยิบรีบไป” เหวินเจิ้งดุ เพราะต่อให้บอกว่ามีเวลาให้แค่สิบห้านาทีแต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้เดือดร้อนเลยสักนิด ดูท่าทางเลือกของกินแบบสบายใจนั่นเขาก็รู้แล้ว “มีคุกกี้ธัญพืชด้วยค่ะ คุณไท่เอาสักกล่องไหมคะ” “เหม่ยอิง” “ทราบแล้วค่ะทราบแล้ว ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่กินเวลาคุณแน่นอน” พูดจบก็หันหน้ามาหาสามีแล้วยิ้มให้จนตาหยีอย่างเผลอตัว เหวินเจิ้งชะงัก ไม่ได้พูดตอบอะไรอีกจนกระทั่งภรรยาเดินไปจ่ายเงิน “จ่ายด้วยเงินสดใช่ไหมคะ” พนักงานถาม เธอไม่กล้าสบสายตาร่างสูงที่ยืนข้าง ๆ ลูกค้าคนนี้เลยสักนิด “จ่ายด้วยสามีค่ะ” เหม่ยอิงตอบพนักงาน ก่อนจะหันไปหาเหวินเจิ้ง “คุณไท่คงไม่ใจร้ายถึงขนาดยืนดูเฉย ๆ ให้ฉันเอาของพวกนี้ไปเก็บหรอกใช่ไหมคะ ก็ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยสักหยวน” ซึ่งจบประโยคนั้นแล้วทำเอาคนในบริเวณที่ได้ยินถึงกับสะดุ้ง ผู้ชายคนนี้คือคุณไท่เหวินเจิ้งไม่ผิดแน่ “ปากดีจริงนะ” และนอกจากคำดุเพียงแค่นั้นเหวินเจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขายื่นบัตรให้พนักงาน ซึ่งเหม่ยอิงที่ยืนข้าง ๆ ก็เอาแต่หัวเราะ ก่อนหน้านี้เธอกลัวและไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของเหวินเจิ้งก็จริง และตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้นอยู่ หากแต่เหม่ยอิงที่เห็นเขายอมมาเยี่ยมแถมยังช่วยพยุงกันไว้ก็เลยยอมลดทิฐิลงเล็กน้อย บางทีเหม่ยอิงก็คิดอยากเริ่มต้นใหม่แบบดี ๆ กับผู้ชายคนนี้ดูสักครั้ง ถึงแม้ในอดีตคงมีเรื่องมากมายระหว่างเรา แต่ตอนนี้เธอจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง และจะให้จมปลักอยู่แค่กับการฟื้นความทรงจำตัวเองเหม่ยอิงก็รู้สึกว่ามันคงเสียเวลาไปเปล่า ๆ “ขอบคุณนะคะ ทั้งที่ไปเป็นเพื่อนแล้วก็ค่าขนม” เหวินเจิ้งยังอุตส่าห์ขึ้นมาส่งกันถึงห้อง หญิงสาวพูดขอบคุณแล้วระบายยิ้มให้ “ไม่ใช่ว่าเธอบังคับให้ฉันต้องจ่ายหรือไง” “ใส่ร้ายกันแล้วค่ะ หรือคุณไท่อยากได้ขนมไปสักกล่องดีไหมคะ?” เหวินเจิ้งแค่นหัวเราะในคอ เขาไม่ตอบอะไรอีกแล้วออกจากห้องไปเลย ทิ้งให้เหม่ยอิงส่ายหน้าไปมาบนเตียงแล้วแกะขนมขึ้นทาน “ของฟรีก็ว่าอร่อยแล้ว แต่ของที่สามีจ่ายให้นี่มันอร่อยจริง ๆ นะเนี่ย” ถ้าเกิดเหวินเจิ้งได้ยินประโยคนี้เข้าคงได้ปะทะฝีปากกันอีกรอบเป็นแน่ วันต่อมาเหม่ยอิงได้ออกจากโรงพยาบาล เธอกลับเข้ามาถึงคฤหาสน์ก็โดนหลันแทบจะคำนับหมอบแทบเท้า แต่เหม่ยอิงก็ห้ามไว้ มือเรียวช่วยเช็ดน้ำตาคนที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างใจดี “ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ลุกขึ้นเถอะ” เสียงเอื่อยเฉื่อยพูดปลอบพลางวางมือนุ่มเกลี่ยแก้มซึ่งอาบน้ำตาอยู่ ภาพนั้นส่งผลให้คนในบริเวณที่เห็นอดแปลกใจและใจอ่อนเสียไม่ได้ ต้องยอมรับว่าคุณหนูเหม่ยอิงตอนนี้เหมือนนางฟ้าก็ไม่ปาน... “ฉันขอโทษจริง ๆ นะคะ ฉันขอโทษค่ะคุณหนูเหม่ย” “ไม่เอาหน่า…ก็เธอไม่รู้ว่าฉันดื่มไม่ได้นี่” ถ้าจะให้โทษเหม่ยอิงคิดว่าควรโทษตัวเธอเองมากกว่าที่ไม่รู้ว่าตัวเองดื่มกาแฟไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญ “ถ้าเธอยังไม่หยุดขอโทษฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะอยากให้เป็นแบบนั้นหรือ?” หลันยอมเช็ดน้ำตาตัวเองในที่สุด เมื่อได้เคลียร์กันแล้วเหม่ยอิงจึงลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะแผ่นหลังมีใครบางคนมายืนซ้อนกันอยู่ นั่นก็คือไท่เหวินเจิ้งที่เหมือนว่าวันนี้เขาจะเข้าบริษัทช้ากว่าปกติ “คุณเหวิน--” เอวบางถูกมือหนาของสามีประคองไว้เมื่อเหม่ยอิงถอยหลังจนเซจะล้ม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันพลางมองดุ “เธอจะอยากไปนั่งบนพื้นทำไมนัก” เหม่ยอิงกลอกตาพลางก่นด่าในใจ หากเขาไม่เข้ามาอยู่ในระยะประชิดเช่นนี้เธอก็คงไม่ตกใจขนาดนั้น ทว่าภาพร่างแน่งน้อยในอ้อมกอดผู้เป็นนายที่สะท้อนอยู่ในสายตาของลูกน้องหลายสิบคนชวนให้พวกเธอหันไปมองหน้ากัน คุณหนูเหม่ยอิงทั้งสง่าและเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นเหลือเกิน ยามถูกโอบไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงของสามีก็ยิ่งดูเป็นภาพหายาก “แล้ว...คุณเหวินมีอะไรจะพูดกับฉันคะ?” ถามพลางผละตัวออก ท่าทีดูเก้กังเล็กน้อย “ก็แค่มาดูว่าภรรยาฉันจะไล่สาวใช้คนนั้นออกไปหรือเปล่า” แต่กลับผิดคาดเพราะนอกจากจะไม่ว่าอะไรแล้วเหม่ยอิงยังช่วยปลอบอีกต่างหาก เหวินเจิ้งนึกสงสัยว่าเหตุใดภรรยาเขาถึงใจดีกับทุกคนยกเว้นสามีตัวเอง เขาละสายตาออกจากเหม่ยอิง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มขึ้นยามสุรเสียงทุ้มเอ่ยพูดประโยคต่อมา “คราวหลังห้ามมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันไม่ได้ใจดีเหมือนภรรยา” คำสั่งกับดวงตาที่หลุบมองต่ำชวนให้คนฟังขนลุกวาบ สาวใช้นามหลันรีบค้อมศีรษะรับคำทันที เธอตัวสั่นงันงก เกรงกลัวต่อไท่เหวินเจิ้งจนน้ำตาเอ่อคลออีกรอบ “ไม่เห็นต้องดุขนาดนั้นเลยนี่คะ ก็เธอไม่รู้เสียหน่อย” เหม่ยอิงแทรก เธอเอาตัวบังการมองเห็นของเหวินเจิ้งต่ออาหลัน “หรือเธออยากโดนดุแทนล่ะ?” “...” “ถ้าไม่อยากก็อยู่เฉย ๆ” เหม่ยอิงยู่หน้า ท่าทางแสนพยศปรากฏขึ้นอีกครั้ง “เธอยังมีงานต้องทำไม่ใช่หรือ” ใบหน้างามตวัดไปมองคนที่ยืนด้านหลัง พลางเลิกคิ้วแล้วส่งสัญญาณพยักเพยิดให้เธอออกไปจากตรงนี้ “ไปทำซะสิ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว” เหวินเจิ้งทอดมองภรรยาตัวเองที่กำลังช่วยคนอื่นอยู่กราย ๆ ซึ่งเมื่อเหล่าลูกน้องแยกตัวกันไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วเหม่ยอิงจึงคิดจะหนีขึ้นห้องเช่นเดียวกัน หากแต่เพียงแค่หันหลังยังไม่ทันได้ก้าวขา ที่ข้อมือกลับโดนกอบกุมไว้เสียก่อน “ฉันสั่งให้ไปตอนไหน” เสียงเย็นเอ่ยถามพลางเลิกคิ้ว เหม่ยอิงหันมาประจันหน้ากับสามีอีกครั้ง “คุณกำลังกวนเวลาพักผ่อนของคนป่วยอยู่นะคะ” “ไหนว่าหายดีแล้ว” “ยังค่ะ แค่ก ๆ...อื้ม ยังไม่หายดีสักหน่อย” เหวินเจิ้งมองภรรยาที่กำลังแสร้งป่วยได้หน้าตาเฉย แม้ไม่เชื่อถึงกระนั้นก็ยังยกมือข้างหนึ่งแล้ววางหลังมือทาบวัดอุณหภูมิกับหน้าผากของเธอ ส่วนอีกข้างก็วัดจากหน้าผากตัวเอง “…คุณเหวิน” “อยู่เฉย ๆ” คนโดนสั่งปิดปากฉับ ระยะห่างระหว่างกันแสนน้อยนิดจนเหม่ยอิงเห็นดวงตาสีน้ำตาลสวยได้ในระยะใกล้ ทั้งแพขนตายาวแล้วก็คิ้วเข้มเรียงสวย เธอเม้มริมฝีปากพลางกักเก็บท่าทีแปลกไปของตัวเองเอาไว้ “มีไข้อยู่แล้วทำไมหมอยังให้กลับ” เมื่อลองวัดดูแล้วก็เหมือนว่าเหม่ยอิงมีอุณหภูมิร่างกายที่ค่อนข้างร้อนกว่า เป็นผลให้ใบหน้าหล่อเหลาฉายความหงุดหงิดอีกรอบ “ก็แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าได้นอนพักก็ดีขึ้นแล้วค่ะ” เหม่ยอิงถอยหลังหนี การกระทำนั้นทำให้เหวินเจิ้งเพิ่งได้สติว่าตัวเองเพิ่งดุอีกคนไปเพราะอะไร พอทำตัวสมกับเป็นสามีภรรยาขึ้นมาบ้างดันรู้สึกแปลกประหลาดจนวางสีหน้ากันไม่ถูกทั้งคู่... “งั้นฉันกลับขึ้นห้องดีกว่า คุณก็ไปทำงานเถอะ” เหวินเจิ้งขานรับในลำคอ ทอดมองคนที่พูดจบก็หันหลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินขึ้นบันไดไปทันที ส่วนเขายังมีงานต้องไปทำ ทว่ากลับยังคงยืนนิ่งมองไปยังแผ่นหลังนั้นกระทั่งหายไปจากการมองเห็นถึงได้ก้าวออกไปทำงานของตัวเอง เหม่ยอิงกลับขึ้นมาบนห้องก็พ่นลมหายใจออกยาว ๆ เพราะก่อนหน้านี้รู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เธอไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเหวินเจิ้งเท่าไหร่นัก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนเดาใจไม่ถูก มือเรียวยกมือลูบหน้าตัวเองก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ วันนั้นเธอเห็นว่าเหวินเจิ้งสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายนี่...จะใช่แหวนแต่งงานของเขาและเธอหรือเปล่านะ? คิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นแล้วลองหาที่โต๊ะเครื่องแป้งของตัวเอง เหม่ยอิงคิดว่าเธอคงไม่กล้าทิ้งแต่ถ้าเอาไปขายก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แล้วก็ต้องมาสะดุดกับกล่องสีชมพูอันหนึ่งที่รู้สึกคุ้นเคยพอสมควร “อยู่นี่จริง ๆ ด้วย” ถึงจะได้เห็นแหวนที่นิ้วเหวินเจิ้งไม่ชัดแต่ยังพอจำดีไซน์ได้ เหม่ยอิงหยิบมันออกมาลองสวมที่นิ้วเดียวกัน และพบว่ามันสวมได้พอดี “นี่ถ้าฉันเมื่อก่อนเอามันไปขายคงโดนเหวินเจิ้งฆ่าแน่ ๆ” อยากขอบคุณตัวเองจริง ๆ ที่ไม่สิ้นคิดทำเช่นนั้น เหม่ยอิงพิจารณามันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งดีไซน์ ทั้งน้ำหนักและตัวเพชร ต่อให้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังรู้เลยว่าราคาของมันคงจะแสนแพงแน่ ๆ คราแรกตั้งใจจะหามันให้เจอโดยไม่คิดสวมแต่เหม่ยอิงกลับเปลี่ยนใจ ในเมื่อมันเป็นของของเธอจะให้เก็บไว้แต่ในกล่องก็น่าเสียดายจริงไหม? ดังนั้นหญิงสาวจึงสวมมันให้เสร็จสรรพแล้วเก็บกล่องไปที่เดิม เหม่ยอิงตอนนี้กำลังเลือกสิ่งที่ตัวเองเคยปฏิเสธมาตลอด แม้เป็นแหวนวงเดียวแต่มันแสดงถึงพันธนาการที่เธอเคยแสนเกลียด และแม้ว่าจะรู้ก็ตามที ถึงกระนั้นก็ยังเลือกที่จะสวมมันอยู่ดี…ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน
หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก
เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ
หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง
ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่
ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่