แชร์

บทที่ 1 ภรรยาขี้เมา

ผู้เขียน: กุญแจฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-26 23:50:34

สมกับที่จงเซ่อเล่าเรื่องของเหวินเจิ้งให้ฟัง คฤหาสน์ตระกูลไท่ยิ่งใหญ่เสียจนเหม่ยอิงหน้าซีด ตั้งแต่ทางเข้าก็หรูหราทอดยาว มันกว้างขวางและใหญ่โต แม้กระทั่งที่จอดรถซึ่งเป็นห้องกระจกเรียงรายด้วยซุปเปอร์คาร์หลายสิบคัน มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าแต่ละคันราคาไม่ธรรมดาแน่นอน

ทางเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ประดับด้วยเครื่องตกแต่งหรูหราและฟุ่มเฟือย เฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ทุกอย่างดูใหญ่โตและเจิดจ้าสำหรับเหม่ยอิงในตอนนี้

กระทั่งเหม่ยอิงเข้าไปด้านในจนถึงโถงทางเดินซึ่งเธอก็ต้องชะงัก เพราะตรงกลางมีรูปของเหวินเจิ้งตระหง่านต้อนรับแขก เขาอยู่ในชุดคอจีนสีขาวปักดิ้นด้วยลวดลายสีทอง ร่างสูงนั่งไขว่ห้างบนเบาะนวม ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉย หากแต่รับรู้ได้ถึงความดุดัน เขาทอดดวงตามองตรง ยิ่งเสริมบบรรยากาศทำให้คนที่ยืนมองรู้สึกได้ถึงอำนาจบารมีที่อีกคนถือไว้

สมกับเป็นผู้นำตระกูลไท่...ชวนให้น่าเคารพและเกรงขามไปในที

คนตัวเล็กหยุดมองอยู่สักพักหนึ่ง จนจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอ เป็นผลให้คนที่อยู่ในภวังค์สะดุ้งตัวโยน

“ทางนี้ค่ะคุณหนูเหม่ย แต่ว่าก่อนอื่นให้ฉันช่วยเปลี่ยนรองเท้านะคะ” สาวใช้ผู้รับหน้าที่นำทางเธอขึ้นไปยังห้องนอนย่อตัวลงคล้ายจะถอดรองเท้าให้ เหม่ยอิงที่เห็นดังนั้นเผลอถอยหลังหนีและขมวดคิ้วแน่น

“เปลี่ยนรองเท้า? ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ” เสียงหวานรื่นหูเอ่ยถามจริงจัง แม้ดูว่าเธอคนนี้จะมีอายุน้อยกว่าเหม่ยอิงก็ตาม ทว่ามันต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ?

“เอ่อ คือว่า...” คนโดนถามมีท่าทีอึกอัก ก่อนกล่าวว่าตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ และเพราะได้ยินข่าวเรื่องนิสัยของเหม่ยอิงมาอย่างหนาหู เป็นผลให้สาวใช้หน้าใหม่อย่างเธอต้องปฏิบัติเช่นนั้นเพราะกลัวโดนดุ

“ไม่ต้องทำขนาดนั้น ฉันทำเองได้…อีกอย่างฉันก็เป็นแค่ผู้อาศัยเหมือนเธอนั่นแหละ” แม้ไม่ค่อยเข้าใจคำตอบของนายหญิงผู้นี้เสียเท่าไร แต่เธอก็ยอมค้อมศีรษะรับประโยคคำสั่งนั้น

“ว่าแต่เธอชื่ออะไร?”

“ชะ ชื่อหลันค่ะ”

“แล้วที่นี่มีเธออยู่คนเดียวงั้นหรือ?” เหม่ยอิงเริ่มถามขณะที่กวาดสายตามองไปมา คฤหาสน์ตั้งใหญ่โตแต่กลับเงียบเหงาเสียอย่างนั้น

“คือว่า...” หลันมีท่าทางอึกอักอีกครั้ง เธอไม่กล้าพูดว่าไม่มีใครคิดจะมาต้อนรับคุณหนูเหม่ย เพราะคนเหล่านั้นล้วนไม่ชอบเหม่ยอิงกันทั้งนั้น ภาระจึงถูกผลักมาให้เธอที่เป็นสาวใช้คนใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้

“คือ…ทุกคนมีภาระงานที่ติดพันกันอยู่น่ะค่ะ” เหม่ยอิงพ่นลมหายใจ แม้เธอจะสูญเสียความจำจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจกิริยาท่าทางเช่นนั้น ประโยคเมื่อกี้เหม่ยอิงรู้ได้ในทันทีว่าสาวใช้โกหกเธอ คนพวกนั้นคงไม่ต่างจากเหวินเจิ้ง

คงเกลียดกันสินะ…

“อืม” แต่ก็ยอมพยักหน้ารับไปลวก ๆ คราวนี้เธอยื่นกระเป๋าให้หลัน พลางบอกให้เธอนำทางไปที่ห้อง

ภายในห้องนอนของคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงก็ใหญ่โตสมแล้วที่เป็นถึงภรรยาผู้นำตระกูลไท่ ทุกอย่างเป็นสัดส่วนชัดเจนและของใช้ครบครัน

ส่วนการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์มีสีแดงเป็นหลัก ของใช้ส่วนตัวดูไม่ได้มากมายเท่าตอนแรกที่เหม่ยอิงคิด ทุกอย่างถูกจัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยทำเอาเธอแปลกใจ

ดีกว่าที่คิด...

“คุณหนูเหม่ยพักผ่อนตามสบายนะคะ” หลันพูดเสร็จก็ค้อมศีรษะให้หนึ่งครั้งแล้วมอบความเป็นส่วนตัวให้นายหญิงตนเอง

ครั้นเมื่อได้อยู่คนเดียวทำเอาใบหน้าเย่อหยิ่งเมื่อครู่กลับมาเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแผ่วเบา ไม่ว่าจะตอนอยู่โรงพยาบาลหรือได้กลับมาบ้านก็ต้องอยู่คนเดียว

เธอนอนจนเบื่อ…ไอ้คำว่าพักผ่อนตามสบายของสาวใช้เมื่อครู่นั้น เหม่ยอิงอยากจะตอบกลับเสียเหลือเกินว่าเธอทำมันจนเบื่อแล้ว!

เหม่ยอิงจึงตัดสินใจลงไปที่ชั้นล่างอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีสาวใช้คนไหนอยู่อีกแล้ว เธอจึงทำได้แค่เดินดูนู่นดูนี่ภายในคฤหาสน์ พลันมาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปของเหวินเจิ้งอีกครั้ง

เหม่ยอิงอดยอมรับไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีตนนั้นน่าชื่นชมมากจริง ๆ ทว่าหากได้ลองพูดคุยแล้วนิสัยช่างไม่น่าอภิรมย์ เธอยืนดูอยู่เช่นนั้นจนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง

“ก็นึกว่าใครมาเดินเพ่นพ่านดึก ๆ” สุรเสียงทรงอำนาจจากด้านหลังทำเอาเหม่ยอิงสะดุ้ง เธอหันกลับไปก็เจอกับเหวินเจิ้งในชุดทำงานสีดำ ที่ท่อนแขนแกร่งมีสูทสีเดียวกันพาดไว้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉย หากแต่ดวงตากลับทอแสงประกายเย้ยหยัน

“...” ความเงียบเข้าปกคลุมเสี้ยววินาที และเมื่อร่างสูงเลื่อนสายตาจากเธอไปยังภาพของเขาก็พลันหัวเราะในลำคอ

“ตอนเข้ามาแรก ๆ ก็อยากจะทุบรูปนี้ทิ้งตั้งหลายครั้งนี่...ทำไมล่ะ ขนาดความจำเสื่อมก็ยังหลงเหลือความรู้สึกเหล่านั้นไว้อยู่หรือไง” เหม่ยอิงกัดปาก ใบหน้าสวยหยดเริ่มกลับมาดื้อรั้นอีกครั้ง

“ก็คงจะแบบนั้นมั้งคะ เห็นแล้วไม่ชอบใจจริง ๆ” ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด แต่จะให้เหม่ยอิงยอมแพ้เธอก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน

“จ้าวเหม่ยอิง” เสียงเรียกชื่อทุ้มต่ำ

“คุณไท่เริ่มก่อนนะคะ” เหม่ยอิงตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าคำพูดนั้นทำให้ร่างสูงขมวดคิ้ว ก่อนเอ่ย

“คุณไท่?” เขาทวนสรรพนามที่แสดงความเหินห่างชัดเจนก่อนหลุดหัวเราะเสียงต่ำ เหม่ยอิงไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรน่าขำ

“เอาคืนแบบเด็ก ๆ” คำพูดนั้นทำให้เหม่ยอิงงุนงง และคาดว่าคงไม่ได้รับคำตอบเพราะเหวินเจิ้งไม่คิดต่อบทสนทนาอะไรกับเธออีก เขาชายตามองภรรยาไม่กี่วินาทีก็เดินผ่านไป ท่าทีเฉยเมยยิ่งทำให้เหม่ยอิงกำมือตัวเองแน่น

ดูก็รู้ว่าจงใจหาเรื่องกันชัด ๆ!

แต่แน่นอนว่าคนที่เป็นรองอย่างเหม่ยอิงไม่มีอะไรในความทรงจำให้เอาคืนคนผู้นี้ได้ เธอจึงจำใจกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางที่เหวินเจิ้งผ่านไปเมื่อครู่

คอยดูเถอะ! ถ้าเธอหายดีเมื่อไหร่เธอจะคิดบัญชีให้เขาอย่างหอมหวานเลยทีเดียว จ้าวเหม่ยอิงผู้นี้ไม่ยอมโดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่

ทว่าวันต่อมาก็มีเรื่องให้เธอต้องหงุดหงิดและเร่งแก้ไขโดยเร่งด่วน นั่นก็คือไม่ว่าเธอจะขอ สั่ง หรือพูดอะไรไปกับสาวใช้ในคฤหาสน์นี้ก็ดูท่าจะได้รับปฏิกิริยาปฏิเสธกันอย่างเปิดเผย คงเพราะเรื่องที่เธอสูญเสียความทรงจำนั้นจงเซ่อต้องบอกให้คนในคฤหาสน์ให้รู้ไว้ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ขึ้นได้ ซึ่งเขาก็คัดสาวใช้ที่สามารถปิดความลับได้อย่างเคร่งครัด

“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าไม่มีน้ำร้อน?” เสียงหวานเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วแน่น เธอมองดูแก้วน้ำชาตัวเองที่แสนเย็นชืด

“ก็ตามที่ฉันแจ้งค่ะ กาน้ำร้อนมันเสียในตอนที่กำลังจะชงชาให้คุณหนูเหม่ยพอดี” น้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนทำให้คนฟังรู้ได้ทันทีว่านั่นคือการโกหก เหม่ยอิงจำต้องข่มอารมณ์ขุ่นมัวตัวเองไว้ เธอหันไปมองน้ำชาตรงหัวโต๊ะซึ่งเป็นของเหวินเจิ้งก็พบว่าชงได้ปกติดี

“แล้วทำไมของเขาถึงทำได้?”

“ตอนชงชาของคุณท่านกายังใช้ได้ปกติดีค่ะ” เหอะ...คิดว่าเธอเป็นเด็กสามขวบไม่รับรู้เรื่องราวหรืออย่างไร?

ครั้นเห็นว่าคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงนิ่งเงียบไปแล้วเหล่าสาวใช้ถึงกับหันไปมองหน้ากันแล้วกระตุกยิ้ม พวกเธอส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อประมุขตระกูลไท่เดินมานั่งประจำที่

เหวินเจิ้งพอจะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แต่อาจเพราะต้องการทดสอบผู้เป็นภรรยา เขาถึงทำทีนิ่งเฉย พอนั่งลงก็ดื่มน้ำชาส่วนของตนด้วยท่าทางปกติ

“ออกไปซื้อมา” แต่แล้วคนที่เงียบอยู่นานกลับเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศเหล่านั้น เหม่ยอิงยกมือขึ้นกอดอกแล้วสั่งด้วยเสียงเนิบนาบ

“คะ?”

“ออกไปซื้อเครื่องชงชามา เอาทุกแบบทุกรุ่นที่มีวางขาย เพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะได้ดื่มชาทุกวันและเครื่องไม่เสียตอนที่ต้องชงให้ฉันพอดีแบบนี้อีก” ดวงตากลมโตช้อนมองสาวใช้เหล่านั้นแล้วเลิกคิ้วหนึ่งครั้ง ท่าทีหยิ่งพยองราวนางพญาชวนให้คนมองทำสีหน้าไม่ถูก

พวกเธอมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหลุดหัวเราะในลำคอของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เหวินเจิ้งเท้าคางมองภรรยาด้วยแววตานึกสนุก เขาหันกลับไปหาจงเซ่อซึ่งลูกน้องคนสนิทก็รู้หน้าที่ดี

จงเซ่อยื่นบัตรให้สาวใช้คนนั้นเพื่อนำไปจ่ายเงินซื้อของให้กับภรรยาเจ้านายตัวเอง

“...” เธอคนนั้นแสดงสีหน้าเจ็บใจและอับอาย แต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงยอมทำตามในที่สุด คราวนี้คนอื่น ๆ พลันเห็นว่าคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงซึ่งความจริงยังไม่น่าจะปรับตัวได้หลังเพิ่งหายป่วย แต่ตอนนี้กลับโต้ตอบได้ทันควัน พวกเธอจึงได้แต่ยืนก้มหน้าสงบเสงี่ยมมากขึ้น

“หึ” เสียงของเหวินเจิ้งดึงความสนใจของคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ให้หันไปมอง พลันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“คุณเหวิน ฉันขอดื่มชาด้วยได้ไหมคะ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งครั้งคล้ายสงสัย หากแต่เหวินเจิ้งก็ไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่ดันกาใบเล็กไปด้านหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต

“ต้องรินให้ด้วยไหม?” คำถามประชดประชันเป็นผลให้คนฟังเบ้หน้า สุดท้ายแล้วน้ำชาส่วนของประมุขตระกูลไท่ก็ถูกแบ่งให้ภรรยา เพียงเพราะเหวินเจิ้งรู้สึกพอใจกับปฏิกิริยาที่เห็นเหม่ยอิงทำเช่นนั้น

เหล่าลูกน้องที่เห็นการกระทำของคุณหนูเหม่ยอิงจึงต้องสลักไว้ในจิตใจ เพราะหากครั้งหน้ายังปฏิบัติต่อเธอคนนั้นแบบไม่คิดหน้าคิดหลังคงไม่วายเดือดร้อนไปถึงเจ้านายตนเอง

ซึ่งหากถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเหวินเจิ้งจะใจดีทำเพียงแค่หัวเราะแบบวันนี้ไหม...

หลายวันจากนั้นเหม่ยอิงไม่ได้พบผู้เป็นสามีตนเองอีก จงเซ่อบอกเธอว่าพวกเขาต้องไปทำงานที่มาเก๊าซึ่งตอนนี้ก็ผ่านไปสี่วันแล้ว

เมื่อไม่มีจงเซ่อและเหวินเจิ้ง ในคฤหาสน์จึงเงียบเหงามากกว่าเดิม พวกสาวใช้จะเข้ามาแค่เวลาทำงานของตัวเองแล้วก็ออกไป ซึ่งยิ่งโดนเหม่ยอิงกระทำเช่นนั้นไปเมื่อคราวก่อน พวกเธอก็ยิ่งหลีกหน้านายหญิงผู้นี้เข้าไปอีก

“น่าเบื่อชะมัด” ครั้นวัน ๆ เอาแต่นั่งกินนอนกินจนแทบจะลืมวิธีการเดินไปอีกรอบ เหม่ยอิงที่ไม่รู้จะทำอะไรดีจึงลองสำรวจคฤหาสน์นี้อีกครั้ง เพราะมันกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายร้อยไร่และคิดว่าวันเดียวคงเดินได้ไม่ครบ

แต่แล้วหญิงสาวก็มาหยุดอยู่ที่ห้องซึ่งติดกับห้องทานอาหาร ภายในมีเคาน์เตอร์ยาวและด้านหลังคือชั้นตู้ซึ่งเรียงรายไปด้วยแอลกอฮอล์ราคาแพง ราวกับห้องนี้คือบาร์ขนาดย่อม

ขาเรียวก้าวไปด้านในพลางมองขวดไวน์ บรั่นดี และเหล้านำเข้าต่าง ๆ อย่างสนอกสนใจ จู่ ๆ ความทรงจำก็ไหลย้อนภาพบางอย่าง กระทั่งเหม่ยอิงต้องเบ้หน้า มันเป็นภาพที่ใครบางคนส่งแก้วที่ด้านในบรรจุแอลกอฮอล์มาให้เธอ หากแต่ใบหน้าของคนที่ยื่นให้เธอนั้นมันเลือนรางเกินไป

เหม่ยอิงสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ เธอนั่งปรับอารมณ์ตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเมื่อเริ่มดีขึ้นจึงหันไปสนใจไวน์แดงที่อยู่บนสุดในตู้ ด้วยความอยากรู้อยากลองจึงหยิบมันลงมา

ร่างระหงปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงซึ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตัวยาว เหม่ยอิงเริ่มรินไวน์แดงลงแก้ว ในขณะที่ไม่ได้คิดว่าจะโดนเจ้าของดุทีหลังหรือไม่ เหม่ยอิงคิดแค่ว่าเหวินเจิ้งคงทำงานต่อที่มาเก๊าอีกหลายวัน

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ใบหน้าขาวนวลเริ่มซับสีแดงก่ำ มือเรียวยกขึ้นยีผมตัวเองจนยุ่งเหยิง ในขณะที่เอ่ยพูดคนเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย

“น่ารำคาญ! คนที่นี่น่ารำคาญกันหมด!” พูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง

“สามีบ้าสามีบออะไร แค่พูดดี ๆ กับภรรยายังทำไม่ได้เลย!”

“ไท่เหวินเจิ้ง ไอ้คนเฮงซวย!” หลากหลายคำด่าถูกเอ่ยออกมาโดยไร้การยั้งคิด เหม่ยอิงตอนนี้ทำได้แค่ระบายความอึดอัดใจตลอดหลายวันมานี้ของตัวเองผ่านแก้วแอลกอฮอล์ในมือ

อึดอัดจะตายอยู่แล้ว! แค่เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้สักอย่างก็หมดกำลังใจในการใช้ชีวิตไปแล้วเกือบครึ่ง แล้วนี่ต้องมาพบว่าสามีกับคนในบ้านสามีไม่ต้อนรับเธออีกเนี่ยนะ?

“ฟื้นขึ้นมาทำไมกันเหม่ยอิง หลับไปเกือบเดือนแล้วทำไมต้องตื่นขึ้นมาอีกด้วย” เสียงหวานเริ่มอู้อี้เมื่อเหม่ยอิงซุกหน้าลงกับแขนตัวเอง หญิงสาวไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้เหวินเจิ้งและจงเซ่อกลับมาถึงคฤหาสน์แล้ว

จงเซ่อทอดมองแผ่นหลังบางของนายหญิงพลางแสดงสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก เพราะเขาได้ยินประโยคเมื่อกี้ชัดเจนทุกถ้อยคำ ครั้นเมื่อกำลังจะเดินเข้าไปเพื่อห้ามไม่ให้เหม่ยอิงดื่มต่อ กลับมีมือของใครบางคนวางลงที่ไหล่เสียก่อน

“...” เหวินเจิ้งส่งสัญญาณให้ลูกน้องตัวเองออกไป จงเซ่อค้อมศีรษะลง

“รู้แบบนี้หลับไปตลอดเสียก็ดี—”

“จะกินคนเดียวให้หมดขวดเลยหรือไง” ประโยคถูกแทรกขึ้นด้วยเสียงของบุคคลมาใหม่ เหม่ยอิงพยายามเพ่งตามองแต่เปลือกตามันหนักอึ้ง เธอรับรู้ได้แค่กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ที่ค่อย ๆ ขยับมาใกล้กันเพียงแค่นั้น

“ใคร? อย่ามายุ่งกับฉันนะ—อื้อ!” เสียงหวานร้องขึ้นยามแก้วในมือถูกคนข้าง ๆ ดึงไปให้ห่างจากตัวเอง เหม่ยอิงพยายามคว้าอีกครั้ง

“เอาคืนมา ทำบ้าอะไรเนี่ย”

“สร้างเรื่องสร้างราวไม่เว้นวัน” เหวินเจิ้งบ่นเสียงขุ่น เมื่อเห็นว่าไวน์แดงที่ภรรยาเขาดื่มอยู่เป็นไวน์จากปีหายากขนาดไหน

“ก็บอกให้เอาคืนมา” มือไม้ปัดป่ายอยู่ตรงหน้าสร้างความรำคาญให้เหวินเจิ้งไม่หยอก ครั้นเห็นว่าเหม่ยอิงพยายามจะดื่มไวน์ในแก้วให้ได้ เขาจึงยกมันขึ้นจรดริมฝีปากแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด

“นี่!”

“ฉันไปทำงานไม่กี่วัน ภรรยากลายเป็นคนติดเหล้าไปแล้วหรืออย่างไร?”

“ก็บอกว่าให้เอาคืนมาไง!” เหม่ยอิงตอนนี้ดื้อด้านจนเหวินเจิ้งเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด เขาเห็นว่าหากเป็นแบบนี้เธอคงขึ้นไปนอนบนห้องด้วยตัวเองไม่ไหวแน่

“ตั้งสติหน่อยเถอะ อยากอาการทรุดจนต้องไปนอนโรงพยาบาลอีกรอบรึไง”

“ก็ดีกว่าที่นี่ อย่างน้อยฉันก็ยังมีคนให้คุยด้วย”

“...”

“...อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหงาแบบนี้” ว่าจบร่างเล็กก็ฟุ่บหน้าลงจนเกือบกระแทกกับขอบของเคาน์เตอร์ โชคดีที่เหวินเจิ้งรองมือไว้ได้ทัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะช้อนร่างปวกเปียกของภรรยาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่ของคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงยามอยู่ในอ้อมแขนสามีกลับน้อยนิดเสียเหลือเกิน

“ปล่อย อึก...ปล่อยนะ” คนเมายังแผลงฤทธิ์

“หุบปากเสียบ้างเถอะ” ขายาวเริ่มก้าวออกจากห้อง มีจุดมุ่งหมายคือห้องนอนของเหม่ยอิง

“ไม่...นี่!” เหม่ยอิงดิ้นไปมา แต่แรงแค่นั้นไม่ทำให้เหวินเจิ้งสะทกสะท้าน

“ถ้าหุบไม่ได้ก็เรียกชื่อฉันให้ถูก”

“...”

“อยากเรียกคุณเหวินหรือเฮียเฉย ๆ ฉันก็ไม่ว่า” คราวนี้คนได้ฟังถึงกับนิ่งไป จากที่ดื้อรั้นก่อนหน้าก็เหมือนจะเพิ่งวิเคราะห์อะไรบางอย่างได้

“เงียบทำไม ไม่โวยวายต่อหรือไง” เหวินเจิ้งถาม ใบหน้าหล่อเหลาฉายความร้ายกาจขึ้นมา

“หรือชื่อของฉันมันพิเศษขนาดนั้นถึงทำให้เธอปิดปากเงียบได้ขนาดนี้?” เหม่ยอิงกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อกี้ทำให้เธอไม่สามารถประมวลผลอะไรได้เท่าไรนัก

“วะ…เหวินเจิ้ง” ดวงตาหลุบมองคนในอ้อมแขน ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร เขาเปิดประตูห้องนอนภรรยาก่อนจะพาเหม่ยอิงไปจนถึงเตียง

“พักผ่อนซะ เพราะต่อให้จะอึดอัดแค่ไหนเธอก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อ” เสียงทุ้มเอ่ยเนิบนาบ เขาหันหลังจะเดินออกจากห้องแต่กลับโดนมือขาวรั้งชายเสื้อไว้ เหวินเจิ้งหันกลับไปมอง คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัย

“เมื่อก่อนฉันทำผิดร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงหวานยามนี้ถามแบบกระท่อนกระแท่น เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งกว่าเดิมเต็มที

“เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องรับผลให้ไหวใช่หรือเปล่า”

“...” เหวินเจิ้งไม่ได้ตอบ และเขาไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้

“แค่อยากให้ใจดีบ้าง...”

“...”

“ก็แค่...” เหวินเจิ้งมองคนบนเตียงที่พูดอยู่ดี ๆ ก็หลับไปกลางอากาศ เขาถอนหายใจแผ่วก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นคลุมให้ภรรยาอย่างไม่มีทางเลือก

ทุกคำพูดและคำถามของเหม่ยอิงฉายซ้ำอยู่ในหัว ใบหน้าอ่อนแอที่เหวินเจิ้งเพิ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก

ไม่รู้สิ...มันใหม่สำหรับเขาเสียจนพูดไม่ออก

วันต่อมาเหม่ยอิงพบว่าตัวเองมีไข้ เพราะความคึกคะนองเมื่อคืนเป็นผลให้วันนี้นายหญิงตระกูลไท่ไม่ลงไปทานข้าวเช้า

เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องเป็นผลให้ร่างระหงต้องแบกสังขารขึ้นมายืนให้ได้ พบว่าเป็นคุณป้าแม่บ้านที่ขึ้นมาตามกัน เหม่ยอิงจึงปฏิเสธว่าจะไม่ทานข้าวเช้า กระทั่งเวลาผ่านไปสักพักก็มีคนมาเคาะประตูอีกครั้ง

“คุณป้ามีอะไรอีกหรือคะ—” เปิดมาพร้อมกับคำถามแต่ก็ต้องชะงัก เพราะคนที่ยืนอยู่คือเหวินเจิ้ง เขากำลังพับแขนเสื้อพลางมองกันอย่างพิจารณา

“มาอยู่แค่ไม่กี่วันแต่ตื่นสายแล้วหรือไง” เหม่ยอิงเงียบ เธอจำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อคืนเธอเหมือนจะทะเลาะกับเหวินเจิ้ง แต่ก็จำได้แค่ลาง ๆ เท่านั้น ตอนนี้เหม่ยอิงปวดหัวเกินกว่าจะนึกมัน

“เปล่าค่ะ วันนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ก็เลยอยากพักต่อสักหน่อย” เมื่อได้ฟังคำตอบเหวินเจิ้งถึงกับเงียบไป เขามองผ่านไหล่ของเธอก็เห็นว่าในห้องยังปิดไฟและปิดม่านอยู่

“ลงไปทานข้าวแล้วทานยา” ร่างสูงพูดแค่นั้น แต่จริง ๆ ในใจเขาเอ่ยตำหนิเหม่ยอิงหลากหลายคำ ทั้งไม่เคร่งครัดกับตัวเองทั้ง ๆ ที่อาการป่วยไม่ได้เหมือนคนทั่วไป และเมื่อคืนแม้พยายามห้ามแล้วแต่เธอก็ยังดื้อรั้นเอาแต่ดื่มไวน์ไม่ยอมหยุด

มันน่าดุให้หงอยเหมือนเมื่อคืนอีกรอบซะจริง

“แต่ว่า...”

“จะไปหรือไม่ไป” ทั้ง ๆ ที่ดูเป็นคำถามแบบมีตัวเลือกแต่เหม่ยอิงรู้สึกว่าไม่มี เธอถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยอมตกลงในที่สุด

ครั้นทานมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ยังเห็นว่าเหวินเจิ้งยังไม่ไปบริษัท เขายืนคุยงานกับจงเซ่อดูเคร่งเครียด เหม่ยอิงแอบมองทั้งคู่เงียบ ๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดที่มือหนาของร่างสูงซึ่งกำลังถือเอกสารอยู่

ที่นิ้วนางด้านซ้ายของเขานั้นมีแหวนสวมอยู่ด้วย

ดวงตาสีสวยกลับมามองที่นิ้วมือตัวเองแต่ไม่เห็น ก่อนหน้านี้ที่นอนโรงพยาบาลหมอคงให้ถอดออกไป เหม่ยอิงลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมตัวจะไปหาดูบนห้อง แต่เธอกลับโดนคนเป็นสามีเห็นเข้าแล้วเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน

“อย่าเพิ่งไป” ขาเรียวก้าวกลับไปทางเดิม จงเซ่อค้อมศีรษะให้ทั้งคู่แล้วเลี่ยงออกมาเพื่อมอบเวลาส่วนตัวให้เจ้านาย

“...?” เหวินเจิ้งยื่นซองสีน้ำตาลมาให้ เหม่ยอิงขมวดคิ้วงุนงง

“ประวัติของตระกูลจ้าวทั้งหมด ป๊าเธอกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันซื้อเวลาไว้ให้เพราะเขายังยุ่ง ๆ แต่คิดว่าไม่นานนี้เขาคงแวะมาหา ใช้เวลาว่างอ่านซะ” เหม่ยอิงรับมาไว้ในมือ ก่อนหน้านี้เธอก็สงสัยว่าทำไมเหวินเจิ้งถึงปิดเรื่องนี้กับครอบครัวของเธอไว้ แต่อย่างไรเสียเหม่ยอิงก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเธอยังไม่อยากให้คนเป็นพ่อแม่รับรู้เช่นกัน

เมื่อเสร็จเรื่องที่จะพูดแล้วร่างสูงก็เดินออกไปทันที เขาไม่ต่อบทสนทนาอีก ตอกย้ำให้เหม่ยอิงรู้สึกว่าชีวิตแต่งงานของเธอและเหวินเจิ้งช่างแสนเบื่อหน่าย ใช้ชีวิตกันคนละเวลา แยกห้องนอน อีกทั้งทุกเรื่องที่พูดกันก็มีแค่เรื่องจริงจังและมีถกเถียงกันตามประสาก็เท่านั้น เธอไม่ค่อยแปลกใจที่ตัวเองในอดีตต้องแอบขโมยรถแล้วหนีออกไปเที่ยวเล่น ก็คฤหาสน์ตระกูลไท่มันทั้งน่าเบื่อและอึดอัดแบบนี้นี่เอง

To be continued…

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 4 หนึ่งวันกับเจินจู

    ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 3 เหม่ยอิงกับผ้าปิดตา

    หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 2 อย่าทำให้สามีหึง

    เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 1 อดีตของผู้ชิงชังภรรยา

    หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนจบ กันและกันตลอดไป

    ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   บทที่ 29 ครอบครัวของเรา

    ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status