แชร์

บทที่ 6 บ้านตระกูลจ้าว

ผู้เขียน: กุญแจฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-29 06:00:57

วันต่อมาเรียกได้ว่าหน้าสื่อข่าวแทบทุกสำนักต้องมีข่าวงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ของฮุ่ยหมิง และแขกคนสำคัญอย่างไท่เหวินเจิ้งและจ้าวเหม่ยอิงกันทุกช่อง ถึงจะมีรูปให้เอามาลงได้แค่ไม่กี่รูปแต่กลับทำรายได้พอสมควร เพียงแค่พาดชื่อไท่เหวินเจิ้งก็เรียกยอดคนดูมากมาย

ส่วนคนที่เป็นหัวข้อร้อนแรงอยู่ตอนนี้กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะกำลังจิบชาและทานมื้อเช้าอย่างสบายใจ

เมื่อคืนเขาก็ทำรายได้ให้ตัวเองพอสมควรกับการได้พูดคุยกับคนในงานของฮุ่ยหมิง ทั้งการร่วมลงทุน ทั้งส่วนแบ่งรายได้ที่เสนอให้เขาช่วยเป็นหุ้นส่วนนั้นเหวินเจิ้งพิจารณาและดูท่าจะรับข้อเสนอได้จากหลายบริษัท

“อย่าเขี่ยเต้าหู้ออกเหม่ยอิง” สุรเสียงทุ้มของสามีทำเอาคนที่นั่งทานมื้อเช้าด้วยกันอยู่สะดุ้ง นึกว่าเขาจะไม่ได้สนใจกันอยู่เสียอีก ใบหน้าหวานฉายความแง่งอนครู่หนึ่ง

“ก็ฉันไม่ชอบนี่คะ”

“ทำตัวเป็นเด็กไปได้” เหม่ยอิงมองเหวินเจิ้งด้วยสายตาไม่พอใจ แค่ไม่ชอบเต้าหู้ไม่เห็นต้องว่ากันแบบนั้นก็ได้นี่? มีแค่เด็กหรือไงที่ไม่ชอบทาน ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่ทานเหมือนกันนั่นแหละ!

“หยุดด่าฉันในใจ”

“แหม เดี๋ยวนี้รู้ถึงความคิดฉันแล้วเหรอคะ อีกอย่างใครจะกล้าด่าคุณเหวินล่ะคะ” แม้พูดคล้ายจะเป็นฝ่ายที่อยู่รองกว่าแต่สีหน้าไม่เป็นเช่นนั้น เหวินเจิ้งส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับความดื้อรั้น เขาวางช้อนในมือลงแล้วมองอีกคนอย่างคาดโทษ

“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นสัปดาห์นี้เราจะทานแค่เมนูที่มีเต้าหู้ทั้งสัปดาห์เลยเธอก็จะไม่ด่า ไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” จบคำถามทำเอาคนฟังอ้าปากพะงาบ

คนแบบไท่เหวินเจิ้งนี่มัน!

แต่ในขณะที่สงครามขนาดย่อม ๆ กำลังจะเริ่มขึ้นมานั้น คนที่ช่วยยุติก็คือจงเซ่อที่เดินเข้ามาค้อมศีรษะพลางรายงานหัวข้อที่ทำให้ทั้งคู่ต้องสีหน้าเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง

“ท่านครับ คุณหวังฝูมาขอพบ” ซึ่งหวังฝูก็คือบิดาของเหม่ยอิงนั่นเอง เธอรีบตวัดสายตาไปมองเหวินเจิ้งทันที

“เอ่อ...ป๊ามางั้นเหรอจงเซ่อ” ก่อนจะถามย้ำลูกน้องคนสนิทของสามี จงเซ่อพยักหน้าแทนคำตอบ

“ตอนนี้คุณหวังอยู่ที่ห้องนั่งเล่นครับ” เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเหวินเจิ้งจึงเอ่ยสั่ง

“เข้าใจแล้ว เตรียมน้ำชาด้วย” จงเซ่อค้อมศีรษะรับคำ ก่อนที่เหวินเจิ้งจะผุดลุกขึ้นเต็มความสูง

“ลุกสิ”

“...”

“ไปหาป๊าเธอ” ดวงตากลมโตช้อนมองสามีอย่างตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เหม่ยอิงยังไม่ทันได้ตั้งตัวดีนัก

ถ้าป๊าจับได้เธอจะทำอย่างไรดี?

ทว่าก็ไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองมากนัก เหม่ยอิงยอมลุกขึ้นเดินเคียงคู่สามีไปยังห้องรับแขก ในสมองประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เธอรู้ดีว่าตอนนี้กิจการที่บ้านดีขึ้นมากแต่ยังไม่มั่นคง ไหนจะโรคประจำตัวของบิดาทำให้เหม่ยอิงต้องย้ำกับตัวเองในใจหลายครั้งว่าเธอต้องเหยียบอาการป่วยของตัวเองไว้ให้มิด! หากป๊ารู้เรื่องนี้เข้าแล้วอาการกำเริบคงไม่ดีแน่

เพียงแค่ก้าวเข้าไปยังห้องรับแขกก็โดนคนที่มานั่งรออยู่ก่อนแล้วผุดลุกขึ้น หวังฝูในชุดคอจีนสีสดตรงปรี่มาหาลูกสาวแล้วสวมกอดเต็มอก เขามีส่วนสูงเท่ากับชายจีนทั่วไป รูปร่างสมส่วน แม้ใบหน้าและหลังมือเหี่ยวย่นตามวัยแต่ก็ยังดูเป็นคนที่มีภูมิฐานอย่างมาก ดวงตาเรียวรีสีอ่อน บรรยากาศรอบตัวที่เคยดุดันก่อนหน้านี้เริ่มอบอุ่นลงยามมีลูกสาวในอ้อมแขน

“ป๊าคิดถึงจังเลยอาเหม่ย กว่าจะเคลียร์งานเสร็จแทบลืมวันลืมเดือน ไหนดูซิ ผอมลงหรือเปล่าลูก?” เขาพลิกท่อนแขนของลูกสาวไปมา ไม่รอให้ตอบก็พูดต่อ

“จริงสิ...ก่อนหน้านี้อาเหวินบอกว่าหนูป่วยหรือ? ตอนนี้หายดีหรือยัง? กินข้าวได้ปกติหรือเปล่า” ไม่ทันให้ได้ทำความเคารพก็โดนรัวคำถามใส่ยกใหญ่ เหม่ยอิงอึกอักจนเขาเริ่มได้สติแล้วยิ้มเจื่อน

“ขอโทษที ๆ ป๊าคงตื่นเต้นมากเกินไป” หวังฝูหัวเราะในลำคอ เขาหันไปหาเหวินเจิ้งก่อนเอ่ยทัก

“ฉันไม่ได้มาขัดเวลางานของอาเหวินหรอกใช่ไหม?”

“เปล่าครับ พวกเราทานมื้อเช้ากันเสร็จพอดี” ครั้นได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสามจะนั่งลงเมื่อเหวินเจิ้งเอ่ยให้นั่งคุยกัน

“ไหน ลูกสาวป๊าเป็นอย่างไรบ้าง?” เริ่มกลับมาที่เหม่ยอิงอีกครั้ง คราวนี้เธอจึงเริ่มพูดตอบอย่างเป็นธรรมชาติ และพอได้เจอหวังฝูจริง ๆ แล้วถึงจดจำอะไรไม่ได้ หากแต่ความคุ้นเคยก็ทำให้เหม่ยอิงสบายใจ

“หนูสบายดีค่ะ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ป๊าไม่ต้องห่วงนะคะ” รอยยิ้มน่ารักทำให้บิดาเบาอกเบาใจ หวังฝูรักและหวงแหนเหม่ยอิงเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้กันดี เขาทั้งตามใจและเลี้ยงดูเหม่ยอิงดั่งไข่ในหิน หากไม่มีสัญญาและบุญคุณของไท่เหวินเจิ้ง บางทีชาตินี้ทั้งชาติเหม่ยอิงอาจไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำไป

“ได้ยินแบบนั้นก็เบาใจขึ้นเยอะ ม๊าเขาก็เป็นห่วง แต่ก็นะเพราะลูกสาวออกเรือนมาขนาดนี้แล้วก็เลยเกรงใจที่จะติดต่อมาบ่อย ๆ” ยิ่งช่วงนั้นที่ไม่ว่าจะโทรฯมาหาลูกสาวกี่ครั้งก็มักจะได้เหวินเจิ้งหรือลูกน้องเป็นคนรับสายเสียทุกที คุณนายฉีถงหรือมารดาของเหม่ยอิงจึงไม่ค่อยกล้าโทรมารบกวน

ตอนนั้นที่หมายถึงก็คือตอนที่เหม่ยอิงหมดสติไม่รับรู้เรื่องราวที่โรงพยาบาลนั่นเอง...

“อ่า...หนูรู้สึกผิดกับม๊าจัง”

“งั้นเอาแบบนี้สิ คืนนี้เรากลับไปกินข้าวที่บ้านกันดีไหม ป๊าจะให้แม่บ้านกับม๊าเตรียมของโปรดอาเหม่ยให้เต็มโต๊ะเลย” จบประโยคแล้วเหม่ยอิงถึงกับหันไปหาเหวินเจิ้ง ซึ่งร่างสูงไร้ทีท่ากังวลและยังคงจิบชาอย่างนิ่งเงียบเช่นเดิม

“อาไท่เหวินไม่ว่างรึ ให้ป๊ามารับไหม เราคงไม่ว่าอะไรนะ?” พอเห็นท่าทีของลูกสาวจึงเอ่ยขึ้น ช่วงท่อนแรกเขาถามลูกสาว ส่วนประโยคหลังหันไปถามลูกเขย

“เปล่าครับ ผมว่าง” แต่แล้วประโยคคำตอบของเหวินเจิ้งก็ทำคนฟังชะงัก เหม่ยอิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนเริ่มทานมื้อเช้ายังได้ยินจงเซ่อร่ายยาวถึงตารางงานวันนี้อยู่เลย

“ผมกับอาเหม่ยจะไปทานมื้อเย็นด้วย คุณหวังไม่ต้องลำบากมาที่นี่อีกก็ได้ครับ”

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แต่ถ้าอาเหวินว่างก็ดีแล้ว ไปทานมื้อเย็นด้วยกันนี่แหละ พร้อมหน้าพร้อมตา” หวังฝูยิ้มกว้างในขณะที่เหม่ยอิงนั่งนิ่งไปเสียแล้ว

ผ่านไปอีกสักพักที่เขานั่งคุยกับลูกสาวเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนกระทั่งชาหมดถ้วยพอให้หายคิดถึงไปบ้าง ตอนนั้นหวังฝูถึงได้บอกเธอและเหวินเจิ้งว่าเขาจะกลับไปบอกคุณนายฉีถงเสียก่อน ทิ้งท้ายด้วยการบอกให้เหวินเจิ้งอย่าโหมงานมาก ก่อนจะขยับตัวกอดลูกสาวอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่าเจอกันตอนมื้อเย็นวันนี้

ครั้นภายในห้องรับแขกเหลือกันแค่สองคนเหม่ยอิงถึงกับรีบตวัดตามองสามี เธอวางฝ่ามือลงบนโต๊ะแล้วถามเสียงสูง

“ไม่มีงานจริง ๆ หรือคะ?” ดวงตาสีน้ำตาลสวยเหลือบมองภรรยาครู่หนึ่ง

“มี”

“อ้าว แล้วทำไมคุณเหวินถึงตอบป๊าไปแบบนั้น”

“ควรให้ฉันปล่อยภรรยาไปคนเดียวหรือ?” จบคำตอบของเหวินเจิ้งแล้วเหม่ยอิงถึงกับเม้มริมฝีปาก แม้รู้ดีว่าที่ที่เธอจะไปคือบ้านของตัวเองแท้ ๆ แต่คงเพราะกลัวว่าเหม่ยอิงจะกดดันตัวเองมากเกินไป

“ฉันยังไม่อยากให้คุณหวังรู้เพราะจะมีปัญหากับเขาซึ่งไม่ใช่เรื่องดี ส่วนเธอไม่อยากให้เขารู้เพราะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขา เพราะฉะนั้นก็คือเราควรปิดเรื่องที่เธอสูญเสียความทรงจำไปก่อน เรื่องนี้เราก็มีความคิดที่ตรงกันนี่?” ประโยคยาวยืดของเหวินเจิ้งมันถูกทั้งหมด เหม่ยอิงเถียงไม่ได้จึงแค่นั่งฟังนิ่งก่อนพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ เธอยังไม่อยากให้ป๊ารู้เรื่องนี้จริง ๆ มันคงจะทำให้เขาเครียดไม่ใช่น้อยและอาการอาจแย่ลงได้

“แต่ก่อนจะห่วงคนอื่น วันนี้มีตรวจสุขภาพไม่ใช่หรือ?” ทว่าความคิดก็ถูกหยุดไว้เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยถึงตารางส่วนตัวของเธอวันนี้ ทำให้เหม่ยอิงนึกขึ้นมาได้ เธอเกือบลืมไปแล้วว่าวันนี้เธอมีตรวจสุขภาพ

“จริงด้วยสิ...ต้องไปโรงพยาบาลอีกแล้ว” เสียงหวานบ่นอุบอิบ รู้สึกว่าโรงพยาบาลแทบจะเป็นบ้านหลังที่สอง ทว่าการบ่นนั้นเหวินเจิ้งได้ยิน

“หมอคงมาถึงก่อนเที่ยง ไปเตรียมตัวซะสิ” เหม่ยอิงเอียงคออย่างสงสัย เขาพูดว่าหมอมาถึงที่นี่?

“หมายถึงฉันไม่ต้องไปโรงพยาบาลเหรอคะ?”

“ใช่...เพราะตอนเที่ยงฉันไม่ว่าง” คำตอบนั้นทำเอาเหม่ยอิงงุนงงมากขึ้นไปอีก เขาไม่ว่างแล้วเกี่ยวอะไรกับที่เธอต้องไปโรงพยาบาลด้วยเล่า? อย่างไรเธอก็ต้องไปกับลูกน้องไม่ใช่กับเขาอยู่แล้วนี่นา?

แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป สุดท้ายเหม่ยอิงจึงต้องไปเตรียมตัวเพื่อรอคุณหมอมาตรวจสุขภาพ กระทั่งเวลานั้นมาถึง คุณหมอมาพร้อมกับเครื่องมือครบครัน เขาทักทายอย่างสุภาพและนอบน้อม ยิ่งรู้ว่าประมุขตระกูลไท่จะอยู่ด้วยในตอนที่เขาตรวจก็นึกเกร็ง ทว่าเพราะจรรยาบรรณจึงต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ช่วงนี้อาการเป็นอย่างไรบ้างครับ มีการเห็นภาพซ้อนหรืออาการปวดหัวเวลาเห็นสิ่งของใดเป็นพิเศษหรือเปล่า” การตรวจเริ่มต้นขึ้น เหม่ยอิงจึงพูดคุยโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ เธอค่อนข้างมีท่าทีจริงจังพอสมควร ยามคุณหมอเอ่ยสั่งอะไรก็นั่งหลังตรงฟังอย่างตั้งใจ

คนข้าง ๆ อย่างเหวินเจิ้งทอดมองภรรยานิ่ง ยามหัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลตอนที่คุณหมอพูดเรื่องการสแกนสมอง พลันรู้ตัวอีกทีก็เผลอยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบางคล้ายปลอบประโลม

“...” ดวงตาสีสวยหันมามองเขา เผลอขยับตัวเข้าหาสามีเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมเย็นชวนให้คลายกังวลไปได้

“นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ สุขภาพคุณหนูเหม่ยดีขึ้นมากแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ” ริมฝีปากยกยิ้มงดงามชวนให้คนมองตาพร่า แต่คุณหมอก็ต้องกดหน้ามองต่ำครั้นเหลือบไปมองอีกคนที่กำลังมีสีหน้ามืดครึ้มจ้องเขาอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลคล้ายมีกระแสไฟภายในนั้นจนขนลุกวาบ

“งะ งั้นผมขอตัวนะครับ สวัสดีครับคุณไท่เหวิน ดูแลสุขภาพด้วยนะครับคุณหนูเหม่ย”

“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันเดินไปส่งนะคะ”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับแค่นี้เอง คุณหนูพักผ่อน เอ่อ...พักผ่อนกับคุณเหวินเถอะครับ” ไม่ทันให้ได้ตอบอะไรเขาก็รวบกระเป๋าเดินลิ่วหายไปจากห้อง เหม่ยอิงได้แต่ร้องอ้าวในลำคอแต่ก็ลุกขึ้นตามไม่ทัน

“จะไปทำงานแล้วเหรอคะ” เหม่ยอิงถามเมื่อเห็นคนเป็นสามีลุกขึ้นบ้าง เขาขานรับในลำคอ

“อืม” ดวงตาคมทอดมองภรรยาที่อึกอักคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ขายาวที่ควรจะก้าวออกจากห้องกลับยืนนิ่ง รอกระทั่งให้คนตัวเล็กกว่าตบตีกับตัวเองในสมองให้เสร็จ

“เอ่อ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนนะคะ” จนเหม่ยอิงพูดออกมา ลืมความโกรธที่โต๊ะอาหารก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น วันนี้เหวินเจิ้งดูใจดีกว่าเก่ามาก ทั้งเรื่องป๊าของเธอและเรื่องตรวจสุขภาพ ทั้ง ๆ ที่คนเป็นประมุขอย่างเขามีงานล้นมือแท้ ๆ

“นึกว่าจะไม่ได้ยินซะแล้ว” แต่ความยินดีปรีดาอยู่ได้แค่ครู่หนึ่ง เหม่ยอิงกลับมาอมลมในปากอีกครั้ง

“ฉันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดไม่รู้ว่าควรจะดื้อใส่ตอนไหนเสียหน่อย”

“ยอมรับว่าตัวเองดื้อได้แล้วหรือ?”

“เอ๊ะ...”

“ไปทำงานแล้ว อยู่บ้านดี ๆ อย่าซุกซน” ไม่ทันให้เธอตอบอะไรเขาก็หันหลังออกจากห้องทันที เหม่ยอิงที่ยังควานหาเสียงตัวเองไม่เจอจึงได้แต่ยืนนิ่ง

เหวินเจิ้งเห็นว่าเธอเป็นเด็กอีกแล้ว!

จนกระทั่งเขาไปทำงาน นายหญิงแห่งตระกูลไท่จึงโดนสาวใช้คนสนิทยึดตัวไปเป็นหุ่นลองเสื้อเป็นชั่วโมง ด้วยเหตุผลที่ว่ากลับไปทานข้าวที่บ้านพร้อมสามีทั้งทีต้องแต่งตัวให้ดูดีเข้าไว้

เพื่ออะไรกันนะ?

...

ตารางงานของประมุขตระกูลไท่ถูกปรับเปลี่ยนกะทันหัน และแทนที่ด้วยการไปทานข้าวที่บ้านของภรรยา จงเซ่อรับคำสั่งให้ไปพักผ่อนได้ตั้งแต่เย็น เหตุเพราะวันนี้เหวินเจิ้งจะเป็นคนขับรถให้ภรรยาด้วยตัวเอง

“สาวใช้บอกว่าคุณเหวินเรียกหาฉันหรือคะ?” เหม่ยอิงเอ่ยพูดยามขาเรียวก้าวมาหยุดภายในห้องแต่งตัวของเหวินเจิ้งหลังจากที่ได้ขออนุญาตแล้ว เขาตวัดสายตามองเธอแล้วพยักหน้ารับแผ่วเบา

ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยกั๊กสูทสีเข้มกับกางเกงผ้าสีเดียวกัน สไตล์การแต่งตัวแปลกตาทำให้เหม่ยอิงเผลอจดจ้องอยู่สักพักหนึ่ง

“มานี่สิ” กระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยสั่งพลางกระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้เหม่ยอิงขยับเข้าไปใกล้

ดวงตากลมโตมองกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกลางซึ่งเหวินเจิ้งถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เขาเปิดออกเผยให้เห็นด้านในคือสร้อยคอจากแบรนด์อันดับต้นของโลก คอลเลคชั่นของฤดูใบไม้ผลิที่ยังไม่เปิดตัววางขายอย่างเป็นทางการ ทว่าด้วยอำนาจของไท่เหวินเจิ้งนั้นไม่ยากที่จะได้มาเพื่อมอบให้ภรรยา คนตัวเล็กชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองเขาอย่างสงสัย

“รับไปสิ นอกจากแหวนก็ยังเลือกเครื่องประดับอื่นไม่ได้ไม่ใช่หรือ” ดวงตาสีฟ้าเทาพิจารณาสิ่งนั้นอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกแปลกใจที่เหวินเจิ้งกำลังมอบของให้ตัวเอง

“มัวแต่มองแล้วเมื่อไหร่จะได้สวม หันหลังมาสิ” แทบไม่ให้ตั้งตัวเพราะพอเสียงทุ้มพูดจบแล้วเขาก็หยิบสร้อยคอขึ้นแล้วขยับให้เหม่ยอิงหันหลังให้กัน มือหนาข้างหนึ่งถือวิสาสะรวบผมยาวแล้วกระซิบเสียงแผ่วให้เหม่ยอิงจับไว้ คนตัวเล็กยังไม่ทันประมวลผลดีนักแต่ก็ยอมทำตาม

สัมผัสเย็น ๆ ชวนให้แอบสะดุ้งเล็กน้อย เหวินเจิ้งค่อย ๆ สวมให้อย่างระมัดระวัง ร่างสูงยืนทาบอยู่ด้านหลังซึ่งเหม่ยอิงเพิ่งจะเห็นว่าตรงหน้าพวกเธอคือกระจกบานใหญ่ มันกำลังสะท้อนภาพของทั้งคู่ชวนให้หัวใจสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบของเธอนั้นดูน้อยนิดเมื่อด้านหลังคือสามีที่กำลังโอบกันอยู่...

“...” สวมเสร็จแล้วแทนที่เขาจะผละตัวออกแต่กลับไม่ทำ เหวินเจิ้งใช้ดวงตาสีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทอดมองเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมากระทั่งเป็นเหม่ยอิงที่ขยับตัวออก

“ขะ...ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยตะกุกตะกัก อยู่ ๆ ที่แก้มก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“เอ่อ แต่ว่ามันจะเข้ากับต่างหูที่ฉันใส่หรือเปล่าคะ ไม่รู้มาก่อนว่าคุณเหวินจะให้สิ่งนี้ก็เลยไม่ได้เลือกคู่สำรองไว้เสียด้วย” เหม่ยอิงรีบเปลี่ยนเรื่องชวนคุยไม่ให้บรรยากาศมันกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้ เธอยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้ ซึ่งเหวินเจิ้งสำรวจครู่หนึ่งก่อนตอบ

“สวยแล้ว” และแทนที่จะสามารถทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นดังเดิมได้แต่เหมือนจะยิ่งหนักกว่าเก่า ฝั่งคนพูดน่ะไม่เท่าไหร่แต่คนฟังนี่สิ! แทบอยากจะมุดพื้นหนีจากตรงนี้

เหวินเจิ้งอยู่ในอารมณ์ไหนของเขากันล่ะนี่!

กว่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์แปลกประหลาดนั้นมาได้ก็ทำเอาเหม่ยอิงเลิ่กลั่กไม่ใช่น้อย เธอรู้สึกว่าช่วงนี้เหวินเจิ้งดูจะรับมือยากกว่าแต่ก่อน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จ้องแต่จะตั้งแง่ใส่กันเหมือนครั้งแรกตอนเธอตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลก็ตามที

เหม่ยอิงเดินทางมาที่บ้านตัวเองกับสามีโดยเขาเป็นคนขับรถให้ เป็นครั้งแรกที่เธอได้นั่งรถกับเหวินเจิ้งสองคนโดยไม่มีจงเซ่อมาด้วยกัน ระหว่างทางไม่ได้มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งรถมาจอดถึงหน้าบ้าน

“คุณเหวิน” เหม่ยอิงเป็นฝ่ายเอ่ยเรียกสามีก่อน เหวินเจิ้งหันมาหาเธอพลางเลิกคิ้วเชิงถาม

“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะไปหลอกป๊ากับม๊า ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกสาวแต่กลับต้องนั่งอ่านเรื่องราวของพวกเขาราวคนนอก” สีหน้าเป็นกังวลและคำพูดตรงไปตรงมาทำให้เหวินเจิ้งชะงัก แน่นอนว่าเขาเข้าใจความรู้สึกนั้น หากแต่ร่างสูงยังคงนั่งนิ่ง รอฟังภรรยาพูดต่อ

“แต่ฉันก็ไม่อยากให้ป๊ารู้ ถ้าป๊าสุขภาพแย่ลงเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุแบบนั้นแล้วฉันคงจะรู้สึกแย่กว่า” ราวกับเรื่องที่ตบตีกับตัวเองในหัวมาตลอดทางถูกร่ายยาวให้สามีฟัง เหม่ยอิงช้อนตามองคนตรงข้ามซึ่งเหวินเจิ้งยังทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี สายตาดุคมที่ใช้ปกครองตระกูลตัวเองนั้นเริ่มอ่อนแสงลงมากยามรู้ว่าจริง ๆ แล้วภรรยาเขาก็เปราะบางกว่าที่คิด

เขาเริ่มคิดว่าบางทีตัวตนก่อนหน้าที่เหม่ยอิงจะความจำเสื่อมอาจจะไม่ใช่ตัวตนทั้งหมดของเธอก็ได้

“ถ้าคุณหวังรู้ว่าเธอปิดบังเรื่องนี้เพราะอะไร เขาจะไม่โกรธเธอ” ไม่ใช่ประโยคสวยหรูหรือการปลอบใจที่โอเว่อร์หากแต่ก็ทำคนฟังสงบใจลงมาก

บทสนทนาถูกหยุดไว้แค่นั้นเพราะที่ประตูมีคนมายืนรออยู่แล้ว และไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือม๊าของเหม่ยอิงเอง เธอกำลังวาดรอยยิ้มสดใสให้กับลูกสาว

“อิงอิงของม๊า คิดถึงจังเลย” ออกจากรถมาได้ก็โดนคุณนายฉีถงกอดจนจมอก เหม่ยอิงตั้งตัวไม่ทันแต่ก็ยังไปตามน้ำได้ กว่าจะทักทายกันสักพักและหวังฝูมาต้อนรับให้เข้าบ้าน มื้อเย็นวันนี้ดูจะพิเศษกว่าทุกวันสำหรับบ้านตระกูลจ้าว เพราะได้ประมุขตระกูลไท่มาร่วมทานด้วยกันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดเดียว

...

โชคดีที่นอกจากถามสารทุกข์สุขดิบและเรื่องทั่วไปแล้วก็ไม่ได้มีคำถามยาก ๆ ให้เหม่ยอิงได้ตอบ ใบหน้างามนั้นจึงคลายความกดดันลงไปได้เยอะกว่าตอนแรกที่มา

“โชคดีนะคะที่คุณเหวินมาด้วยม๊ากับป๊าก็เลยคุยเรื่องงานกันซะมากกว่า” เหม่ยอิงถอนหายใจยาว เธอเอนหลังพิงพนักโซฟา ตอนนี้เธออยู่กับเหวินเจิ้งสองคนที่ห้องนั่งเล่น ส่วนหวังฝูและคุณนายฉีถงมีปัญหาเรื่องงานเข้ามากะทันหันจึงขึ้นไปที่ชั้นสองกันเสียแล้ว

“อืม” เหวินเจิ้งตอบในลำคอ เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรนักเพราะชินชากับการที่ต้องคุยเรื่องธุรกิจตลอดเวลาอยู่แล้ว

“ครั้งนี้ฉันจะยอมเป็นรองให้คุณเหวินก็ได้”

“แล้วปกติฉันเคยแพ้ด้วยหรือไง?” เหม่ยอิงกลอกตาไปมาพลางทบทวน ปกติเวลาเถียงกันเธอเป็นฝ่ายแพ้ตลอดเลยงั้นหรือ?

เหวินเจิ้งมองปฏิกิริยาตอบรับนั้นเงียบ ๆ ตั้งแต่ที่เหม่ยอิงฟื้นจากการประสบอุบัติเหตุ วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้ใช้เวลาร่วมกับภรรยามากที่สุด นั่นทำให้พอจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงก็ไม่ได้มีนิสัยดื้อรั้นเพียงอย่างเดียว เวลายิ้มก็น่ามองขนาดนั้นทำไมเมื่อก่อนถึงเอาแต่แสดงสีหน้าบูดบึ้งใส่กันตลอดเวลาก็ไม่รู้

หืม...เขาคิดว่าน่ามองงั้นหรือ?

เหวินเจิ้งส่ายหน้าระอาให้กับความคิดแปลกประหลาดของตนเอง จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง หวังฝูเป็นคนลงมาก่อน เหม่ยอิงเห็นดังนั้นจึงถาม

“ม๊าล่ะคะ?”

“คุยโทรศัพท์อยู่น่ะ...คืนนี้อาเหม่ยนอนที่นี่กับป๊าดีไหม” ประมุขของบ้านว่าพลางยกยิ้มน้อยใหญ่ให้ลูกสาว จริง ๆ เขาก็ตั้งใจจะให้เหม่ยอิงมานอนที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว จึงทำทีเป็นชวนคุยตอนทานข้าวกระทั่งเวลาดึกดื่น

“ได้ใช่ไหมอาเหวิน” หวังฝูหันไปถามร่างสูง

“ตามใจเหม่ยอิงเลยครับ” ซึ่งแน่นอนว่าเหวินเจิ้งไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

“หรืออาเหวินอยากจะค้างที่นี่ด้วยดีไหม ขับรถดึก ๆ แบบไม่มีลูกน้องมาด้วยคงจะลำบาก” เขาพูดไปอย่างนั้น แต่รู้ดีว่าคนอย่างไท่เหวินเจิ้งย่อมปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรครับคุณหวัง” เหวินเจิ้งตอบ เขาทำงานดึกจนชินแล้ว แถมการป้องกันตัวของเหวินเจิ้งก็ไม่เป็นรองใคร หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นก็ย่อมไม่มีปัญหา

“เอาแบบนั้นหรือ งั้นเดี๋ยวไปส่งที่รถนะ อาเหม่ยขึ้นไปอาบน้ำก่อนก็ได้ลูก” หวังฝูว่า หากแต่ก็โดนลูกสาวรั้งไว้

“ไม่เป็นไรค่ะป๊า เดี๋ยวหนูไปส่งเขาเอง” เหม่ยอิงพูดจบก็ไม่รอให้บิดาได้แทรก เธอรีบจูงมือเหวินเจิ้งออกมา ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยหากแต่ก็ยอมเดินตามกระทั่งถึงรถ

“ขับรถกลับดี ๆ นะคะ ขอบคุณที่มาด้วยกัน”ดวงตาสีอ่อนทอดมองภรรยาของตัวเองที่มีสีหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้ยืนนิ่งมองเหม่ยอิงอยู่หลายนาที ปกติแล้วเขาไม่ควรใส่ใจแล้วรีบขับรถกลับไม่ใช่หรือ?

“อืม พรุ่งนี้จะให้จงเซ่อมารับ” เหม่ยอิงพยักหน้าแต่ถึงแบบนั้นดวงตายังฉายความงอแงให้เห็นอยู่ ริมฝีปากขบกัดเข้าหากันหลายครั้งคล้ายอยากจะพูดอะไรแต่ก็ลังเล

กระทั่งเหวินเจิ้งหันกลับไปเพื่อจะขึ้นรถ แต่จู่ ๆ ร่างสูงกลับถอนหายใจคล้ายหงุดหงิดตัวเองเต็มทนแล้วหันกลับมาใหม่

“มีอะไรคะ?” จนเหม่ยอิงต้องเอ่ยถาม ยิ่งเห็นสีหน้าคล้ายคนพ่ายแพ้ของเหวินเจิ้งก็ยิ่งสงสัย

“ช่างเถอะ คิดดูอีกทีแล้ววันนี้ฉันก็เพลียเกินกว่าจะกลับ อยู่ค้างที่นี่สักคืนก็แล้วกัน” คนได้ฟังประโยคนั้นตาโต จู่ ๆ เหวินเจิ้งก็รู้สึกว่าดวงตาสีฟ้าเทาคล้ายจะมีประกายระยิบระยับออกมา เหม่ยอิงเหมือนลูกแมวเปอร์เซียที่โดนเจ้าของลูบหัวลูบหาง ริมฝีปากระบายยิ้มอย่างไม่คิดปิดบัง

“จริงเหรอคะ คุณเหวินค้างที่นี่ด้วยเหรอคะ?” คนตัวเล็กแทบลืมเก็บอาการ เธอเห็นเหวินเจิ้งมีสีหน้าคล้ายอยากขำแต่ยังสำรวมท่าที ในแววตาฉายความเอ็นดูภรรยาตัวเอง

“กลับเข้าไปด้านในได้หรือยัง หรือจะยืนคุยต่อจนเป็นหวัดเพราะอากาศหนาวอยู่ตรงนี้?” ครั้นโดนถามจบก็รีบพากันกลับเข้าด้านใน หวังฝูที่ยืนรอลูกสาวอยู่ถึงกับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่าเหวินเจิ้งลืมอะไรหรือเปล่า

“คุณเหวินไม่ได้ลืมของหรอกค่ะ เขาแค่ลืมอิงไว้”

“...”

“คืนนี้ให้เขาค้างที่นี่ด้วยนะคะป๊า”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 4 หนึ่งวันกับเจินจู

    ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 3 เหม่ยอิงกับผ้าปิดตา

    หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 2 อย่าทำให้สามีหึง

    เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 1 อดีตของผู้ชิงชังภรรยา

    หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนจบ กันและกันตลอดไป

    ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   บทที่ 29 ครอบครัวของเรา

    ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status