โชคดีที่แม้จะปะทะฝีปากกันแต่เหวินเจิ้งก็ยอมทำอะไรง่าย ๆ ให้ทาน ไม่เช่นนั้นเหม่ยอิงคงจะไม่ได้นอนเพราะทนหิวทั้งคืนเป็นแน่ เช้าวันต่อมาเหม่ยอิงก็ต้องแปลกใจเพราะเธอโดนปลุกตั้งแต่เช้า ในขณะที่ยังไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรดีนักก็ถูกจับขึ้นมานั่งบนรถในตำแหน่งข้างเหวินเจิ้งเสียแล้ว
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม ก่อนจะหันไปมองเหวินเจิ้งซึ่งกำลังเลื่อนไอแพดด้วยท่าทีสบายอยู่ เขาไม่คิดจะตอบ ซึ่งกลายเป็นว่าจงเซ่อต้องเป็นคนรับหน้าที่นั้นเอง “ห้องเสื้อครับ...ร้านประจำของคุณเหวิน” “ห้องเสื้อ?” เธอทวนอีกครั้ง “ใช่...เย็นนี้เราต้องไปงานเลี้ยงของคนตระกูลหวง คู่ค้าของฉัน” คราวนี้เป็นเหวินเจิ้งที่ตอบ ซึ่งเหม่ยอิงก็ทวนคำอีกครั้งว่าทำไมเหวินเจิ้งถึงใช้คำว่าเรา? “ก็หมายถึงเธอไปกับฉัน สงสัยตรงไหน” จงเซ่อได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาหวังว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้นในรถ “ตระกูลหวงสนิททั้งกับฉันและตระกูลจ้าวของเธอ สถานการณ์บีบบังคับแบบนี้ฉันก็คงจะเฉไฉไปคนเดียวไม่ได้” และก่อนหน้านี้ตอนที่เหม่ยอิงยังไม่ฟื้นจากการประสบอุบัติเหตุฝั่งนั้นก็ถามถึงมาโดยตลอด ถึงเหวินเจิ้งจะหาข้ออ้างไปได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าครั้งนี้เธอยังไม่ไปอีกก็คงเป็นเรื่องน่าสงสัยเป็นแน่ “ฉันจะให้จงเซ่อบอกคร่าว ๆ เกี่ยวกับทางนั้นแล้วกัน ส่วนถ้ามีตรงไหนที่มันเกินกำลังของเธอฉันจะเป็นคนตอบให้เอง” เหม่ยอิงพยักหน้ารับ ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงต้องอยู่ติดกับเหวินเจิ้งตลอดช่วงงานเป็นแน่ ฝั่งจงเซ่อที่ได้ยินบทสนทนาก็ได้แต่แอบลอบยิ้ม ดูท่าเจ้านายของเขาจะใส่ใจนายหญิงขึ้นมากพอสมควร หากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนก็คงไม่คิดจะควงคู่เหม่ยอิงเข้างานสังคมแบบนี้แน่นอน ที่ห้องเสื้อซึ่งเป็นร้านที่ตัดเสื้อให้ไท่เหวินเจิ้งมายาวนานหลายปี วันนี้ก็ต้องเตรียมต้อนรับแขกประจำคนสำคัญและอีกอย่างก็รู้มาว่าภรรยาที่นิสัยเลื่องชื่อของประมุขตระกูลไท่คนนั้นก็มาด้วยกัน “ไม่ว่ายังไงก็ห้ามทำให้คุณหนูจ้าวไม่พอใจ ไม่อย่างนั้นร้านเราจะเสียชื่อ” ถึงแม้จะรู้ว่าเธอคนนั้นเอาแต่ใจแค่ไหนก็ต้องพยายามไม่ขัดใจเด็ดขาด เป็นถึงภรรยาคุณไท่เหวินมีอิทธิพลไม่ใช่น้อย ๆ สามารถทำให้ร้าน ๆ หนึ่งดับได้แค่เพราะอาจจะไปขัดใจเธอเข้า เฉียนเฉียนซึ่งเป็นเจ้าของร้านจึงจำเป็นต้องกำชับลูกน้องอย่างดี ใช้เวลาไม่นานมากแขกคนสำคัญก็มาถึง ซึ่งตอนนี้ที่ร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นเป็นเพราะเหวินเจิ้งได้สั่งจองไว้เป็นเวลาสองชั่วโมง “ยินดีต้อนรับค่ะคุณไท่ ยินดีต้อนรับค่ะคุณหนูเหม่ยอิง” เหล่าพนักงานต่างค้อมอย่างสุภาพ กับไท่เหวินเจิ้งนั้นเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งก็จริงแต่ก็ไม่เคยจะชินกับความหล่อเหลาและรังสีอันน่าเกรงขามนั้นเลยสักนิด เหวินเจิ้งเมื่อเห็นพนักงานทักทายตนเองจึงขานพลางพยักหน้ารับ “สวัสดีค่ะ” ส่วนกับจ้าวเหม่ยอิงนั้นพวกเธอเพิ่งจะเคยพบแบบใกล้ ๆ ครั้งแรก เธอคนนั้นทักทายกลับมาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทั้งเฉียนเฉียนและพนักงานชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหวานหยดกับดวงตาสีสวยเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งวันนี้ที่เธอสวมชุดตัวเล็กเข้ารูปอวดเอวบางร่างน้อยกับสีผิวขาวผ่องก็ทำเอาคนมองนิ่งไปหลายวินาที “ฝากภรรยาฉันด้วย” เสียงของเหวินเจิ้งช่วยดึงให้เฉียนเฉียนหลุดจากความคิด เธอพยักหน้ารับก่อนจะนำทางร่างระหงไป ซึ่งมีพนักงานตามไปอีกสองคน “คุณเหวินแจ้งมาว่าต้องการเป็นสีขาวฉันก็เลยให้พนักงานเตรียมให้คุณหนูเหม่ยอิงได้เลือกแล้วค่ะ ทางนี้เลยนะคะ” เฉียนเฉียนพูดอย่างสุภาพ เธอพยายามระมัดระวังทุกคำพูดของตัวเอง “ขอบคุณค่ะ” เหม่ยอิงตอบเสียงเบา รู้สึกแปลก ๆ กับการได้รับการปฏิบัติเช่นนี้อยู่เหมือนกัน “ชุดนี้เป็นยังไงคะคุณเหม่ยอิง ฉันว่าแบบนี้ช่วยทำให้อวดสัดส่วนได้มากเลยทีเดียวค่ะ” พนักงานคนแรกเริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง เหม่ยอิงพิจารณาตามที่อีกคนบอกซึ่งเดรสสีขาวที่เธอถืออยู่ก็ดูจะรัดรูปโชว์สัดส่วนไม่ใช่น้อย “อืม...แต่ฉันว่าไม่เหมาะกับงานเลี้ยงที่จะไปเท่าไหร่นะคะ มันอาจจะดูโป๊ไปสักหน่อย” เฉียนเฉียนเริ่มหน้าเสีย เธอกลัวจะโดนต่อว่าที่พนักงานเลือกให้ไม่ถูกใจจนกระทั่งต้องเป็นคนเดินมาแนะนำด้วยตัวเอง ซึ่งเหม่ยอิงก็แปลกใจกับการกระทำนั้น “ขอโทษด้วยค่ะคุณหนูเหม่ย เอาเป็นตัวนี้ดีไหมคะ” ท่าทางดูรีบร้อนจนคนตัวเล็กต้องยกมือขึ้นห้ามพลางหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะค่อย ๆ ดูไปทีละชุดที่พวกคุณช่วยคัดกันมาให้ คุณเหวินเจิ้งจองที่นี่ไว้ตั้งสองชั่วโมงเลยไม่ใช่หรือคะ?” เฉียนเฉียนชะงักครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า นอกจากจะไม่ได้ว่ากันแล้วก็ดูจะยิ้มให้แบบเอ็นดูกันอีก นอกจากนี้คุณหนูเหม่ยอิงคนนั้นยังตั้งใจดูชุดที่เธอคัดให้ไปทีละตัว ๆ เพื่อให้ได้ชุดที่ถูกใจที่สุด ดูแล้วไม่เหมือนกับที่เธอเคยได้ยินมาเลยสักนิด “ฉันว่าฉันชอบชุดนี้นะคะ” และแล้วก็เจอที่ถูกใจ เหม่ยอิงพูดก่อนที่จะเข้าไปยังโซนสำหรับให้ลองใส่ ใช้เวลาครู่หนึ่งซึ่งก็มีพนักงานคอยช่วยอยู่ตลอดเวลา “เป็นไงบ้างคะ” เสียงหวานขอความเห็น ซึ่งทั้งสามคนได้แต่คิดในใจเป็นคำสบถหลากหลายคำ เพราะคุณหนูเหม่ยอิงยามนี้ดูสง่ากระทั่งพนักงานที่ช่วยจัดชุดให้ยังอดจะมือสั่นเสียไม่ได้ ชุดขนเฟอร์สีมุกความยาวเหนือขาอ่อนช่วยอวดเรียวขาสวย ด้านบนปาดไหล่โชว์ไหปลาร้าและลำคอระหง ใบหน้าจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยดูแสนรั้น ยามอยู่นิ่ง ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนแมวเปอร์เซียแสนเย่อหยิ่ง อยากลองจับลองลูบแต่ก็กลัวจะโดนข่วน “งดงามมากค่ะคุณหนูเหม่ย” คนโดนชมหันมาระบายยิ้มกว้างให้ เธอหมุนตัวช้า ๆ ดูภาพสะท้อนตัวเองในกระจก “คุณเหม่ยอิงออกไปให้คุณเหวินเจิ้งดูหน่อยดีไหมคะ” พนักงานออกความเห็น ตลอดเวลาที่ช่วยแนะนำชุดให้เธอผู้นี้ก็รู้แล้วว่าคุณหนูตระกูลจ้าวไม่ได้ร้ายแบบที่ว่า ทั้งคำพูดคำจาทั้งกิริยาท่าทางไม่เห็นจะมีตรงไหนแสดงถึงความร้ายกาจเลยสักนิด ดังนั้นตอนนี้พนักงานอย่างเธอก็เริ่มจะผ่อนคลายและกล้าพูดกล้าแสดงความเห็นออกมา “แต่ว่า...” “ทางนี้ค่ะคุณหนูเหม่ย” เฉียนเฉียนเป็นคนพูดต่อ สุดท้ายเหม่ยอิงก็ไม่มีทางเลือกและต้องตามน้ำไป ก้าวออกมาได้ก็เห็นเหวินเจิ้งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา เขาก้มลงเลื่อนดูอะไรอยู่ในโทรศัพท์ตัวเองจนกระทั่งเฉียนเฉียนเอ่ยเรียกถึงได้เงยหน้าขึ้น ราวกับอยู่ในห้วงภวังค์ครู่หนึ่ง “...” ไม่มีคำพูดใด ๆ จนคนโดนมองรู้สึกอึดอัด ดวงตาสีไม้สนชวนให้วูบวาบทั้ง ๆ ที่เหวินเจิ้งทำแค่มองเฉย ๆ เท่านั้นเอง “เป็นอย่างไรบ้างคะคุณเหวิน แบบนี้โอเคหรือเปล่าคะ?” เฉียนเฉียนถาม ทั้งพนักงานของเธอและจงเซ่อมีความเห็นในทางเดียวกันว่าสายตาของเหวินเจิ้งตอนนี้ดูจะพออกพอใจกับภรรยาตัวเองพอสมควร “อืม...ก็ไม่ได้แย่” แต่กลับเลือกตอบเพียงแค่นั้น เหม่ยอิงอมลมในปาก ทั้ง ๆ ที่เธอเลือกตั้งนานแต่เขากลับพูดแค่นั้นเลยหรือ? สุดท้ายเหม่ยอิงก็ได้ชุดที่ว่านั่นมาและเหวินเจิ้งสั่งให้เฉียนเฉียนส่งชุดที่เธอลองสวมแล้วชอบมาอีกสองสามชุด เพียงแค่เห็นราคาก็รู้สึกตามัวไปครู่หนึ่ง บางชุดหกหลักบางชุดเจ็ดหลักแต่เหวินเจิ้งกลับไม่สะทกสะท้าน เหม่ยอิงชักสงสัยว่าสามีตัวเองมีทรัพย์สินเท่าไหร่กันแน่ งานเลี้ยงตระกูลหวงถูกจัดขึ้นเพราะการเปลี่ยนผันชุดผู้บริหารใหม่ และลูกชายเพียงคนเดียวที่มีนามว่าฮุ่ยหมิง เจ้าของร่างสูงเรือนผมสีไวน์แดง ใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ เขาเป็นคนอัธยาศัยดี มีคอนแทคกว้างขวางกระทั่งกับประมุขตระกูลไท่ก็ดี วันนี้เจ้าของงานอยู่ในชุดสูทสีเดียวกันกับสีผม ไม่ว่าแขกเหรื่อจะเยอะขนาดไหนแต่ก็สังเกตได้โดยง่ายราวกับตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น “ยินดีด้วยครับคุณหมิง” “ขอบคุณมากครับ” ฮุ่ยหมิงยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็นมิตร รูปภาพของเขาตอนอยู่ในงานวันนี้ทางพวกสื่อข่าวคงมีใช้ขึ้นเป็นหน้าปกกันเป็นสิบเป็นร้อยรูป หากเทียบกับประมุขตระกูลไท่ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกช่างภาพคิด ๆ กันอยู่ได้เพียงไม่นานก็เหมือนว่าไท่เหวินเจิ้งจะเดินทางมาถึงพอดี ชายบอดี้การ์ดคนสนิทเป็นคนลงมาก่อน เพียงครู่เดียวเหวินเจิ้งที่ว่ากันว่าหาตัวจับยากกระทั่งตอนงานแต่งงานของตัวเองยังมีรูปออกสื่อเพียงน้อยนิดก็ก้าวลงมาด้วยท่าทีสง่า ใบหน้าหล่อเหลารับกันกับทรงผมที่เซ็ตขึ้นเป็นระเบียบ เขาสวมชุดสูทสีดำและกางเกงสีเดียวกัน ดวงตาสีน้ำตาลของไม้สนเหลือบมองพวกสื่อข่าวอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับมาสนใจที่ประตูรถต่อ ทุกการขยับตัวดูน่าเกรงขามและมีอำนาจกระทั่งไม่มีสำนักข่าวไหนกล้าจะหยิบกล้องขึ้นมาสักคน แต่แล้วคนในบริเวณก็ต้องแปลกใจกันไปตาม ๆ กันเพราะมีใครบางคนก้าวลงจากรถตามหลังเหวินเจิ้งมา เรียวขาสวยกับรองเท้าส้นสูงสีขาวตามด้วยการปรากฏตัวของคนที่หายออกไปจากหน้าสื่อเกือบ ๆ สามเดือน เธอคนนั้นคือคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงที่วันนี้อยู่ในลุคที่แตกต่างไป ชุดขนเฟอร์สีมุกอวดไหปลาร้าสวยไร้เครื่องประดับบดบัง เหม่ยอิงเลือกแค่จะสวมต่างหูที่ดั้นด้นเอ่ยปากให้สามีช่วยเลือกให้ก็เท่านั้น มือขาวจับประคองท่อนแขนเหวินเจิ้งไว้ ดูเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้างแต่ก็ยังถือว่าทำได้ดี “ไม่ต้องไปใส่ใจพวกแร้งน่ารำคาญแล้วเดินตามฉันมาก็พอ” เหม่ยอิงพยักหน้ารับคำพูดของสามี อยากจะแทรกอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเปรียบเทียบสื่อข่าวว่าเหมือนพวกแร้งด้วย เขาไม่พูดแรงไปหน่อยหรือไง แต่ยังไงเหม่ยอิงก็พอจะเข้าใจอยู่...ก็นี่มันไท่เหวินเจิ้ง เคยแคร์ใครที่ไหน? แม้กระทั่งเธอนอนใส่สายน้ำเกลืออยู่ยังเรียกเอาค่าเสียหายได้เลย สองสามีภรรยาแห่งตระกูลใหญ่ในจีนถูกจับตามองเพียงแค่ก้าวเข้ามาในงาน ร่างระหงในอ้อมแขนสามีซึ่งก่อนหน้านี้ห่างหายจากหน้าสื่อไปหลายเดือน ยามนี้เหม่ยอิงกลับมาด้วยท่าทีสง่ากว่าเก่า ผิวขาวนวลโดดเด่น ท่วงท่าเดินดูพญาและเข้าถึงยากราวกับไม่มีใครสามารถแตะต้องเธอได้เช่นนั้นนอกจากคนเป็นสามี ทางเหวินเจิ้งก็ไม่แตกต่าง แค่ชื่อเสียงและเรื่องเล่าลือก็หนาหู แค่จะเข้าไปทักทายก็ต้องประดิษฐ์นึกคำพูดตนเองให้ดี ไม่เช่นนั้นหากไม่เข้าหูเขาผู้นั้นเข้าอาจทำให้เดือดร้อนกันได้ “ทางนี้ครับคุณไท่” เป็นบอดี้การ์ดในงานที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ และคราแรกพวกผู้คนที่ได้เห็นก็ดูจะตกใจกันมากอยู่แล้วที่ครั้งนี้ไท่เหวินเจิ้งควงภรรยาออกงานเป็นครั้งแรก และก็ต้องตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าที่นิ้วมือของทั้งคู่สวมแหวนที่เป็นดีไซน์เดียวกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือแหวนแต่งงานมูลค่าหลายร้อยล้านที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะเห็นคุณหนูเหม่ยอิงสวมมันสักครั้ง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับคุณไท่เหวิน คุณหนูเหม่ยอิง” ฮุ่ยหมิงรีบเข้ามาทักทายแขกคนสำคัญทันที เขาอดไม่ได้ที่จะพิจารณาร่างระหงด้วยสายตาแปลกใจ “ไม่คิดว่าคุณหนูเหม่ยอิงจะมาด้วย หน้าตาดูสดใสขึ้นเยอะนะครับ” เหม่ยอิงยิ้มรับ ก่อนหน้านี้ก็ฟังเรื่องของฮุ่ยหมิงจากจงเซ่อมาเยอะ ดูท่าทางคนผู้นี้จะไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร “ขอบคุณค่ะ ก่อนหน้านี้ต้องขอโทษด้วยที่ปฏิเสธการเจอกันมาโดยตลอด แล้วก็ยินดีกับงานวันนี้ด้วยนะคะ” “โอ้ เป็นเกียรติจริง ๆ ครับ” ฮุ่ยหมิงตอบพลางระบายยิ้มกว้าง นึกสงสัยว่าเหตุใดวันนี้ดูคุณหนูจ้าวดูจะวางตัวแตกต่างไปจากทุกที ฝั่งเหวินเจิ้งที่ยืนคู่กับภรรยาได้แต่มองสถานการณ์เงียบ ๆ ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ก็รู้สึกว่าเหม่ยอิงเวลานี้ทำตัวสมกับเป็นคุณหนูขึ้นมาแล้วจริง ๆ คราวนี้เหม่ยอิงปล่อยให้ทั้งสองคนสนทนากัน เธอทำเพียงยืนฟังและอาศัยบารมีของสามีเวลามีแขกเหรื่อในงานเข้ามาทักทาย เพราะจำหน้าและชื่อใครสักคนไม่ได้ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นเหวินเจิ้งที่ออกหน้าพูดแทน “ตามสบายนะครับคุณเหวิน คุณหนูเหม่ยก็เช่นกัน เดี๋ยวผมขอไปทางนู้นสักครู่แล้วจะมาคุยด้วยใหม่ครับ” เหวินเจิ้งพยักหน้ารับ คุยกับเหล่าคนในงานอยู่นานจนลืมสังเกตภรรยาตัวเองไป หันมาอีกทีก็เห็นว่าในมือเหม่ยอิงมีจานขนมอยู่เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเธอไปหยิบมันมาตอนไหน “ดูชอบของหวานเสียจริงนะ” พูดแล้วก็รับแก้วแชมเปญจากบริกรคนหนึ่ง เหม่ยอิงพยักหน้าแล้วตอบ และคงลืมไปว่ารีบพูดเกินไปตอนทานมันจะติดคอเอาได้ “อร่อยนะคะ ทานด้วยกันไหม...อ๊ะ!” ชวนคนอื่นกินด้วยกันแต่ตัวเองเกือบหายใจไม่ออก เหวินเจิ้งส่ายหน้าเบา ๆ เพิ่งชมไปในใจไม่นานเองว่าทำตัวสมกับเป็นคุณหนูขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้กลับซื่อบื้อพูดตอนกำลังกินเนี่ยนะ? “เธอจะรีบพูดไปทำไม” เอ่ยดุพร้อมกับประคองท้ายทอยภรรยาอย่างระมัดระวัง เหวินเจิ้งช่วยยกแก้วแชมเปญในมือตัวเองให้เหม่ยอิงได้ดื่ม คนตัวเล็กช้อนตามองสามี ไม่รู้เลยว่าภาพของทั้งคู่ตอนนี้กำลังเป็นที่สนใจของแขกในงานมากแค่ไหน “ขอโทษค่ะ...อืม แล้วก็ขอบคุณค่ะ” เหม่ยอิงตอบอ้อมแอ้มก่อนจะหันไปหยิบทิชชูมาซับริมฝีปาก “หึ...ก็มีมุมที่สมกับเป็นคนอยู่บ้างเหมือนกันนะ” คนได้ฟังขมวดคิ้ว ตรงประโยคเมื่อครู่มีส่วนไหนเป็นคำชมบ้างหรือเปล่านะ? แต่เธอยังไม่ได้ตอบอะไรไปก็มีเสียงตรงกลางฟลอร์ดังขึ้นมาเสียก่อน ชายคนนั้นคือประมุขคนก่อนของตระกูลหวง หรือพ่อของฮุ่ยหมิงนั่นเอง เขากล่าวคำยินดีแก่ลูกชาย ใบหน้ามีริ้วรอยตามวัยนั้นดูจะปรากฏความพอใจเต็มเปี่ยม “สุดท้ายเรามาดื่มให้กับตำแหน่งใหม่ของลูกชายผม แด่หวงฮุ่ยหมิง ดื่มครับ!” สิ้นคำพูดนั้นทุกคนก็ยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่มพร้อม ๆ กันก่อนจะมีเสียงปรบมือแสดงความยินดี เหม่ยอิงมองดูคนที่ยืนอยู่กลางฟลอร์ ถ้าเธอจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ได้ก็คงดี เธอคิดว่าคงจะเป็นเพื่อนที่ดีกับฮุ่ยหมิงได้อย่างแน่นอน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ ก็ยิ่งมีคนเข้าหาเหวินเจิ้งมากขึ้น แม้กระทั่งหลายชั่วโมงแล้วแต่เหม่ยอิงเห็นว่าร่างสูงยังคงพูดธุรกิจกับคนพวกนั้นได้เป็นอย่างดี และเธอก็เห็นว่าทุกคนที่เข้ามาหาเขานั้นล้วนแต่ปฏิบัติต่อกันแบบนอบน้อม ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่เหวินเจิ้งเป็นคนที่น่าเคารพจริง ๆ “ผมเผลอทำแขกในงานตัวเองเบื่อหรือเปล่าครับ” คนตัวเล็กสะดุ้ง เธอหันไปมองข้าง ๆ ก็พบว่าคือฮุ่ยหมิงที่ยิ้มกว้างทักทายกันอยู่ เหม่ยอิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เลยค่ะ ฉันก็แค่ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย” เธอแอบหวั่นใจเสียไม่ได้กลัวว่าฮุ่ยหมิงจะถามอะไรที่เธอไม่รู้เข้า แถมตอนนี้เหวินเจิ้งก็ไม่ว่างเสียด้วยและต่อให้จงเซ่อจะยืนอยู่ในงานแต่การที่จะมายืนตอบคำถามแทนก็เป็นเรื่องที่แปลกเกินไป “ถ้าคุณหนูเหม่ยอิงพูดเช่นนั้นผมก็เบาใจครับ” “เรียกเหม่ยอิงเฉย ๆ เถอะค่ะ อย่าสุภาพกันมากเลย” ฮุ่ยหมิงหัวเราะ ยอมเชื่อฟังตามนั้น “ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นข่าวคุณเหม่ยอิงนานมากจนนึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก เพราะปกติแล้วทุกวันจะมีข่าวคุณเหม่ยอิงจนรู้สึกชินไปแล้วน่ะครับ” ฮุ่ยหมิงพูดเสร็จแล้วหัวเราะตรงท้ายประโยค ส่วนคนฟังได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข่าวที่ว่าคงจะเป็นข่าวไม่ดีแน่นอน “จะว่าเกิดเรื่องก็ไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะฉันป่วยด้วยจริง ๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีอะไรแล้วนะคะ ได้พักผ่อนอยู่หลายเดือนเลยรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” เหม่ยอิงตอบเฉไฉ จะรู้สึกดีได้อย่างไรก็ตอนนี้เธอจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ขนาดเรื่องครอบครัวตัวเองยังต้องนั่งอ่านจากในเอกสารที่เหวินเจิ้งเป็นคนนำมาให้อยู่เลย “ดีแล้วครับ บางทีหนีไปพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน” เหม่ยอิงอยู่พูดคุยกับฮุ่ยหมิงอยู่สักพัก เธอรู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ถามคำถามยาก ๆ ไม่คุยเรื่องธุรกิจและที่สำคัญเขาไม่พูดเรื่องในอดีต “จะว่าไปแล้วก็เพิ่งจะเคยเห็นมุมน่ารักของคุณเหม่ยอิงกับคุณเหวินเลยนะครับ ตอนทานขนมเมื่อครู่เห็นแล้วอดแปลกใจไม่ได้จริง ๆ” เหม่ยอิงแทบสำลักน้ำลาย เธอรีบยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้า “คือ ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” “ฮ่า ๆ ยังไงก็เป็นสามีภรรยากันนี่ เห็นแบบนี้แล้วแอบอิจฉาอยู่เหมือนกันนะครับ” ดูท่าฮุ่ยหมิงจะมีความสุขที่ได้พูดหยอกเย้าคุณหนูตระกูลจ้าวเสียจริง ส่วนเหม่ยอิงนั้นได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน อยากจะพูดเหลือเกินว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเหวินเจิ้งมันย่ำแย่กว่าที่จะจินตนาการถึง “เหม่ยอิง” คนตัวเล็กหันตามเสียงเรียก เห็นว่าเหวินเจิ้งกำลังเดินเข้ามาหา ส่วนเธอก็ขยับเข้าไปใกล้เขาเช่นกัน เพราะการอยู่ข้าง ๆ เหวินเจิ้งน่ะดูจะปลอดภัยที่สุดแล้ว! กว่าจะเสร็จจากงานเลี้ยงมาได้ทำเอาคนที่เพิ่งออกงานเป็นครั้งแรก(ที่จำได้) สูญเสียพลังงานไปเยอะพอสมควร เหม่ยอิงหลับมาตลอดทางที่เดินทางกลับ เธอรู้สึกเพลียมากจนไม่รู้เลยว่าโดนสามีเป็นคนอุ้มขึ้นส่งจนถึงห้องนอน คราแรกเหวินเจิ้งก็ดูจะไม่ได้เต็มใจอยู่หรอก แต่พอเห็นจงเซ่อกำลังพยายามประคองภรรยาตัวเองที่อยู่ในชุดไม่ค่อยเรียบร้อยถึงได้เอ่ยพูดเสียงแข็งว่าเขาจะจัดการเอง จงเซ่อมองตามแผ่นหลังเจ้านายที่มีร่างระหงของเหม่ยอิงในอ้อมแขน อดจะจินตนาการไม่ได้ว่าหากความทรงจำของคุณหนูเหม่ยอิงกลับมาแล้วเธอจะมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ทั้งสองคนจะเหินห่างกันเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า หากเป็นแบบนั้น...ลูกน้องอย่างเขาก็คงรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะภาพของนายใหญ่กับนายหญิงตอนนี้ดูแล้วอบอุ่นสมเป็นสามีภรรยากันมากจริง ๆไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน
หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก
เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ
หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง
ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่
ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่