หลิวเจินเจินประกาศเปิดศึกกับบุตรชายอย่างชัดเจน จีกวานฮวารู้สึกอิจฉาโม่ไป๋หลานยิ่งนัก ที่มารดาของชายหนุ่มปกป้องญาติผู้พี่ของนางอย่างออกนอกหน้า จนกล้าต่อกรกับชายหนุ่ม
“ท่านแม่ นางคือคนผิดนะขอรับ โม่ไป๋หลาน เจ้าปากกล้าเกินไปแล้ว ข้าคือสามีของเจ้า ไยถึงกล้าต่อคำกับข้า ซ้ำต่อหน้าบ่าวไพร่อีกด้วย”
หยางซานหลางรู้สึกเหมือนถูกมารดาและภรรยารุมกล่าวหาว่าเขาคือคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลอยู่กลาย ๆ
“สามีของข้าน่ะหรือ! แน่ใจนะ...ว่าเป็นท่านจริง ๆ หากใช่ ไยจึงปรักปรำภรรยาตนเองเช่นนี้เล่า สงสัยข้าฝันไป ว่าตนเองยังไร้ซึ่งคู่ครอง หรือนี่มิใช่เรื่องจริงกัน อย่างว่าคนใกล้ตาย มักสับสนกับเรื่อง…สามีภรรยาอะไรแบบนี้! ข้าตื่นมาอยู่ในห้องเพียงลำพัง เลยเข้าใจว่ายังไม่มีสามี เพราะมีด้วยหรือที่คนแต่งงานกันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยก็ไร้การเหลียวแลกันเช่นนี้”
หลี่ถิงทำตาโต ยกมือข้างที่มิได้ถูกแม่สามีเกาะกุมขึ้นปิดปากตนเอง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากฮูหยินหยาง นางชอบใจในการกระทำของสะใภ้รักเป็นอย่างมาก ไป๋หลานสมควรลุกขึ้นมารักษาสิทธิ์ในฐานะภรรยาของบุตรชายได้แล้ว
สองสามีภรรยายืนประจันหน้ากัน และมันน่าแปลกมากกว่านั้น คือฮูหยินน้อยของบ้านมิคิดหลบสายตาของท่านแม่ทัพหยางซานหลางเลย
แม้แต่น้อย
“พวกเจ้ายืนทำอะไรกันอยู่ รีบพาหรู่อี้กลับไปยังเรือนของข้า และตามหมอมารักษานางให้ดี หากข้ากลับไปแล้ว นางเกิดเป็นอันใดขึ้นมา พวกเจ้าก็จงเตรียมตัวเป็นแบบนางได้เลย”
หยางซานหลางถึงกับตาโตจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้าเสียให้ได้ เพราะภรรยานอกหัวใจกำลังออกคำสั่งกับคนของเขา ซ้ำยังข่มขู่ไม่ต่างอะไรกับแม่เสือเลยทีเดียว ทหารของจวนและบ่าวไพร่พากันมองเจ้านายทั้งสองสลับไปมา มิรู้ว่าควรฟังผู้ใดดี ระหว่างแม่ทัพหยางซานหลาง กับฮูหยินของท่านแม่ทัพเอง
“บังอาจ! เจ้ากล้าหยามหน้าข้าผู้เป็นสามี โดยการเห็นคำสั่งข้าไร้ความหมาย”
หยางซานหลางเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่วันนี้ภรรยามิได้หลบอยู่หลังมารดาเช่นทุกครั้ง ซ้ำยังกล้าออกคำสั่งกับคนของเขาแบบไม่ไว้หน้าหรือเกรงกลัวผู้เป็นสามีเช่นเขา ที่ยังยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิดเดียว
มุมปากของโม่ไป๋หลานยกยิ้มอย่างท้าทาย ถามใจว่ากลัวหรือไม่ แน่นอนหลี่ถิงกลัวอยู่มิน้อย แต่ให้ยอมแพ้น่ะหรือ มันก็เท่ากับเธอและสาวใช้หรู่อี้จะไม่มีโอกาสให้มีลมหายใจอีกต่อไป หากยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายในวันนี้
“ไม่ได้ยินที่ฮูหยินน้อยสั่งกันรึยังไง หรือจะให้ข้าต้องพูดซ้ำ”
หยางฮูหยินแอบยิ้มพอใจกับคำสั่งของลูกสะใภ้เป็นอย่างมาก แต่นางรู้ดีว่าอำนาจของลูกชายมีมากกว่าสะใภ้อยู่ดี ด้วยตำแหน่งและฐานะสามีของบุตรชาย อย่างไรเสีย บ่าวไพร่ก็ต้องยำเกรงบุตรชายของนางมาก
กว่าสะใภ้เช่นโม่ไป๋หลาน หลิวเจินเจินจึงยื่นมือเข้าช่วยอีกแรง จะใหญ่แค่ไหนก็ยังต้องเชื่อฟังมารดา
ทหารที่โบยสาวใช้จนหมดสติต่างมองไปทางท่านแม่ทัพของพวกเขาอีกครั้ง ด้วยสายตาไม่แน่ใจ ในเมื่อคำสั่งจากนายหญิงทั้งสองของบ้านขัดกับแม่ทัพผู้เป็นนายอีกคน
“หากคนของข้าเป็นอะไรไปจริง ๆ ข้าจะร้องเรียนผู้ที่มีอำนาจมากกว่าสามีข้า ให้ลงโทษพวกเจ้าซะ…”
เท่านั้นเอง ทหารที่รอฟังคำสั่งของหยางซานหลางรีบช้อนอุ้มร่างโชกเลือดของหรู่อี้ก้าวออกจากลานฝึกอย่างรวดเร็ว มีใครบ้างไม่รู้ถึงอำนาจของท่านหญิงโม่ไป๋หลาน ว่าหากนางใช้มันขึ้นมาจริง ๆ แล้วยื่นคำร้องไปยังผู้เป็นใหญ่ที่นางกล่าวมา หัวพวกเขามีเท่าไหร่ก็คงมิพอให้ตัด
“เจ้าจะไปไหนชิงชิง เห็นข้าแล้วยังไม่มาดูแลอีก หรือคิดว่าข้าตายไปแล้ว จึงคิดหานายคนใหม่กัน”
แม้เสียงจะยังแหบแห้งอยู่บ้าง แต่หลี่ถิงพยายามเค้นมันออกมาให้ดุดันมิแพ้สามีคนใหม่ที่เธอต้องรับมืออยู่ในเวลานี้ และไหนจะหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยืนแสดงละครน้ำเน่า เสแสร้งบีบน้ำตาอยู่ข้างชายหนุ่มนั่นอีกคน ยิ่งพอมองเห็นสายตาของสาวใช้ที่ลงมือสังหารโม่ไป๋หลานจนตาย แล้วกลายเป็นเธอที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน หลี่ถิงถึงกับหนักใจขึ้นมาเลยทีเดียวที่จำต้องต่อกรกับคนเหล่านี้
“เจ้าค่ะฮูหยินน้อย ถ้าเช่นนั้น ชิงชิงพาท่านกลับเรือนนะเจ้าคะ”
ชิงชิงรีบก้าวเข้าประชิดผู้เป็นนายด้วยมือสั่นเทาเล็กน้อย ด้วยมิคิดว่าฮูหยินน้อยจะรอดตายมาได้ นางมั่นใจว่าก่อนขึ้นจากลำธาร ร่างของเจ้านายแน่นิ่งไปแล้ว
หลี่ถิงไม่คิดจะบอกความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นกับโม่ไป๋หลานให้ใครฟัง
อีก เพราะในเมื่อสามีของนางไร้ความเป็นธรรม พูดออกไปก็เท่ากับใส่ความคนของชายหนุ่มอยู่ดี เงียบไปก่อนค่อยจัดการทีหลังย่อมปลอดภัยกว่า
ดวงตาหงส์ชำเลืองมองสาวใช้ข้างกายที่ยื่นมือมาประคองแขนตนอยู่ด้วยความชิงชังแต่ยังคงเก็บทุกอย่างเอาไว้ภายในใจ
“ข้าหรือเจ้าเป็นนายกันแน่ชิงชิง เจ้าถึงได้มาคิดแทนตัวข้า ว่าจะอยู่หรือไป”
ใบหน้างามเชิดขึ้นน้อย ๆ หลังพูดเหน็บแนมสาวใช้ข้างกายแล้ว ทำให้หยางซานหลางกำหมัดแน่นด้วยความโกรธกรุ่น เหมือนในเวลานี้ ภรรยากำลังตบหน้าเขาฉาดใหญ่ต่อหน้าผู้คนในจวน มิยำเกรงต่ออำนาจของเขาเลยแม้แต่น้อย ไหนจะมารดาที่ยืนถือหางสะใภ้อย่างเต็มตัวอีกเล่า
“จิตใจคับแคบ ชอบใช้อำนาจ ต่อให้ตายไปเกิดใหม่อีกกี่สิบรอบก็มิอาจเปลี่ยนแปลงคนอย่างเจ้าได้ แม้แต่คนที่คอยรับใช้เจ้าด้วยความภักดีอย่างชิงชิง เจ้ายังกล้าพูดจาเช่นนี้กับนาง ต่ำช้านัก…”
หลี่ถิงเบะปากงามเล็กน้อย เป็นการเย้ยหยันคำพูดของหยางซานหลาง โดยไม่ได้เกรงกลัวอีกฝ่ายเลยสักนิด
“เช่นนั้นหรือ แล้วไยนางถึงปล่อยข้าเกือบตายเล่า ไหนล่ะความภักดีของนาง สงสัยนางซื่อสัตย์และหวังดีต่อข้ามากเสียจนต้องการนายหญิงคนใหม่มาแทนข้า เพื่อ…” ทว่าหญิงสาวกลับไม่พูดประโยคสุดท้ายออกมา
“เพื่ออะไร ไยไม่พูดออกมาให้หมด ไป๋หลาน เจ้ามัน…มัน หึ! มองความภักดีของชิงชิงเป็นอื่น เพียงความหึงหวงไร้สาระของตัวเจ้าเอง”
หลี่ถิงอยากจะบอกเหลือเกิน ว่าคนภักดีของหยางซานหลางคือคน
ที่ฆ่าภรรยาของเขาเอง แต่เพราะสิ่งที่เขาตัดสินแล้วโยนความผิดทั้งหมดให้แก่หรู่อี้เพียงคนเดียว มันก็ชัดเจนแล้วว่า หากนางเอ่ยปากออกไป เท่ากับใส่ร้ายผู้อื่นในสายตาของทุกคน
ร่างกายอ่อนล้า แต่พอถูกความไม่เป็นธรรมของชายหนุ่มตรงหน้าเล่นงาน หลี่ถิงเลยลืมสิ้นกับความเจ็บป่วยในตอนนี้
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ