บริษัท
เวลา 18 : 00 น. ติ้ง~ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว ชายหนุ่มเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจัถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นข้อความนั้นมาก่อน หน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างโชว์ข้อความจากภรรยาในนาม ลิน : 'เย็นนี้พี่เหนือกลับมาทานข้าวไหมคะ' นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนปิดหน้าจอโดยไม่แม้แต่จะพิมพ์ตอบสั้นๆ ความเย็นชาของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพลิกกระดาษและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ด้านลิน คอนโดเรือนหอ เวลา 18:05 น. หญิงสาวถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองหน้าจอที่ยังไร้การตอบกลับ แสงไฟในห้องครัวส่องกระทบโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย อาหารร้อนๆ หลายอย่างวางรอเจ้าของบ้านอีกคนที่อาจจะไม่กลับมา “คงประชุมอยู่ล่ะมั้ง…” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความเงียบกำลังกัดกินหัวใจ เธอปลอบตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกตะหลิวตักแกงใส่ถ้วยเพิ่มเหมือนจะให้โต๊ะอาหารดูเต็มขึ้น เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะเห็นความตั้งใจของเธอสักครั้ง เวลาผ่านไปหลายนาที…โทรศัพท์ยังคงเงียบงัน ไม่มีข้อความตอบกลับ ไม่มีสายเรียกเข้า มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจังหวะคอยตอกย้ำความว่างเปล่าในหัวใจของเธอ ทันใดนั้น เสียงเปิดประตูดังขึ้น แกร๊ก~ “พี่เหนือกลับมาแล้ว…” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเป็นประกาย หัวใจเต้นแรงด้วยความดีใจ เธอรีบลุกขึ้นยืนรอรับเขาที่หน้าประตู ร่างสูงของพี่เหนือก้าวเข้ามา เขายังสวมสูทจากที่ทำงาน แต่ไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยล้าเหมือนคนอยากพักผ่อน กลับดูรีบร้อน “พี่เหนือ…ลินทำกับข้าวไว้ด้วยนะคะ” เสียงเธออ่อนโยน เต็มไปด้วยความคาดหวัง “ฉันแวะมาเอาของ แล้วก็จะอาบน้ำเปลี่ยนชุดนิดหน่อย” เขาไม่ได้มองโต๊ะอาหารด้วยซ้ำ รอยยิ้มบนใบหน้าลินแข็งค้างไปทันที "พี่จะไปไหนเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามสามีด้วยความสงสัยดึกแล้วเขาจะไปไหนอีก “ฉันต้องรายงานเธอทุกเรื่องเลยเหรอ” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางถอดสูทวางบนโซฟา แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องนอนของตนทันที "...." หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน หัวใจที่เพิ่งพองโตกลับถูกบีบจนเจ็บแน่น เธอฝืนยิ้มบาง ทั้งที่ดวงตาสั่นระริก ไม่นานนัก เขาก็ออกมาพร้อมชุดใหม่ที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิมและเธอเห็นกล่องขนาดเล็กที่เธอเพิ่งเจอเมื่อเช้า 'ใช่จริงๆด้วยมันไม่ใช่ของเธอ' ชายหนุ่มเดินผ่านหน้าภรรยาไปเหมือนเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น หญิงสาวมองตามหลังชายหนุ่มจนประตูปิดลงด้วยสายเศร้าหมอง ปัง~ เสียงประตูปิดลงทิ้งไว้เพียงความเงียบก้องกังวานในคอนโดที่ควรจะเป็นเรือนหอ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากไว้สะกดกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอดออกมา เธอมองโต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามอีกครั้ง ก่อนร่างเล็กจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ น้ำตาไหลรินโดยไม่อาจหยุดได้ ร้านอาหารหรู เวลา 20:30 น. แสงไฟสลัวสาดลงบนโต๊ะหินอ่อนสีขาว กลิ่นหอมของอาหารชั้นเลิศลอยอบอวลในอากาศ ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่มีแสงแห่งความอบอุ่น “สวัสดีค่ะ พี่เหนือ” เสียงหวานของปริมดังขึ้นเมื่อเธอยืนรออยู่ที่โต๊ะอาหาร หญิงสาวแต่งตัวเรียบหรู แต่ดึงดูดสายตาอย่างเหลือเชื่อ “ช้าไปหน่อยไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคม แต่ดวงตาเต็มไปด้วยประกายพิเศษที่ไม่เคยมีให้ภรรยาเห็น "ปริมก็เพิ่งมาถึงค่ะ" ปริมยิ้มบาง ๆ ก่อนนั่งลงตรงข้ามเขา ชายหนุ่มสั่งอาหารด้วยท่าทีมั่นใจ ไม่รีบร้อนแม้เวลาจะค่ำ เขาชมเชยเมนูที่ปริมเลือกด้วยรอยยิ้มสั้น ๆ ราวกับสนใจแต่เธอเพียงคนเดียว ระหว่างนั้น มือของเขาแตะกับมือปริมโดยบังเอิญ รอยยิ้มของเธอสั่นไหว แต่เขากลับมองเธอด้วยแววตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษ ทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะอบอุ่นแตกต่างจากความเงียบเย็นในบ้านลินอย่างชัดเจน “วันนี้เหนื่อยไหมคะ” ปริมถามเสียงนุ่ม พยายามสร้างบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความใกล้ชิด “งานเยอะเหมือนเดิม” เขาตอบสั้น ๆ แต่เวลาพูดกับปริม น้ำเสียงของเขามีความละมุนละไมมากกว่าที่เคย แสงเทียนส่องบนโต๊ะ สร้างเงาสะท้อนของสองร่างที่นั่งใกล้กัน ชายหนุ่มยื่นแก้วไวน์ให้ปริม และมองเธอด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจหญิงสาวเต้นแรง อาหารคอร์สแรกถูกเสิร์ฟบนจานอย่างสวยงาม เขาใช้ส้อมตักอาหารมาลองชิม ริมฝีปากกว้างยกยิ้มเล็ก ๆ ขณะที่สายตาไม่เคยละจากปริม “อร่อยไหมคะ” เธอถามด้วยความตื่นเต้นและเกรงใจ “อร่อย…มาก” เขาพูดเสียงเบา ราวกับกำลังกระซิบกับเธอเพียงคนเดียว แล้วเอื้อมมือมาจับมือเธออีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่สัมผัสบังเอิญ แต่เป็นสัมผัสที่ตั้งใจ ปริมหน้าแดงขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ช่วงเวลานี้เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เธอหัวเราะเบา ๆ พยายามกลั้นใจไม่ให้ใจเต้นแรงเกินไป “ปริมดีใจที่พี่เหนือมาทานข้าวด้วยกัน” เธอกระซิบ “ปกติเราก็ทานข้าวด้วยกันบ้อยๆ...แต่วันนี้พิเศษกว่าวันอื่นๆ” ชายหนุ่มเอียงหน้ามองเธออย่างสนใจ รอยยิ้มของเขามีความหมายลึกซึ้งกว่าคำพูดใด ๆ ระหว่างที่อาหารคอร์สหลักถูกเสิร์ฟ เขาโน้มตัวเข้าหาเล็กน้อย ราวกับอยากให้ปริมได้ยินเสียงหายใจใกล้ ๆ เธอหัวใจเต้นแรงเกินบรรยาย ในขณะที่เขาเล่าเรื่องงาน เรื่องชีวิตประจำวันที่ไม่น่าเบื่อกับเธอ “ปริมชอบเวลาที่เราได้มานั่งด้วยกันแบบนี้” ปริมเอ่ย พลางวางมือบนมือเขา “พี่ก็เหมือนกัน” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น "พี่มีของจะให้ครับ" ชายหนุ่มหยิบกล่องสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้กับเธอ "อะไรเหรอคะ" ปริมหยิบขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยความส่งสัย "เปิดดูสิครับ" ปริมเปิดฝาออกก็พบกับกำไลเพชรที่เปล่งปนะกายอย่างงดงาม "สวยจังเลยค่ะ" ปริมหยิบกำไลเพชรออกจากกล่องก่อนจะสวมใส่ทันที "ชอบมั้ยครับ...พี่ตั้งใจเลือกให้เลยน้า" ปริมที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มไม่หุบ "ชอบมากเลยค่ะ...ขอบคุณนะคะ" ชายหนุ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าคนรักของตนชอบกำไลที่เขาเลือกให้ ขณะที่ทั้งสองหัวเราะและสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติของทั้งคู่ที่กำลังมีความสุขนั้นไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีผู้หญิงอีกคนกำลังกำลังร้องไห้อยู่คนเดียวภายในเรือนหอที่เงียบงัน "เมื่อไหร่พี่จะหันมามองลินบ้าง" หญิงสาวนั่งมองภาพถ่ายแต่งงานของเธอและเขาที่มีรูปคู่เพียงรูปเดียว ขณะที่น้ำตาไหลริน ความเงียบในห้องเหมือนก้อนน้ำแข็งกดทับหัวใจของเธอ ในขณะที่เขากำลังหัวเราะและสนุกสนานกับใครอีกคน ความเงียบในห้องเหมือนก้อนน้ำแข็งกดทับหัวใจของเธอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตนเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อยหญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนท
เรือนหอ รุ่งเช้าแสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องนอน แสงอบอุ่นที่ควรปลุกให้วันใหม่สดใสกลับทำให้หญิงสาวบนเตียงนอนรู้สึกหนักอึ้งในอกมากกว่าเดิมเปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ทั้งคืนยังคงแดงเรื่อ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ราวกับร่างกายปฏิเสธที่จะเริ่มต้นวันใหม่"อื้อ…ปวดหัวจัง" เสียงบ่นเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปาก เธอฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แรงบีบที่ขมับทั้งสองข้างก็ทำให้ร่างเล็กต้องล้มตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง อาการไมเกรนกำเริบขึ้นทุกครั้งที่ความเครียดกดทับ และเมื่อคืน…เธอก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนเวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อย ๆ พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ขาจะสั่นไหวเล็กน้อยก็ตาม มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงด้วยความหวังว่าจะเจอยาที่ช่วยบรรเทา แต่เมื่อค้นหาไปทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า“หมดเหรอเนี่ย…” เธอพึมพำเสียงแผ่ว สายตาไหวระริก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มือกำขอบลิ้นชักแน่นเล็กน้อยเพื่อสะกดความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจที่รุมเร้าหญิงสาวพยายามฝืนกายลุกขึ้น แม้ศีรษะยั
บริษัท เวลา 18 : 00 น.ติ้ง~ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว ชายหนุ่มเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจัถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นข้อความนั้นมาก่อน หน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างโชว์ข้อความจากภรรยาในนามลิน : 'เย็นนี้พี่เหนือกลับมาทานข้าวไหมคะ'นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนปิดหน้าจอโดยไม่แม้แต่จะพิมพ์ตอบสั้นๆ ความเย็นชาของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพลิกกระดาษและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ด้านลินคอนโดเรือนหอเวลา 18:05 น.หญิงสาวถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองหน้าจอที่ยังไร้การตอบกลับ แสงไฟในห้องครัวส่องกระทบโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย อาหารร้อนๆ หลายอย่างวางรอเจ้าของบ้านอีกคนที่อาจจะไม่กลับมา“คงประชุมอยู่ล่ะมั้ง…” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความเงียบกำลังกัดกินหัวใจ เธอปลอบตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกตะหลิวตักแกงใส่ถ้วยเพิ่มเหมือนจะให้โต๊ะอาหารดูเต็มขึ้น เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะเห็นความตั้งใจของเธอสักครั้งเวลาผ่านไปหลายนาที…โทรศัพท์ยังคงเงียบงัน ไม่มีข้อความตอบกลับ ไม่มีสายเรียกเข้า มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจัง
รุ่งเช้าแสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง ทำให้ลินตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง แต่ใจกลับไม่อาจสงบลงได้และเช่นเคย…เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่าที่หัวใจ"ฮื่อ…สายแล้ว" เธอพึมพำ พลางลุกขึ้นจากเตียง ลมหายใจร้อนๆ ของเธอเหมือนสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจ เดินเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร แม้ในใจจะอยากให้ทุกวันมีรอยยิ้มจากเขา…แต่ก็รู้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้นผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องนอนเธอเดินไปที่ห้องครัวทันที เธอจะเตรียมกาแฟและมื้อเย็นไว้รอสามีทุกวันแต่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยจะสนใจอาหารที่เตรียมตั้งใจเตรียมไว้ให้เขาแต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเตรียมอาหารเช้าเธอเดินไปที่ห้องนอนของเขา เธอเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปเมืีอเข้ามาก็ไม่เห็นที่เตียงนอนแล้วแต่ได้ยินสายน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเธอจะค่อยเตรียมชุดทำงานไว้ให้เขาทุกเช้าแต่ก็ยังดีที่เขาใส่ชุดที่เธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวหยิบสูทสีเทาเข้มออกมาจากตู้ มือเล็กลูบเบาไปบนเนื้อผ้าเรียบหรู ราวกับกำลังสัมผัสเจ้าของชุดโดยที่เขาไม่เคยยินยอมให้สัมผัส เธอเลือกเนคไทสีดำเข้มเข
บริษัทเวลา 11 : 15 น.แสงแดดที่ส่องลงกระทบผิวหนังแทบไหม้แต่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปที่ตึกหนึ่งด้วรอยยิ้มสดใส ในมือของเธอถือปิ่นโตขนาดเล็กสีหวานและมีกล่องขนมที่เป็นของโปรดของสามี เธอคอยเอาใจใส่คนเป็นสามี ถึงแม้ว่าเขาจะเย็นชาและไม่เคยรักเธอเลยก็ตามแต่เธอก็ยังคอยทำให้เขาเสมอมาตลอดหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เธอคือ ลิน มาลินี ส่วนสามีของเธอคือ ภีม ภีมวัตร เขาเป็นถึงประธานบริษัทตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้เขาอายุ 30 ปี บริษัทของเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันเพราะความเก่งของเขา "สวัสดีค่ะ ลินมาขอพบพี่เหนือค่ะ" มาลินีเดินเข้ามาภายในตึกเธอเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนจะบอกพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงเธอจะเป็นภรรยาของท่านประธาน เธอก็ไม่อาจขึ้นไปหาเขาโดยพละการ "สวัสดีค่ะ คุณลินรอสักครู่นะคะ" พนักงานสาวก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร"เชิญคุณลินขึ้นไปได้เลยค่ะ ดิฉันได้แจ้งกับเลขาส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้วค่ะ" "ขอบคุณค่ะ" มาลินีเอ่ยขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความตื่นเต้นติ้ง~เส