เรือนหอ
รุ่งเช้า แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องนอน แสงอบอุ่นที่ควรปลุกให้วันใหม่สดใสกลับทำให้หญิงสาวบนเตียงนอนรู้สึกหนักอึ้งในอกมากกว่าเดิม เปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ทั้งคืนยังคงแดงเรื่อ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ราวกับร่างกายปฏิเสธที่จะเริ่มต้นวันใหม่ "อื้อ…ปวดหัวจัง" เสียงบ่นเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปาก เธอฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แรงบีบที่ขมับทั้งสองข้างก็ทำให้ร่างเล็กต้องล้มตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง อาการไมเกรนกำเริบขึ้นทุกครั้งที่ความเครียดกดทับ และเมื่อคืน…เธอก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน เวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อย ๆ พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ขาจะสั่นไหวเล็กน้อยก็ตาม มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงด้วยความหวังว่าจะเจอยาที่ช่วยบรรเทา แต่เมื่อค้นหาไปทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า “หมดเหรอเนี่ย…” เธอพึมพำเสียงแผ่ว สายตาไหวระริก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มือกำขอบลิ้นชักแน่นเล็กน้อยเพื่อสะกดความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจที่รุมเร้า หญิงสาวพยายามฝืนกายลุกขึ้น แม้ศีรษะยังหนักอึ้งอยู่ทุกย่างก้าว เธอพยุงตัวเองเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าเบา ๆ ให้ความเย็นของน้ำช่วยลดความร้อนผ่าวที่แผ่กระจายอยู่บนขมับ ร่างกายยังสั่นเล็กน้อย แต่เธอก็รวบรวมแรงเพื่อจะเปลี่ยนชุดลงไปซื้อยาไมเกรนที่ร้านขายยาด้านล่าง เมื่อบิดกลอนประตูห้องนอนแล้วก้าวออกมา เสียงวางแก้วกระทบโต๊ะดังขึ้นเบา ๆ ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ “พี่เหนือ…” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงของสามีนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงโซฟา โต๊ะกระจกตรงหน้ามีแก้วกาแฟร้อนวางอยู่ กลิ่นหอมกรุ่นตลบอบอวลไปทั่วห้องนั่งเล่น เมื่อคืนเขากลับมาหรือเพิ่งกลับมากันแน่ เธอไม่แน่ใจ รอยยิ้มเล็กน้อยที่กำลังจะปรากฏกลับหยุดชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่เรียบเฉยเกินไป "พี่เหนือจะทานข้าวเช้ามั้ยคะ" เสียงหวานเอ่ยถามสามีเธอพยายามฝืนยิ้มแต่ดวงตาของเธอไม่ได้ยิ้มตาม "ฉันไม่กิน" ชายหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงห้วนๆ เธอที่ได้รับความเย็นชาจากเขาก็เริ่มชินเสียแล้ว "พี่เหนือ...จะซื้ออะไรมั้ยคะลินจะลงไปซื้อยาค่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มเสียงแหบแผ่ว "ยาอะไร" ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง คิ้วขมวดชนกันด้วยสงสัย "ยาไมเกรนค่ะ...พอดีมันหมด" ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอย่างพิจารณา เขาไม่เคยรู้เลยว่าภรรยาในนามของเขาเป็นไมเกรนมาก่อน แต่จะรู้ได้ไงแค่วันหนึ่งคุยกันไม่ถึงสิบคำด้วยซ้ำ "ฉันไม่อยากได้อะไร..." ชายหนุ่มพูดจบก็ก้มลงเล่นโทรศัพท์ต่อ หญิงสาวเตรียมจะเดินออกจากห้องแต่ต้องหลุดชะงักหันมาถามเขาด้วยความสงสัย "พี่เหนือไม่ไปทำงานเหรอคะ" หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยความสงสัยเพราะตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองสบายๆ แค่น้อยมากที่เขาจะหลุดงานแบบนี้ "อืม.." ชายหนุ่มออกเสียงภายในลำคอ หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปหญิงสาวก็เปิดประตูเข้ามาภายในห้องหลังจากไปซื้อยาและของใช้ในครัวเล็กน้อย ในมือของเธอมีทั้งถุงยาและของกินมากมาย เธอมองหาชายหนุ่มไปรอบห้องนั่งเล่นแต่ก็ไม่เจอคนเป็นสามี เธอหันตัวเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อที่จะนำของไปเก็บและเธอเองก็จะได้ทานยาด้วยเพราะตอนนี้อาการปวดมันเพิ่มมากขึ้นจนปวดไปถึงดวงตา แกร๊ก~ เสียงเปิดประตูห้องนอนของชายหนุ่มดังแวบหนึ่ง หญิงสาวที่กำลังกินยาและดื่มน้ำหันไปมองชายหนุ่มแต่ก็พบเพียงสายตาเรียบเฉยของชายหนุ่ม เขาเปลี่ยนชุดใหม่เหมือนจะออกไปข้าง “พี่เหนือ…จะไปไหนเหรอคะ” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อย แต่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ชายหนุ่มเหลือบมองเธอเพียงเสี้ยววินาที ก่อนเอ่ยคำตอบเย็นชาที่ตัดใจของเธอออกจากใจทันที "ฉันจะไปหาปริม" เพียงคำสั้น ๆ นั้น หัวใจของลินเหมือนถูกกระแทกจนจุกจนแทบหายใจไม่ออก เขาก็เห็นอยู่ว่าเธอไม่สบายแต่ก็อย่างว่านะเธอไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเขาไม่ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงเขาก็ไม่สนใจหรอก เธอเฝ้ามองร่างสูงของเขาเดินออกไป มือเรียวยกถุงยาแน่นเกร็งราวกับต้องพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม ลินเดินเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง พิงตัวกับประตูช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบ ๆ ในความมืดของห้อง ร่างเล็กทรุดตัวลงบนเตียง ผ้าห่มคลุมตัวเองแน่นเพื่อหนีความเจ็บปวดทั้งกายและใจ เสียงของความเงียบเย็นชาในห้องทำให้หัวใจเธอเหมือนถูกบีบแน่นยิ่งกว่าเดิมในที่สุด เธอหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะได้พักผ่อน…แต่เพื่อหนีความจริงที่ว่า เขาไม่เคยมองเห็นเธอเลย ด้านทิศเหนือ ลานหน้าคอนโดของปริม แสงแดดยามสายสาดลงมากระทบพื้นลานจอดรถ เงาของต้นไม้เล็ก ๆ สะท้อนบนพื้นปูนทำให้บรรยากาศดูสดชื่นและสงบ ปริมก้าวขึ้นมาบนรถด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน "รอนนานมั้ย" ชายหนุ่มเอ่ยคนรักด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มทันทีเมื่อเธอขึ้นมาบนรถ "ไม่ค่ะ...ปริมเพิ่งลงมา" ปริมหันไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยตอบเขา "ปริมอยากกินข้าวร้านไหนบอกพี่มาได้เลย" ชายหนุ่มพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีรอยยิ้มเล็กๆ แต้มอยู่บนหน้า "อื้อ...ร้านเดิมก็ได้ค่ะ" ปริมทำท่าทางคิดก่อนจะบอกร้านที่อยากทาน ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าให้เธอก่อนจะขับออกจากคอนโดของเธอทันที "พี่ไปไหนมาไหนกับปริมแบบนี้ภรรยาของพี่ไม่ว่าเหรอคะ" ปริมหันมาถามชายหนุ่มด้วยความอยากรู้ "เขาจะว่าอะไรได้พี่กับเขาแค่แต่งงานกันเพราะธุรกิจเท่านั้น" ปริมยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะเมื่อได้ขายหนุ่มพูดออกมาแบบนั้น "แล้วเมื่อไหร่พี่จะหย่ากับเขาค่ะ..." ปริมแสร้งทำหน้าเศร้าเพื่อเรียกคะแนนจากชายหนุ่ม และมันมั่งจะได้ผลเสมอ "อีกไม่นาน" ปริมยิ้มกว่างทันทีเมื่อได้ว่าเขากำลังจะหย่ากับภรรยาในนามหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตนเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อยหญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนท
เรือนหอ รุ่งเช้าแสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องนอน แสงอบอุ่นที่ควรปลุกให้วันใหม่สดใสกลับทำให้หญิงสาวบนเตียงนอนรู้สึกหนักอึ้งในอกมากกว่าเดิมเปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ทั้งคืนยังคงแดงเรื่อ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ราวกับร่างกายปฏิเสธที่จะเริ่มต้นวันใหม่"อื้อ…ปวดหัวจัง" เสียงบ่นเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปาก เธอฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แรงบีบที่ขมับทั้งสองข้างก็ทำให้ร่างเล็กต้องล้มตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง อาการไมเกรนกำเริบขึ้นทุกครั้งที่ความเครียดกดทับ และเมื่อคืน…เธอก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนเวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อย ๆ พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ขาจะสั่นไหวเล็กน้อยก็ตาม มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงด้วยความหวังว่าจะเจอยาที่ช่วยบรรเทา แต่เมื่อค้นหาไปทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า“หมดเหรอเนี่ย…” เธอพึมพำเสียงแผ่ว สายตาไหวระริก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มือกำขอบลิ้นชักแน่นเล็กน้อยเพื่อสะกดความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจที่รุมเร้าหญิงสาวพยายามฝืนกายลุกขึ้น แม้ศีรษะยั
บริษัท เวลา 18 : 00 น.ติ้ง~ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว ชายหนุ่มเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจัถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นข้อความนั้นมาก่อน หน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างโชว์ข้อความจากภรรยาในนามลิน : 'เย็นนี้พี่เหนือกลับมาทานข้าวไหมคะ'นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนปิดหน้าจอโดยไม่แม้แต่จะพิมพ์ตอบสั้นๆ ความเย็นชาของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพลิกกระดาษและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ด้านลินคอนโดเรือนหอเวลา 18:05 น.หญิงสาวถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองหน้าจอที่ยังไร้การตอบกลับ แสงไฟในห้องครัวส่องกระทบโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย อาหารร้อนๆ หลายอย่างวางรอเจ้าของบ้านอีกคนที่อาจจะไม่กลับมา“คงประชุมอยู่ล่ะมั้ง…” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความเงียบกำลังกัดกินหัวใจ เธอปลอบตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกตะหลิวตักแกงใส่ถ้วยเพิ่มเหมือนจะให้โต๊ะอาหารดูเต็มขึ้น เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะเห็นความตั้งใจของเธอสักครั้งเวลาผ่านไปหลายนาที…โทรศัพท์ยังคงเงียบงัน ไม่มีข้อความตอบกลับ ไม่มีสายเรียกเข้า มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจัง
รุ่งเช้าแสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง ทำให้ลินตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง แต่ใจกลับไม่อาจสงบลงได้และเช่นเคย…เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่าที่หัวใจ"ฮื่อ…สายแล้ว" เธอพึมพำ พลางลุกขึ้นจากเตียง ลมหายใจร้อนๆ ของเธอเหมือนสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจ เดินเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร แม้ในใจจะอยากให้ทุกวันมีรอยยิ้มจากเขา…แต่ก็รู้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้นผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องนอนเธอเดินไปที่ห้องครัวทันที เธอจะเตรียมกาแฟและมื้อเย็นไว้รอสามีทุกวันแต่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยจะสนใจอาหารที่เตรียมตั้งใจเตรียมไว้ให้เขาแต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเตรียมอาหารเช้าเธอเดินไปที่ห้องนอนของเขา เธอเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปเมืีอเข้ามาก็ไม่เห็นที่เตียงนอนแล้วแต่ได้ยินสายน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเธอจะค่อยเตรียมชุดทำงานไว้ให้เขาทุกเช้าแต่ก็ยังดีที่เขาใส่ชุดที่เธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวหยิบสูทสีเทาเข้มออกมาจากตู้ มือเล็กลูบเบาไปบนเนื้อผ้าเรียบหรู ราวกับกำลังสัมผัสเจ้าของชุดโดยที่เขาไม่เคยยินยอมให้สัมผัส เธอเลือกเนคไทสีดำเข้มเข
บริษัทเวลา 11 : 15 น.แสงแดดที่ส่องลงกระทบผิวหนังแทบไหม้แต่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปที่ตึกหนึ่งด้วรอยยิ้มสดใส ในมือของเธอถือปิ่นโตขนาดเล็กสีหวานและมีกล่องขนมที่เป็นของโปรดของสามี เธอคอยเอาใจใส่คนเป็นสามี ถึงแม้ว่าเขาจะเย็นชาและไม่เคยรักเธอเลยก็ตามแต่เธอก็ยังคอยทำให้เขาเสมอมาตลอดหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เธอคือ ลิน มาลินี ส่วนสามีของเธอคือ ภีม ภีมวัตร เขาเป็นถึงประธานบริษัทตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้เขาอายุ 30 ปี บริษัทของเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันเพราะความเก่งของเขา "สวัสดีค่ะ ลินมาขอพบพี่เหนือค่ะ" มาลินีเดินเข้ามาภายในตึกเธอเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนจะบอกพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงเธอจะเป็นภรรยาของท่านประธาน เธอก็ไม่อาจขึ้นไปหาเขาโดยพละการ "สวัสดีค่ะ คุณลินรอสักครู่นะคะ" พนักงานสาวก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร"เชิญคุณลินขึ้นไปได้เลยค่ะ ดิฉันได้แจ้งกับเลขาส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้วค่ะ" "ขอบคุณค่ะ" มาลินีเอ่ยขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความตื่นเต้นติ้ง~เส