หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
เวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตน เจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้าน เสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อย หญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนทุกอย่างปกติ ต้องทำเหมือนเขาเป็นสามีที่รักใคร่ดูแลเธอ ต้องสวมบทบาท 'คู่รักที่มีความสุข' ต่อหน้าผู้ใหญ่ รถเคลื่อนเข้ามาจอดในลานกว้างของบ้านใหญ่ซึ่งโอ่อ่าและอบอุ่น ด้านในบ้านเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของพ่อแม่ของชายหนุ่ม ดังลอดออกมา บรรยากาศช่างต่างจากความเย็นชาที่เธอคุ้นเคยในเรือนหอโดยสิ้นเชิง “ลงสิ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยสั้น ๆ โดยไม่หันมามอง หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนค่อย ๆ เปิดประตูลงจากรถ สูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมแรงใจอีกครั้ง “อ้าว มาแล้วเหรอลูก ๆ มานั่ง ๆ วันนี้แม่ให้แม่ครัวทำของโปรดไว้เยอะแยะเลยนะ” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร คุณวนิดาก็ยิ้มกว้างออกมาต้อนรับ "สวัสดีค่ะ คุณแม่" หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พลางฝืนยิ้มบาง ๆ เธอเดินตามสามีไปนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างกัน ร่างสูงขยับเก้าอี้ให้เธอเล็กน้อยต่อหน้าแม่สามีภาพนั้นทำให้คุณวนิดายิ่งเชื่อว่าทั้งคู่กำลังรักใคร่กันอย่างดี หัวใจเธอสั่นวูบ…เพราะรู้ว่าแท้จริงแล้ว การกระทำนั้นเป็นเพียงการ 'สร้างภาพ' เท่านั้น แต่ถ้าเขาทำให้เธอด้วยใจเธอก็จะดีใจมากแน่ๆ แต่คงได้แค่ฝันเท่านั้น อาหารมากมายถูกยกขึ้นโต๊ะ กลิ่นหอมชวนให้น้ำลายสอ แต่สำหรับหญิงสาวแล้ว กลับกลืนไม่ลง คำพูดของแม่บ้านและแม่สามี ดังเจื้อยแจ้วรอบตัว แต่เธอแทบไม่ได้ยินอะไรเลย “ลินจ๊ะ กินเยอะๆ นะ หน้าตาซีดเชียว ช่วงนี้เหนื่อยอะไรรึเปล่า” เสียงคุณวนิดาถามขึ้นด้วยความห่วงใย “ไม่ค่ะคุณแม่ แค่พักผ่อนน้อยนิดหน่อยค่ะ” ลินฝืนยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ชายหนุ่มก็ตักต้มยำกุ้งใส่ถ้วยเล็กแล้วเลื่อนมาตรงหน้าเธอ “กินหน่อย จะได้มีแรง” พร้อมเอ่ยเสียงเรียบที่พยายามแต่งแต้มความห่วงใย “เหนือเปลี่ยนไปนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย” คุณวนิดายิ้มชื่นชม หัวใจลินปวดหนึบ เธอรับถ้วยต้มยำมากินเงียบ ๆ ทั้งที่คอแข็งราวกับมีก้อนอะไรติดอยู่ การแสดงของเขาดูน่าเชื่อถือจนคุณแม่สามีหลงดีใจ มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่า รอยยิ้มและความอ่อนโยนเหล่านั้น…ไม่ได้มาจากใจของเขาเลยแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะยังคงดังระงมไปทั่วห้องอาหาร บรรยากาศดูอบอุ่นและเป็นกันเองราวกับครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่สำหรับหญิงสาสแล้ว ทุกเสียงนั้นกลับดังก้องเหมือนค้อนหนักที่กระหน่ำลงกลางอก เธอพยายามตักอาหารเข้าปากเล็กน้อยให้ดูไม่ผิดสังเกต ทั้งที่รสชาติแทบไม่รับรู้เลยสักอย่าง แต่ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมา เธอก็จะเห็นสายตาของคุณวนิดาจับจ้องอยู่เต็มไปด้วยความคาดหวัง…คาดหวังในสิ่งที่เธอไม่รู้เลยว่าจะทำได้หรือเปล่า “ลินกับเหนือแต่งงานกันมาก็หลายเดือนแล้วนะจ๊ะ” เสียงคุณวนิดาเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี “เมื่อไหร่จะมีข่าวดีกันนะ” มือที่ถือช้อนของหญิงสาวชะงักค้างกลางอากาศ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนรีบก้มหน้าลง เธอรู้สึกได้ถึงแรงบีบรัดจากอกทันที ราวกับลมหายใจถูกสูบออกไปจนหมด “เรื่องนั้น…คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยครับ พอดีงานที่บริษัทค่อนข้างยุ่ง” ทิศเหนือเองก็ชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็รีบคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา “แหม งานก็งานเถอะ แต่เรื่องครอบครัวก็สำคัญนะลูก” คุณวนิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแต่แฝงความคาดหวังชัดเจน “แม่ก็อยากอุ้มหลานเร็ว ๆ จะได้ทำให้บ้านนี้มีเสียงหัวเราะสดใสกว่านี้อีก” ลินกัดริมฝีปากล่างแน่น พยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาเอ่อคลอ เธอรับรู้ถึงแรงสั่นที่มือไม้เริ่มควบคุมไม่ได้ ร่างเล็กก้มหน้าตักข้าวเงียบ ๆ โดยไม่กล้าเงยหน้ามองใครทั้งนั้น “ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณแม่ ไว้พร้อมเมื่อไหร่…คงมีข่าวดีแน่นอน” ชายหนุ่มปรายตามามองเธอเพียงแวบเดียว เขาเห็นเธอพยายามกลืนคำข้าวอย่างยากลำบาก แต่แทนที่จะเอ่ยปลอบ เขากลับเลือกหันกลับไปตอบคำถามต่ออย่างเรียบเฉย หลังอาหารเย็นเสร็จ พวกเขาพากันนั่งดื่มชากับขนมหวาน เสียงพูดคุยระหว่างชายหนุ่มกับผู้เป็นแม่ยังคงดังต่อเนื่อง หญิงสาวนั่งเงียบเป็นเงาสีจางในมุมหนึ่ง คอยรับรอยยิ้มและคำพูดหวังดีที่ฟังแล้วเหมือนเข็มนับพันทิ่มแทง “ลินจ๊ะ..ดูแลสุขภาพด้วยนะลูก แม่อยากเห็นพวกเธอสองคนรักกันและมีครอบครัวที่อบอุ่น แม่ดีใจมากนะที่ได้ลินมาเป็นลูกสะใภ้” เสียงคุณแม่สามีดังขึ้นอีกครั้ง “ค่ะคุณแม่ ลินจะพยายามค่ะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ฝืนยิ้มทั้งที่หัวใจบีบแน่น เธอไม่รู้เลยว่าคำพูดสั้น ๆ นั้นทำไมถึงเจ็บปวดนัก…อาจเพราะมันย้ำชัดว่า ความรักที่ทุกคนคาดหวัง ไม่เคยมีอยู่จริงในชีวิตคู่ของเธอเลย ภายในรถ เมื่อออกจากบ้านใหญ่ ความเงียบก็กลับมาอีกครั้งภายในรถ หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงไฟถนนทอดยาวเป็นเส้นสายสลับกันไปมา เธอพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจทนได้ “พี่เหนือ…เมื่อกี้ทำไมต้องตอบแบบนั้นคะ” เธอเรียกเขาเสียงเบา ราวกับกำลังรวบรวมความกล้า “แบบไหน” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว มองถนนตรงหน้าโดยไม่หันมาหาเธอ “ก็เรื่อง…เรื่องลูกนะคะ” น้ำเสียงสั่นพร่าของหญิงสาวดังแผ่ว “คุณแม่คาดหวัง แต่พี่เหนือก็บอกว่าจะมี…ทั้งที่จริง ๆ แล้วเรา…” เธอไม่กล้าพูดต่อ ประโยคนั้นเหมือนก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอ “เธออยากให้ฉันตอบยังไงล่ะ หืม จะให้พูดความจริงต่อหน้าทุกคนว่าเราไม่ได้รักกันงั้นเหรอ” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรำคาญ 'ไม่ได้รัก' คำพูดเย็นชาเหมือนน้ำแข็งสาดใส่หน้าของหญิงสาว หญิงสาวก้มหน้าลงทันที มือกำชายกระโปรงแน่นจนยับยู่ยี่ น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลอาบแก้มเงียบ ๆ โดยไม่อาจควบคุมได้ “ลินรู้ว่าพี่…ไม่ได้รักลิน แต่…ลินรักพี่มากนะคะ ลิน…รอให้พี่รักลินมาตลอด แต่มัน…มันไม่เคยมีวันนั้นเลย” เสียงสั่นเครือเหมือนจะขาดหายไปทุกคำ น้ำตาเอ่อรื้นจนพร่าเลือนภาพตรงหน้า ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็ตวัดมองภรรยาด้วยสายตาเรียบนิ่ง หญิงสาวที่มองลึกลงในดวงตาของเขาก็รีบก้มหน้าลงเพราะสายตาของเขามันว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตนเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อยหญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนท
เรือนหอ รุ่งเช้าแสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องนอน แสงอบอุ่นที่ควรปลุกให้วันใหม่สดใสกลับทำให้หญิงสาวบนเตียงนอนรู้สึกหนักอึ้งในอกมากกว่าเดิมเปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ทั้งคืนยังคงแดงเรื่อ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ราวกับร่างกายปฏิเสธที่จะเริ่มต้นวันใหม่"อื้อ…ปวดหัวจัง" เสียงบ่นเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปาก เธอฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แรงบีบที่ขมับทั้งสองข้างก็ทำให้ร่างเล็กต้องล้มตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง อาการไมเกรนกำเริบขึ้นทุกครั้งที่ความเครียดกดทับ และเมื่อคืน…เธอก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนเวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อย ๆ พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ขาจะสั่นไหวเล็กน้อยก็ตาม มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงด้วยความหวังว่าจะเจอยาที่ช่วยบรรเทา แต่เมื่อค้นหาไปทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า“หมดเหรอเนี่ย…” เธอพึมพำเสียงแผ่ว สายตาไหวระริก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มือกำขอบลิ้นชักแน่นเล็กน้อยเพื่อสะกดความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจที่รุมเร้าหญิงสาวพยายามฝืนกายลุกขึ้น แม้ศีรษะยั
บริษัท เวลา 18 : 00 น.ติ้ง~ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว ชายหนุ่มเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจัถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นข้อความนั้นมาก่อน หน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างโชว์ข้อความจากภรรยาในนามลิน : 'เย็นนี้พี่เหนือกลับมาทานข้าวไหมคะ'นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนปิดหน้าจอโดยไม่แม้แต่จะพิมพ์ตอบสั้นๆ ความเย็นชาของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพลิกกระดาษและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ด้านลินคอนโดเรือนหอเวลา 18:05 น.หญิงสาวถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองหน้าจอที่ยังไร้การตอบกลับ แสงไฟในห้องครัวส่องกระทบโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย อาหารร้อนๆ หลายอย่างวางรอเจ้าของบ้านอีกคนที่อาจจะไม่กลับมา“คงประชุมอยู่ล่ะมั้ง…” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความเงียบกำลังกัดกินหัวใจ เธอปลอบตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกตะหลิวตักแกงใส่ถ้วยเพิ่มเหมือนจะให้โต๊ะอาหารดูเต็มขึ้น เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะเห็นความตั้งใจของเธอสักครั้งเวลาผ่านไปหลายนาที…โทรศัพท์ยังคงเงียบงัน ไม่มีข้อความตอบกลับ ไม่มีสายเรียกเข้า มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจัง
รุ่งเช้าแสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง ทำให้ลินตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง แต่ใจกลับไม่อาจสงบลงได้และเช่นเคย…เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่าที่หัวใจ"ฮื่อ…สายแล้ว" เธอพึมพำ พลางลุกขึ้นจากเตียง ลมหายใจร้อนๆ ของเธอเหมือนสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจ เดินเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร แม้ในใจจะอยากให้ทุกวันมีรอยยิ้มจากเขา…แต่ก็รู้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้นผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องนอนเธอเดินไปที่ห้องครัวทันที เธอจะเตรียมกาแฟและมื้อเย็นไว้รอสามีทุกวันแต่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยจะสนใจอาหารที่เตรียมตั้งใจเตรียมไว้ให้เขาแต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเตรียมอาหารเช้าเธอเดินไปที่ห้องนอนของเขา เธอเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปเมืีอเข้ามาก็ไม่เห็นที่เตียงนอนแล้วแต่ได้ยินสายน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเธอจะค่อยเตรียมชุดทำงานไว้ให้เขาทุกเช้าแต่ก็ยังดีที่เขาใส่ชุดที่เธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวหยิบสูทสีเทาเข้มออกมาจากตู้ มือเล็กลูบเบาไปบนเนื้อผ้าเรียบหรู ราวกับกำลังสัมผัสเจ้าของชุดโดยที่เขาไม่เคยยินยอมให้สัมผัส เธอเลือกเนคไทสีดำเข้มเข
บริษัทเวลา 11 : 15 น.แสงแดดที่ส่องลงกระทบผิวหนังแทบไหม้แต่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปที่ตึกหนึ่งด้วรอยยิ้มสดใส ในมือของเธอถือปิ่นโตขนาดเล็กสีหวานและมีกล่องขนมที่เป็นของโปรดของสามี เธอคอยเอาใจใส่คนเป็นสามี ถึงแม้ว่าเขาจะเย็นชาและไม่เคยรักเธอเลยก็ตามแต่เธอก็ยังคอยทำให้เขาเสมอมาตลอดหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เธอคือ ลิน มาลินี ส่วนสามีของเธอคือ ภีม ภีมวัตร เขาเป็นถึงประธานบริษัทตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้เขาอายุ 30 ปี บริษัทของเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันเพราะความเก่งของเขา "สวัสดีค่ะ ลินมาขอพบพี่เหนือค่ะ" มาลินีเดินเข้ามาภายในตึกเธอเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนจะบอกพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงเธอจะเป็นภรรยาของท่านประธาน เธอก็ไม่อาจขึ้นไปหาเขาโดยพละการ "สวัสดีค่ะ คุณลินรอสักครู่นะคะ" พนักงานสาวก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร"เชิญคุณลินขึ้นไปได้เลยค่ะ ดิฉันได้แจ้งกับเลขาส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้วค่ะ" "ขอบคุณค่ะ" มาลินีเอ่ยขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความตื่นเต้นติ้ง~เส