Mag-log inไม่ทันที่จางเหม่ยเหม่ย หานชิงเยว่ และเฉินชิวเยว่จะได้เอ่ยอะไร ในห้องกลับมีเสียงบุรุษสบถบ่นไม่เป็นภาษา เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นว่าเสียงนั่นไม่ได้เกิดจากคนเพียงหนึ่ง แต่มีถึงสอง
นอกจากบนเตียงแล้ว ในห้องยังมีบ่าวชายนอนเปลือยร่างกองอยู่ที่มุมห้องอีกสองคน!
จางเหม่ยเหมยคิดจะเดินไปปิดประตู ซ่อนภาพอันน่าอุจาดนี้จากคนทั้งหมด ทว่าไม่ทัน
“ผู้ใดมั่วสุมอยู่ในห้อง กระทำเรื่องต่ำทรามในวันดีๆ ของน้องสาวข้า ใส่ร้ายป้ายสีน้องสาวข้า ไปลากตัวออกมาให้หมด!”
สิ้นเสียงเฉินจิ้งอี้ องครักษ์ที่ล้วนเป็นคนของเฉินจิ้งอี้ก็ปราดเข้ามาในห้อง
จางเหม่ยเหมยรีบควานหาเสื้อผ้ามาคลุมร่างให้บุตรสาว แม้จะคับแค้นใจก็ทำได้เพียงตวัดสายตามองสองแม่ลูก หานชิงเยว่ เฉินชิวเยว่ อย่างอาฆาตมาดร้าย
ชั่วอึดใจนั้น นางตะโกนเสียงดัง “คุณชายใหญ่ บุตรสาวของข้าถูกคนชั่วทำร้าย ยามนี้ยังคงไม่ได้สติ ตัวนางในยามนี้ ปกป้องตนเองก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะเอาปัญญาที่ใดไปใส่ความคุณหนูสามของท่าน!” ในเมื่อยามนี้ตระกูลนางตกต่ำไม่อาจพึ่งพาได้ อีกทั้งในจวนก็ไร้ผู้รักใคร่ให้ความคุ้มครอง หากวันนี้นางกับบุตรสาวต้องย่อยยับ อย่างน้อยๆ นางก็จะลากเอาสองแม่ลูกอสรพิษคู่นี้ให้ตกนรกหมกไหม้ไปพร้อมๆ กับนางด้วย!
คำพูดของจางเหม่ยเหมยประโยคเดียว แม้ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้า ‘ศัตรู’ ทั้งสองฝั่งของตนในยามนี้ แต่ยังกระทบไปถึง ‘บุตรสาว’ ของนางด้วย
เฉินเหม่ยเซียงไม่อาจทนแบกรับข้อครหาใดใดได้ คุณหนูสี่ของจวนรีบแสดงตัวให้คนทั้งหมดเห็นชัดถนัดตาว่าตนไม่ใช่ ‘บุตรสาวของอนุจางที่ถูกคนทำร้าย’ ด้วยการร้องไห้โฮ กล่าวเสียงดัง “พี่หญิงรอง! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”
เฉินหมิงเยว่เห็นแล้วได้แต่หัวเราะในอก เห็นปากเปราะไม่รู้จักคิดก็นึกว่าจะตื้นเขิน สมองหมู ที่ไหนได้...ฮึๆ ที่แท้พี่สี่ของนางก็ช่างเลือดเย็นนัก ยามโคลนจะสาดกระเซ็นมาถึงตัว กระทั่งพี่สาวร่วมครรภ์มารดาของตน เฉินเหม่ยเซียงก็ยังลากเอามาประจานได้ ไม่ละเว้น
เฉินเหม่ยเซียงยังสะอึกสะอื้นกล่าวต่อ “เมื่อครู่พี่หญิงใหญ่ร้องโวยวายเสียงดังว่าเป็นพี่หญิงสาม เหตุใดจึงกล่าวว่าเป็นพี่หญิงสามล่ะเจ้าคะ!”
โอ๊ะ... เฉินหมิงเยว่รีบแสร้งวิงเวียน ส่งมือให้สาวใช้คนสนิทประคองถอยหลัง พาหลบออกไปจากงิ้วโรงฉากใหญ่อีกสักหลายๆ ก้าว เกรงว่าโคลนจะสาดมาถึงตัวด้วยอีกราย
เฉินชิวเยว่ที่กำลังเล่นละครเป็นพี่สาวห่วงใยน้องสาวต่างมารดาได้ยินที่เฉินเหม่ยเซียงพูดก็พลันสะดุ้งในอก ทว่าแม้จะตกใจก็ยังไม่ถึงขั้นขาดสติ นางรีบแก้ตัวเสียงสั่น “เมื่อครู่สาวใช้ที่กรีดร้องอยู่ด้านนอกกล่าวว่าเป็นน้องสาม...ข้าจึงนึกว่า...ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นน้องรอง...”
จางเหม่ยเหมยฟังแล้วแค้นใจนัก เช่นนี้นางสารเลวเฉินชิวเยว่กับมารดาก็จะเอาตัวรอดไปได้... นางไม่ยอม!
“เป็นสาวใช้คนใด ไปลากตัวมา!” อนุจางสั่งคนรับใช้เสียงดัง ทว่าสาวใช้ของนางกลับกล่าวว่าหาตัวสาวใช้ผู้นั้นไม่เจอ นั่นทำให้นางหมดความอดทนทันที
“คุณชายใหญ่” จางเหม่ยเหมยตะโกนเสียงดังยิ่งกว่าเก่า “ครั้งนี้ไม่เพียงบุตรสาวข้าถูกรังแก คุณหนูสามเองก็ยังถูกปรักปรำอย่างไม่เป็นธรรม บุตรสาวของข้าเองก็เป็นน้องสาวของท่านเช่นกัน ขอคุณชายใหญ่จับตัวสาวใช้ผู้นั้นและบ่าวชายพวกนี้ทั้งหมดไปสอบสวน คืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของข้าและคุณหนูสามของจวนพวกเราด้วย!”
“พอ!” เฉินกั๋วกงตวาดเสียงดัง “หยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว เรื่องครั้งนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง” เฉินกั๋วกงออกคำสั่งเฉียบขาด “องครักษ์! จับตัวบ่าวชายพวกนี้ไปขัง มัดมือมัดเท้า หาอะไรมาอุดปากไว้ อย่าให้ชิงกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ส่วนสาวใช้คนนั้น ต่อให้ต้องพลิกจวนก็ต้องควานหาตัวหญิงต่ำช้าปากเปราะที่ปรักปรำคุณหนูสามออกมาให้ได้!” ออกคำสั่งแล้ว เฉินกั๋วกงก็หันไปประสานมือคำนับครอบครัวจวิ้นหวัง ฝืนข่มความอัปยศ กล่าวอย่างเข้มขรึมจริงจัง “วันดีๆ เช่นนี้กลับเกิดเรื่องอัปยศขึ้นในจวน ขายหน้าทุกท่านแล้ว”
“ที่ใดใดก็ล้วนเกิดเรื่องได้ทั้งนั้น” จวิ้นหวังกล่าวคล้ายไม่ถือสา ทว่าประโยคถัดมา ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็พบว่า ‘ถือสา’ เป็นอย่างยิ่ง “ทว่าว่าที่สะใภ้ตระกูลเราไม่สมควรต้องมาถูกปรักปรำเช่นนี้ เรื่องครั้งนี้หวังว่าเฉินกั๋วกงจะสืบสวนให้ดี อีกทั้งสมควรเพิ่มองครักษ์วางเวรยามให้รัดกุมกว่านี้อีกสักหน่อย”
เฉินกั๋วกงค้อมศีรษะน้อมรับอย่างเสียมิได้
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







