ภาพแรกสุดที่ถูกนำออกมาตั้ง ณ ใจกลางลานประชันขันแข่งก็คือภาพของคุณหนูจากหมู่ตึกสกุลมู่หรง มู่หรงรั่วหลาน
“ฝีพู่กันหนักแน่น บ่งบอกว่าตัวผู้วาดเป็นผู้จิตใจมั่นคง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเอง ขับให้ภาพสาวงามท่ามกลางบุปผชาติยิ่งดูเป็นสาวงามผู้เด็ดเดี่ยว สมแล้วที่เป็นภาพวาดฝีมือคนสกุลมู่หรงที่ล้วนเด็ดเดี่ยว ห้าวหาญ ยึดถือความซื่อตรงเป็นที่ตั้ง หากเป็นเรื่องศีลธรรมจรรยา ข้อบังคับ และกฎหมายที่ตราเอาไว้แล้ว พวกเขาเหล่าคนสกุลมู่หรงล้วนยอมหักไม่ยอมงอ ตัวข้านั้นเลื่อมใสคนสกุลมู่หรงในข้อนี้ยิ่งนัก”
ได้ยินไท่โฮ่วตรัสชื่นชมฝีพู่กันของตนรวมไปถึงผู้คนในสกุลมู่หรง มู่หรงรั่วหลานพลันแย้มรอยยิ้มงดงามเจิดจ้า ยอบกายถวายพระพรสวีไท่โฮ่วคราหนึ่ง แม้กิริยาท่าทีจะดูสุภาพสำรวมตามธรรมเนียม กลับให้ความรู้สึกว่านางช่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ดูราวกับขุนศึกหญิงอย่างไรอย่างนั้น
เซียงหรงไม่เคยเห็นสตรีคนใดดูห้าวหาญองอาจเช่นนี้มาก่อน จึงถึงกับเผลอแย้มรอยยิ้มออกมา สายตาจ้องมองมู่หรงรั่วหลานด้วยแววตายกย่องชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด
ยามเมื่อนั่งอยู่บนที่สูง ย่อมจะมองเห็นทุกการกระทำของผู้อยู่เบื้องล่างอย่างชัดเจน คนทั้งหมดรวมถึงสวีไท่โฮ่วจึงได้เห็นว่ายังมีคุณหนูผู้หนึ่ง ดูตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ชื่นชอบและชื่นชมหนึ่งในบรรดาคู่แข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีของตนเป็นอย่างยิ่ง
“น่าสนใจ...” สวีไท่โฮ่วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ทว่าไม่เบาพอที่ผู้นั่งเคียงข้างอย่างหวงโฮ่วจะไม่ได้ยิน
สวีหวงโฮ่วมองตามสายตาที่เบนออกจากภาพวาดใจกลางลาน ก็เห็นว่าสวีไท่โฮ่วกำลังทอดพระเนตรสาวงามที่ทั้งอ่อนเยาว์และงดงามโดดเด่นเป็นที่สุดผู้หนึ่ง
“ทูลหวงโฮ่ว ท่านนั้นก็คือคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงที่เก็บตัวเงียบเชียบในเรือนหลัง หลายปีมานี้ไม่เคยก้าวขาออกนอกจวนเลยสักก้าว นามว่า เฉินเซียงหรง...เป็นบุตรสาวของเซียงเหลียนจวิ้นจูเพคะ” นางข้าหลวงคนสนิทของสวีหวงโฮ่วกระซิบบอกแผ่วเบา
“สตรีอื่นจดจ่ออยู่กับการประชันขันแข่ง ต่างรอคอยที่จะได้อวดความสามารถของตนเอง ทว่าคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับใช้แววตาซื่อใสนั่นจ้องมองผู้เข้าขันแข่งชิงชัยกับตนเองอย่างชื่นชม...นอกจากความงามอันโดดเด่นและเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จเพียงใดเกี่ยวกับนางที่ผู้คนเล่าลือกัน ต้องยอมรับว่าแววตาเช่นนั้นของนางก็น่าสนใจไม่น้อย”
สวีไท่โฮ่วแย้มสรวล เอ่ยไม่ดังไม่เบา “นี่กระมัง...เจ้าของผ้าปักลายทิวทัศน์ที่ฝีปักละเอียดลออ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไร้ตำหนิ ซึ่งเต็มไปด้วยอักขระและถ้อยคำอันเป็นมงคล”
หวงโฮ่วทรงชะงักไปเล็กน้อย “ผ้าปักลายของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงที่หม่อมฉันส่งไปถวายเสด็จแม่ เป็นผ้าปักลายทิวทัศน์อันงดงามที่มองแล้วเย็นใจสบายตาผืนหนึ่งมิใช่หรือเพคะ”
สวีไท่โฮ่วแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้น กล่าวเสียงนุ่ม “หวงโฮ่วคงจะรีบร้อนส่งข้าวของเหล่านั้นมาให้เพื่อปลอบประโลมจิตใจผู้ชราเช่นแม่ จึงมิได้ทันสังเกตว่าในลายปักอันละเอียดลออของคุณหนูสามผู้นั้น แฝงไว้ด้วยอักขระยันต์และถ้อยคำอันเป็นมงคลกว่าหมื่นกว่าแสนคำ”
“ปักภาพผืนใหญ่ด้วยการปักอักขระยันต์และถ้อยคำอันเป็นมงคลจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเรียงต่อกัน...” หากไม่ใช่ว่าหวงโฮ่วเช่นพระนางถูกกาลเวลาฝึกฝนให้กลายเป็นผู้สงบนิ่ง สงวนกิริยาอาการ ป่านนี้หวงโฮ่วเช่นพระนางคงหลุดอุทานด้วยความตื่นตกใจออกมาแล้ว
สวีหวงโฮ่วจ้องมองใบหน้าอันงดงามราวกับจะล่มบ้านล่มเมืองของเด็กสาวในประเด็นสนทนาแล้ว ก็นึกออกมาได้หนึ่งคำ
โฉมงามยอดเมธี...
แค่ผ้าปักผืนนั้นและรูปโฉมนั่น ก็เพียงพอแล้วให้ผู้คนเรียกขานคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงด้วยคำนี้ ทว่า...การจะครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในเทศกาลชมบุปผา ใช่ว่าจะสามารถคว้าเอาตำแหน่งมาด้วยรูปลักษณ์หรือผ้าปักเพียงหนึ่งผืนเท่านั้น
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็เกิดนึกอยากเห็นภาพวาดของคุณหนูสามผู้นี้ขึ้นมา น่าเสียดายที่ภาพวาดของนางถูกนางกำนัลนำผ้าขาวผืนยาวมาคลุมเอาไว้เช่นภาพวาดของเด็กสาวคนอื่นๆ เสียแล้ว
ถัดจากคุณหนูจากหมู่ตึกสกุลมู่หรง ภาพของผู้เข้าขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีรายถัดๆ มาก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจมากนัก เป็นเพียงภาพวาดดอกโบตั๋นที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ แม้จะถูกวาดขึ้นด้วยสีสันที่แตกต่างกัน กลับดูซ้ำๆ จำเจ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิดสวีไท่โฮ่วและสวีหวงโฮ่ว ถูกกิริยาท่าทางตื่นเต้นชอบใจและชื่นชมยกย่องในตัวคู่แข่งแต่ละราย อันบริสุทธิ์ซื่อใส ของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ตรึงความสนใจเอาไว้อย่างแน่นหนา จึงไม่ได้ออกปากพูดจากันเรื่องภาพวาดภาพไหนสักภาพกระทั่งมาถึงภาพวาดที่เหล่าผู้เข้าชมการแข่งขันรอบๆ ลานประชันขันแข่ง พากันส่งเสียงฮือฮาดังระงม ของคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ อู๋ชิงชิง สวีไท่โฮ่วและสวีหวงโฮ่วจึงสามารถละสายตาจากใบหน้าพริ้มเพราของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เบนสายตามองภาพวาดใจกลางลานประชันขันแข่งดังเช่นที่สมควรกระทำภาพวาดของอู๋ชิงชิง ก็ไม่ต่างจากก่อนหน้า เป็นภาพวาดโบตั๋นสีม่วงครามท่ามกลางอุทยานกว้างที่เต็มไปด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ ทว่า...ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำหนักการลงสี ไม่ว่าจะเป็นฝีพู่กัน ไม่ว่าจะเป็นการวาดดอกไม้และใบไม้อย่างละเอียดลออ หรือแม้แต่การ
ภาพแรกสุดที่ถูกนำออกมาตั้ง ณ ใจกลางลานประชันขันแข่งก็คือภาพของคุณหนูจากหมู่ตึกสกุลมู่หรง มู่หรงรั่วหลาน“ฝีพู่กันหนักแน่น บ่งบอกว่าตัวผู้วาดเป็นผู้จิตใจมั่นคง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเอง ขับให้ภาพสาวงามท่ามกลางบุปผชาติยิ่งดูเป็นสาวงามผู้เด็ดเดี่ยว สมแล้วที่เป็นภาพวาดฝีมือคนสกุลมู่หรงที่ล้วนเด็ดเดี่ยว ห้าวหาญ ยึดถือความซื่อตรงเป็นที่ตั้ง หากเป็นเรื่องศีลธรรมจรรยา ข้อบังคับ และกฎหมายที่ตราเอาไว้แล้ว พวกเขาเหล่าคนสกุลมู่หรงล้วนยอมหักไม่ยอมงอ ตัวข้านั้นเลื่อมใสคนสกุลมู่หรงในข้อนี้ยิ่งนัก”ได้ยินไท่โฮ่วตรัสชื่นชมฝีพู่กันของตนรวมไปถึงผู้คนในสกุลมู่หรง มู่หรงรั่วหลานพลันแย้มรอยยิ้มงดงามเจิดจ้า ยอบกายถวายพระพรสวีไท่โฮ่วคราหนึ่ง แม้กิริยาท่าทีจะดูสุภาพสำรวมตามธรรมเนียม กลับให้ความรู้สึกว่านางช่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ดูราวกับขุนศึกหญิงอย่างไรอย่างนั้นเซียงหรงไม่เคยเห็นสตรีคนใดดูห้าวหาญองอาจเช่นนี้มาก่อน จึงถึงกับเผลอแย้มรอยยิ้มออกมา สายตาจ้องมองมู่หรงรั่วหลานด้วยแววตายกย่องชื่นชมอย่างเห็นได้ชัดยามเมื่อนั่งอยู่บนที่สูง ย่อมจะมองเห็นทุกการกระทำของผู้อยู่
“ไท่โฮ่วเสด็จจจ!!!”เสียงประกาศการมาถึงของสวีไท่โฮ่ว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักคนทั้งหมดต่างกล่าวถวายพระพรสวีไท่โฮ่ว รอจนพระนางประคองหวงโฮ่วให้ลุกขึ้น พร้อมกับมีพระเสาวนีย์ให้คนทั้งหมดลุกขึ้น และเหล่าองค์ชาย พระญาติ ตลอดจนเหล่าผู้สูงศักดิ์ลุกขึ้นตามลำดับแล้ว เหล่าสามัญชนคนธรรมดาจึงกล้าลุกกลับขึ้นมานั่งยังที่ทางของตนเองด้วยกิริยาอาการสำรวมยิ่งว่ากันว่าไท่โฮ่วจากสกุลสวีพระองค์นี้ แม้ผิวเผินดูเป็นผู้ชราที่เรียบง่าย สมถะ ไม่ชอบพิธีรีตอง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ถือสาในมารยาทธรรมเนียมเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนทั่วทั้งเทียนจินต่างรู้ดีว่าสวีไท่โฮ่วทรงเป็นสตรีที่เข้มงวดและยึดมั่นในมารยาทธรรมเนียมเพียงใด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องขององค์ชายสี่ที่เกิดจากหวงกุ้ยเฟยและองค์ชายห้าที่เกิดจากเสียนเฟยซึ่งล้วนได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ครั้งนั้นองค์ชายสี่และองค์ชายห้า “กระทำกิริยาหยาบช้า ไม่รักษาจรรยามารยาทที่องค์ชายพึงมี” เบื้องหน้าพระพักตร์ ต่อหน้าคนมากมาย สวีไท่โฮ่วถึงกับสั่งให้องค์ชายทั้งสองคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ในอุทยานกลาง สร้างความอัปยศให้
ประเดี๋ยวก่อน! เรื่องเรียนมาจากที่ใดนั้น เอาไว้ก่อนเถอะ บันไดที่นางวาดออกมานั่นมีเก้าขั้นใช่หรือไม่นี่...นี่หรือว่า...เพียงนึกขึ้นได้ว่าสตรีชุดแดงที่เบื้องหลังมีดอกโบตั๋นงามสะพรั่งเป็นฉากหลังนั้นคือผู้ใด ผู้ที่พอคาดเดาได้แล้วว่าคุณหนูสามวาดภาพอะไรออกมาก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ผู้ที่หัวช้าสักหน่อย แม้ทีแรกยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อคิดใคร่ครวญให้ดีแล้ว ก็ตกใจจนถึงกับหัวสมองด้านชา ไม่รู้แล้วว่าสมควรเชื่อสายตากับสามัญสำนึกของตนดีหรือไม่ไม่...อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้...ผู้คนทั้งหัวช้าทั้งหัวเร็วต่างถกเถียงกับตนเองในใจหลายปีมานี้ ไม่มีใครขวัญกล้า ไม่กลัวตาย ริอ่านวาดภาพเหล่าสมาชิกในราชวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาตเลยสักคน คุณหนูสามท่านนี้ต่อให้หลายปีมานี้จะถูกกักตัวไว้ในเรือนหลังก็คงไม่ถึงกับไม่รู้ความถึงเพียงนั้น วัดจากการที่นางสามารถตอบคำถามของเหล่าราชบัณฑิตในรอบแรก และวัดจากการที่นางสามารถประลองหมากกับคุณหนูสี่สกุลอู๋ได้อย่างสูสี ซ้ำยังสามารถใช้กลวิธีขั้นสูงวาดภาพที่ดูงดงามสมจริงเช่นนี้ออกมาได้ คุณหนูสามจวนเฉิ
“พี่ชาย...ท่านประเมินคุณหนูสามของข้าต่ำเกินไปแล้ว” ชายต่างถิ่นดูมั่นอกมั่นใจ เชื่อมั่นในตัวคุณหนูสามที่รูปโฉมงดงามเจิดจรัสยิ่งนักเหล่าพ่อค้าและชาวเมือง ณ บริเวณนั้นต่างเหลียวสบตา...ไม่ได้การแล้ว ไม่ได้การแล้ว! คนผู้นี้...คนผู้นี้ถูกความงามของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้วจริงๆ นั่นหละ…เฮ้อ! อีกไม่นานชายต่างถิ่นคนนี้ก็จะสิ้นเนื้อประดาตัว ทั้งยังอาจตกเป็นหนี้สินที่ไม่อาจชดใช้...ครั้งนี้นับว่าความงามของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงสร้างบาปกรรมโดยแท้!ยิ่งคิด เหล่าพ่อค้าและชาวเมืองก็ยิ่งสังเวชใจ สมเพชเวทนาชายต่างถิ่นที่ไม่รู้ความ แยกไม่ออกว่าอะไรคือความงาม แยกไม่ออกว่าอะไรคือความสามารถ ผู้นี้ยิ่งนักข้างหน้ามีทั้งสาวงาม มีทั้งภาพที่ค่อยๆ ถูกแต่งแต้มจนเป็นรูปภาพหลากสีสัน เจริญตา ผู้เข้าชมการประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีต่างเพลิดเพลินจำเริญใจเป็นอย่างยิ่งกว่าที่พวกเขาทั้งหมดจะทันรู้สึกตัว เสียงระฆังจากหอเหยียบเมฆาก็ดังขึ้นอีกครั้ง บอกให้รู้ว่าสาวงามทุกคนที่อยู่ข้างในล
พ่อค้าและชาวเมือง ณ บริเวณนั้นต่างพากันส่ายหน้า เอือมระอา ผินหน้ากลับจ้องมองเหล่าสาวงามสบัดพู่กันตวัดวาดภาพอันงดงามเลิศล้ำ ไม่คิดต่อปากต่อคำกับคนถูกศรรักปักลึกจนหน้ามืดตามัว ให้เสียเวลาดูชมเหล่าสาวงามเลื่องชื่อของแผ่นดินเทียนจิน อวดความสามารถที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ผู้ที่ตวัดพู่กันวาดภาพได้รวดเร็ว ดูชมแล้วพาให้ตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด คือคุณหนูรองจากจวนเฉินกั๋วกง เฉินเหม่ยลี่ รองลงมาคือท่านหญิงเทียนจูที่ถูกจัดให้ยืนวาดภาพอยู่ข้างเคียงกันหญิงงามคู่นี้ยิ่งวาดภาพก็ยิ่งตวัดพู่กันรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังประชันความเร็วกันอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาคุณหนูใหญ่จากจวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ และคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ อู๋ชิงชิง ที่ถูกจัดให้ยืนวาดภาพอยู่ถัดจากคุณหนูรองจวนเฉินกั๋วกงและท่านหญิงเทียนจูตามลำดับ กลายเป็นว่าตวัดพู่กันวาดภาพได้อย่างเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า ทั้งอย่างนั้นก็ยังให้ความรู้สึกว่าคุณหนูทั้งสองต่างเป็นผู้สุขุมและใจเย็นเป็นอย่างยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด ภาพวาดของยอดหญิงงามทั้งสี่ ล้วนงดงามยิ่งนอกจากคุณหนูทั้งสามและท่านหญิงเทียนจูแล้ว สี่สหายผู้รู้ใจจาก