จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมา
ปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...
ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่
สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วย
เฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้
สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู๋ชิงชิงด้วยแววตาชื่นชมประสมยินดี ที่อีกฝ่ายได้คะแนนสูงกว่าผู้เข้าแข่งขันที่คณะกรรมการทำการตรวจให้คะแนนไปแล้วทั้งหมด
เฮ้อ...รายนี้ก็นับว่ายังใสซื่ออ่อนต่อโลกจนเกินไป...
ไม่ถูก...เรื่องที่อนุทั้งสามของเฉินกั๋วกงล้วนมาจากตระกูลใหญ่ ผู้คนล่วงรู้กันทั่วทั้งแผ่นดิน...
บางทีคุณหนูสามจากจวนเฉินกั๋วกงผู้นี้ อาจเป็นผู้ที่เก็บงำความรู้สึกได้ดี ซ้ำยังมีความสามารถในการเลือกใช้ ‘หน้ากาก’ เลิศล้ำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้ว เด็กสาวที่สูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งยังตกเป็นข่าวเล่าลือคาวคลุ้งจนถูกบิดาทอดทิ้งและกักขังไว้ในเรือนหลัง จะสามารถเอาชีวิตรอดจากสตรีสกุลหาน สกุลซู และสกุลจาง ได้อย่างไร สตรีจากสามสกุลนี้ที่เข้ามาเป็นสนมได้ดิบได้ดีอยู่ในวังจิตใจซับซ้อนเพียงใด รับมือยากเย็นเพียงไร ต่างถือดีว่ามีตระกูลที่เก่าแก่และรุ่งเรืองหนุนหลังอยู่เช่นไร พระนางย่อมรู้ดีที่สุด
พระนางรู้จักนิสัยใจคอของสตรีผู้นั้นดี อนุหานจวนเฉินกั๋วกง หานชิงเยว่ มิใช่ผู้ใหญ่ใจอารีที่สามารถรักเอ็นดูบุตรสาวบุตรชายซึ่งเกิดจากสตรีอื่นของสามีได้ดังเช่นที่แสดงออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตรงกันข้าม...หากจะกล่าวว่าผู้ที่เป็นสาเหตุให้ฟูเหรินที่เป็นถึงจวิ้นจูตายจากไปตั้งแต่ยังเยาว์ ซ้ำยังเป็นต้นตอของขาวเล่าลือคาวคลุ้งของคุณหนูสามของจวนก็คือหานชิงเยว่ พระนางก็ไม่คิดว่าคำกล่าวนี้จะฟังดูเกินเลยไปสักนิด
หากเด็กสาวผู้หนึ่งสามารถเอาตัวรอดจากอนุจากตระกูลใหญ่ทั้งสามของบิดาและพี่หญิงน้องหญิงของตน จนเติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างงดงามหมดจดถึงเพียงนี้ เพียงนำมาขัดเกลาอีกสักเล็กน้อย เด็กสาวเช่นนี้ก็จะสามารถเอาตัวรอดจากผู้คนในวังหลวงและสงครามชิงบัลลังก์ระหว่างองค์ชายทั้งหมดได้เช่นกัน เสียก็แต่ในอดีตคุณหนูสามผู้นี้เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวคาวคลุ้งที่เล่าลือกันไปทั่วทั้งเทียนจิน...
ต้องรอดูกันว่า เด็กสาวอย่างนาง จะสามารถใช้โอกาสที่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าคนมากมายในรอบหลายปีเช่นนี้ ล้างมลทินให้ตนเองได้หรือไม่
ยิ่งมองคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง พระเนตรของหวงโฮ่วก็ยิ่งเปล่งประกายวาบวับราวกับพญาอินทรีจับจ้องเหยื่อตัวจ้อยก็ไม่ปาน
สวีหวงโฮ่วเริ่มดีดลูกคิด คำนวณในใจ
อู๋ชิงชิงไม่เป็นที่วางพระทัยของไท่โฮ่วไปแล้ว หากไท่โฮ่วไม่วางพระทัย ฝ่าบาทก็ยากจะวางพระทัยเช่นกัน เช่นนี้แล้ว ขืนแต่งอู๋ชิงชิงเป็นสะใภ้ ภายภาคหน้า บุตรชายและอู๋ชิงชิงทำสิ่งใด แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็อาจถูกระแวงสงสัย จากที่ไม่มีเรื่องใด หากพูดผิดสักเล็กน้อย ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
นอกจากนี้...คนเราไม่ใช่ว่าระมัดระวังดีแล้วก็จะไม่เกิดเรื่องมิใช่หรือ?
เกิดเป็นคน ต่อให้ไม่ถือไม้ไล่ตีผู้อื่น ใช่ว่านั่งอยู่เฉยๆ จะไม่ถูกผู้ถือไม้มาทุบตี...ตระกูลเก่าแก่อย่างสกุลอู๋ แม้ผิวเผินดูมั่นคง ทว่าตลอดหลายสิบปีมานี้ก็ใช่ว่าจะไร้ศัตรูคู่แค้นหรือตระกูลขุนนางที่ขับเขี้ยวกันมา…
อู๋ชิงชิงผู้นี้...แม้มีคุณสมบัติที่ดี รูปโฉมไม่ด้อย เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ทว่าเมื่อพิจารณาไปถึงตระกูลที่อยู่เบื้องหลังแล้ว นับว่าไม่เหมาะจะรับมาเป็นสะใภ้เป็นอย่างยิ่ง
ต่างจากเหล่าคุณหนูจากจวนเฉินกั๋วกง...จวนเฉินกั๋วกง แต่ไหนแต่ไรวางตัวเป็นกลาง ผู้เป็นบิดารับราชการมานาน ไม่เคยกระทำเรื่องผิดพลาดต่อทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ทั้งได้รับความไว้วางใจและเป็นที่นับหน้าถือตา
สำหรับพระนางแล้วจะเป็นลูกสาวคนที่เท่าไหร่หาสำคัญไม่ สายเลือดและสถานะของพวกนางต่างหากที่สำคัญ
ในบรรดาคุณหนูจวนเฉินกั๋วกงทั้งหลาย มีเพียงเฉินเซียงหรงที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ซ้ำมารดายังมีสายเลือดราชวงศ์สกุลหลี่ เป็นถึงจวิ้นจูผู้หนึ่งที่มีพี่ชายร่วมครรภ์มารดาเป็นถึงจวิ้นหวังที่สามารถส่งต่อตำแหน่งนั้นให้บุตรชายได้อีกทอด หมากดีๆ เช่นนี้ หากยอมเสียไป ก็นับว่าน่าเสียดายยิ่งแล้ว...
สวีหวงโฮ่วพลันตัดสินพระทัย
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&
ไท่โฮ่วเดาความคิดสะใภ้ออก ทว่าทั้งนางและหวงโฮ่วก็ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน เหตุใดนางจะไม่อยากสนับสนุนหวงโฮ่ว ช่วยอุ้มชูหลานชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองถึงสองชั้นรอจนถึงคราวที่ภาพวาดของเฉินเซียงหรงเปิดเผยแก่สายตาทุกคน สวีไท่โฮ่วประเมินแล้วว่าภาพนั้นมิได้มีสิ่งใดเสียหายก็ปรบมือดังสนั่น แย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผา เอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าดังกังวาน“วาดได้ดี ดียิ่ง!” ไท่โฮ่วกล่าวชื่นชมคล้ายลืมตัว “ผู้อื่นวาดภาพสาวงามกับดอกไม้งาม บ้างวาดภาพโบตั๋นสีแดงสื่อความนัย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับวาดสิ่งที่ต่างออกไป ช่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีฝีมือการวาดภาพเหนือชั้นยิ่งนัก หากบุปผาเปรียบได้กับสตรี ใต้หล้านี้จะมีสตรีใดเหมาะสมกับคำว่า ‘ยอดบุปผา’ ยิ่งกว่ามารดาของแผ่นดิน!”สวีหวงโฮ่วใจเต้นรัว คาดไม่ถึงว่าไท่โฮ่วจะกล่าวยกย่องพระนางต่อหน้าคนทั้งหมดชัดแจ้งถึงเพียงนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนเกิดมาในสกุลสวี จึงนับได้ว่าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่แรกเข้าวัง แม้จะมีที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ลงท้ายแล้วทุกครั้งก็ล้วนผ่านมาได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ไม่อาจปีน
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมาปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วยเฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู