LOGINหานชิงเยว่จิบชา ก่อนจะเอ่ยถามถึงมารดาของเขา “อนุซูเป็นอย่างไรบ้าง พักนี้นางไม่ค่อยได้มาพูดคุยกับข้าเลย ไม่รู้ว่าสบายดีหรือไม่ ครั้นข้าจะไปหานางที่เรือน ก็กลัวว่านางจะยุ่งอยู่ เลยไม่ได้ไปเสียที”
“ท่านแม่สบายดีขอรับ” ชายหนุ่มยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง วงหน้าหล่อเหลาคมคายคล้ายผู้เป็นบิดาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าช่วงนี้นางเริ่มยุ่งกับการตัดอาภรณ์ฤดูใบไม้ผลิให้ข้า หากแม่รองต้องการไปเยี่ยมเยียนนางก็ไปเถิดขอรับ”
“นั่นสิ พักนี้ข้าเองก็มีสิ่งที่กังวลใจอยู่บ้าง ไปคุยกับนางบ้างก็คงดี”
“มีเรื่องใดทำให้แม่รองกังวลใจหรือ” เฉินจื้อเฉิงถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
เขาก็เพียงแต่ถามไปตามมารยาทเท่านั้น
“เรื่องของน้องหญิงสามของเจ้า”
มือที่ยกแก้วชาของเฉินจื้อเฉิงชะงักกึก
“น้องสาม...ท่านหมายถึง...หรงเอ๋อร์?”
“จะยังมีใครอีกเล่า...” หานชิงเยว่ทอดถอนใจ “สวรรค์ช่างเล่นตลก ช่างน่าเสียดายนักที่สุดท้ายก็ต้องประกาศหมั้นหมายกับจวิ้นหวังจ๋างจื่อ...แม่ทัพผู้นั้น”
เฉินจื้อเฉิงนัยน์ตาวาววับ สีหน้าแม้สงบนิ่ง แต่มือนั้นเริ่มกำขึ้นเป็นหมัด “ถือว่านางโชคดี”
“โชคดีอย่างนั้นหรือ...” หานชิงเยว่หัวเราะเบาๆ ทว่าดวงตาฉายแววเป็นกังวล “จวิ้นหวังจ๋างจื่อผู้นี้เป็นแม่ทัพหยาบกระด้าง หรงเอ๋อร์ของพวกเราเป็นโฉมงามยอดเมธี สตรีที่นุ่มนวลอ่อนหวานเช่นนี้ควรคู่กับบัณฑิตอ่อนโยนรู้จักรักหยกถนอมบุปผาต่างหาก ให้นางหมั้นหมายกับทหาร ก็เหมือนกับโยนหยกงามให้นกกานั่นล่ะ พวกมันรู้ค่าเสียที่ไหน”
เฉินจื้อเฉิงนั่งฟังอย่างสงบ แต่นัยน์ตาเริ่มฉายแววสับสน ความคิดที่เขาเคยพยายามกดเก็บไว้ในเบื้องลึกกลับพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง
หานชิงเยว่ที่ลอบมองอยู่เห็นดวงตาวาววับของอีกฝ่ายก็สาแก่ใจนัก นางจิบชาในมือดวงตาพราวระยับ ในใจเริ่มคิดอ่านวางแผนการมากมาย
นางรอกระทั่งเฉินจื้อเฉิงเดินออกไปจากเรือนแล้ว จึงค่อยนั่งลงเขียนจดหมาย ก่อนพับแล้วส่งให้สาวใช้พร้อมกับถุงผ้าแพรงามประณีตที่บรรจุของหนักๆ สั่งเพียงประโยคเดียวสั้นๆ
“ส่งให้ท่านลุงของข้าที่สำนักศึกษา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วรีบออกจากจวนไปทำตามคำสั่งทันที
หานชิงเยว่ไม่สนใจจะมองสาวใช้ของตนเองสักนิด นางกลับมองตรงไปยังเรือนอี้หรงที่ยามนี้ซ่อมแซมจนแม้แต่หลังคาก็ยังดูยิ่งใหญ่งามสง่า
รออีกไม่นาน...เมื่อเฉินกั๋วกงและเฉินจิ้งอี้ออกเดินทางไปตรวจราชการต่างเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ...เมื่อนั้นจะเป็นจังหวะลงมือของนาง...
ในเมื่อครั้งนี้นางเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง ย่อมไม่มีคำว่าผิดพลาด...
ยิ่งบินขึ้นสูงยิ่งตกลงมาเจ็บหนัก... ยามนี้นางแทบอดใจรอดูสภาพโฉมงามยอดเมธียามปีกหักไม่ไหวแล้ว
หลังจากที่บิดาและพี่ใหญ่ออกเดินทาง น้องสาม เฉินจิ้งเสียน ก็แวะเวียนมาที่เรือนอี้หรงของนางทุกวัน จนทำให้เซียงหรงอดเอ่ยปากถามไม่ได้
“ระยะนี้น้องสามไม่ต้องไปสำนักศึกษาหรือ”
“ทำไมหรือ” เฉินจิ้งเสียนจิบชาเบญจเกสร พลางมองพี่หญิงของตนอย่างล้อเลียน “หรือว่าพอมีคู่หมั้นแล้วจึงไม่อยากเห็นหน้าน้องชาย กลัวว่าข้าจะมาขัดช่วงเวลาดีๆ ระหว่างพี่หญิงกับคู่หมั้นหรือ?”
“น้องสาม!” เซียงหรงทำหน้ายุ่งยาก “เจ้าอย่าล้อข้าเล่นอีกเลย ไม่เห็นหรือว่าวันๆ ข้าปวดหัวมากเพียงใด”
เฉินจิ้งเสียนวางถ้วยชา ถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่หญิงไม่อยากแต่งให้เขาถึงเพียงนั้นเลยหรือ จวิ้นหวังจ๋างจื่อตำหนักจวิ้นหวังทิศบูรพามีอะไรน่ารังเกียจหรือ ข้าตรวจสอบมาแล้ว ว่าที่พี่เขยข้าคนนี้นับตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มจนบัดนี้ไม่เคยมีสาวใช้ห้องข้าง รอบรู้สรรพศาสตร์ วิทยายุทธเป็นเลิศ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ยามรับราชการทหารอยู่ที่ชายแดน เหล่าชาวบ้านและทหารใต้บังคับบัญชาล้วนเคารพยกย่อง เป็นวีรบุรุษผู้กล้า ความกล้าหาญเก่งกาจล้วนเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้ง...อืม...รูปโฉมก็มิใช่ด้อยไม่ใช่หรือ?”
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







