ในจวนเฉินกั๋วกง นอกจากตัวเฉินกั๋วกงเองและคุณชายใหญ่ที่จะต้องเป็นผู้ไปราชการแล้ว คนที่ต้องวุ่นวายด้วยเรื่องการเตรียมการออกเดินทางก็คืออนุหานซึ่งรับหน้าที่ตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้และเสบียงอาหารให้สามี และคุณหนูสามที่ต้องจัดเตรียมข้าวของสำหรับคุณชายใหญ่
หานชิงเยว่ไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าเฉินจิ้งอี้จะยอมให้นางตระเตรียมข้าวของให้ แต่การกระทำเรื่องข้ามหัวนางด้วยการบอกกล่าวให้น้องสาวตนเองเป็นคนจัดเตรียมข้าวของให้โดยตรง นั่นเป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้อย่างที่สุด
ต่อให้มีศักดิ์ฐานะเป็นเพียงอนุภรรยา แต่ในมือนางถือกุญแจคลังสมบัติ ดูแลจวนเฉินกั๋วกงมานานปี ทุกวันนี้แม้แต่อนุซูและอนุจางที่ท่านกั๋วกงกล่าวว่ามีศักดิ์ฐานะเท่าเทียมกันก็ยังต้องลงให้นางครึ่งส่วน การจัดการในจวนเป็นเรื่องของนาง ไม่ใช่ธุระกงการของคุณชายเช่นเขา! แน่นอนว่ารวมไปถึง เฉินเซียงหรง ที่เป็นผู้เลือกทิ้งอำนาจดูแลจวนที่บิดามอบให้ โยนภาระหน้าที่ทุกอย่างมาให้นาง อนุจาง และอนุซู ช่วยกันดูแล
เรือนของคุณหนูสามที่แม้จะวุ่นวายแต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลับทำให้ผู้เป็นนายของเรือนอื่นร้อนรุ่มราวกับไฟสุมทรวง
ไม่นับเรือนของอนุหาน หานชิงเยว่ ที่หลายครั้งจะได้ยินเสียงโครมครามข้าวของแตกกระจายดังออกมา ในเรือนที่มีคุณหนูทั้งหลายต่างก็ได้ยินเสียงของแตกอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง
มีแต่เรือนของอนุซูที่เงียบงันจนน่าขนลุก ยิ่งที่พักของคุณชายรอง...บ่าวไพร่ทุกคนยิ่งทำตัวราวกับวิญญาณ ไม่กล้าส่งเสียงแม้สักแอะ
ไม่รู้ว่าเหตุใด ยิ่งนานวันคุณชายรอง เฉินจื้อเฉิง ก็ยิ่งราวกับคนคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ในแต่ละวันหากไม่เมาสุราคลุ้มคลั่งอาละวาด ก็เอาแต่นิ่งเงียบ...นิ่งเงียบราวกับมังกรดินที่รอวันพ่นไฟให้ปะทุออกมาจากใต้พิภพ
เดิมทีคุณชายรองในเรือนตนก็คุ้มดีคุ้มร้ายอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะเขาพยายามสอบเพื่อเป็นจิ้นซื่อแต่ก็ไม่เคยผ่าน ทุกครั้งที่ได้ยินใครเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ คุณชายรองมักร่ำสุราอาละวาด ครั้งหนึ่งถึงกับลงมือเฆี่ยนตีบ่าวรับใช้จนมีคนหนึ่งเกือบตาย ดังนั้น ตอนนี้ที่ทุกคนรู้ว่าคุณชายรองกำลังหงุดหงิดจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรขัดใจเขาทั้งนั้น
แต่ไม่มีใครรู้เลย ว่าความหงุดหงิดนั้น จะมาจากการที่เขาเห็นความสนิทสนมระหว่างคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง และคู่หมั้นของนาง
วันหนึ่ง ขณะที่เฉินจื้อเฉิงเดินผ่านศาลาในสวน ก็เห็นหลี่จือหลินกำลังหยอกเย้าเฉินเซียงหรงอยู่ เฉินเซียงหรงที่ยืนอยู่ในชุดสีอ่อนแก้มป่องเล็กน้อย กำลังทำท่าไม่พอใจ ทั้งอย่างนั้นรอยยิ้มที่มุมปากของหลี่จือหลินก็บอกชัดว่าเขาไม่ได้ยี่หระต่อการปฏิเสธของนางแม้แต่น้อย
จวิ้นหวังจ๋างจื่อกลับยิ่งเข้าใกล้นางมากขึ้น
“คุณหนูสาม ข้าก็แค่เป็นห่วงจึงแวะมาดูเจ้า มีอะไรให้น่าโมโหเล่า? หรือเจ้าอยากให้ข้ามาแค่วันเว้นวัน?” หลี่จือหลินแสร้งทำเสียงเศร้า
เฉินเซียงหรงหันมาทำหน้ายู่ “วันเว้นวัน? ข้าอยากให้ท่านหายไปสักเดือนสองเดือนมากกว่า!”
เฉินจื้อเฉิงที่มองอยู่ไกล ๆ กำหมัดแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด เขาเคยรู้สึกว่าในฐานะคู่ครองของน้องสาว หลี่จือหลินที่เป็นถึงจวิ้นหวังจ๋างจื่อก็ไม่นับว่าแย่ แต่เมื่อเห็นชายคนนั้นพูดคุยกับหรงเอ๋อร์อย่างสนิทสนม กลับอดหงุดหงิดคับข้องใจไม่ได้
หานชิงเยว่ที่คอยดูความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายเรื่อยมาถึงกับหัวเราะ เมื่อบ่าวรับใช้มารายงานนาง ว่าเพียงคุณชายรองเห็นคุณหนูสามหยอกเย้าอยู่กับคู่หมั้นก็กลับไปพังห้องหนังสือของตนเสียยับเยิน
น่ารังเกียจนัก
เห็นได้ชัดว่าสายตาที่เฉินจื้อเฉิงใช้มองน้องสาวตัวเองไม่ใช่สายตาของพี่ชายสักนิด…
เฉินจื้อเฉิง...ผู้ดีจอมปลอม ไร้คุณธรรม ไร้มารยาท ไร้ความสามารถ...หากคนเช่นนี้กลายเป็นคู่ครองของโฉมงามยอดเมธีผู้ประเสริฐเลิศล้ำและเป็นที่โปรดปรานของหวงโฮ่วขึ้นมาเล่า...
ที่หนักหนายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด...คนผู้นี้ที่ว่า...คือพี่ชายของนางเองเสียด้วย…หึหึ
พี่น้องกระทำเรื่องผิดศีลธรรม ไม่อายฟ้าไม่อายดิน...ไม่รู้ว่าผู้คนจะก่นว่า ฟ้าดินจะสาปแช่งถึงเพียงไหน
หานชิงเยว่ยิ้มกระหยิ่ม เฝ้ารอเวลาเหมาะๆ ที่เฉินจื้อเฉิงมาคารวะผู้เป็นบิดา เชื้อเชิญให้บุตรชายที่ไม่เอาไหนของซูเหมยเหนียงมานั่งดื่มชากับนาง
“ไม่ได้เห็นคุณชายรองมานานแล้ว ไม่รู้ว่าสบายดีหรือไม่...” นางรินชาให้เฉินจื้อเฉิงอย่างเบามือ “ชานี้ข้าเพิ่งได้มา เห็นว่าคุณชายรองชอบดื่มชาดี เลยคิดว่าสมควรชวนเจ้ามาเป็นสหายลิ้มรสชาสักครั้ง”
เฉินจื้อเฉิงดื่มชา หัวใจที่เคยเร่าร้อนเริ่มเย็นลงเล็กน้อย “ขอบคุณแม่รอง...เป็นชาดีจริงๆ”
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห
ยามนี้ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากที่เคยอิ่มงามและชุ่มชื้นแตกแห้งและสั่นระริกเพราะความหนาว กระแสลมหนาวเหน็บพัดเส้นผมที่ยาวสยายไร้ระเบียบของนางไปติดแก้ม บดบังทัศนวิสัยส่วนหนึ่ง นางพยายามจะยกมือขึ้นปัดมันออก แต่กลับแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิดต้องหาที่หลบ...ก่อนที่คนร่างสูงนั่นกับคนพวกนั้นจะตามมาเจอ...ยามนี้มีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นวนเวียนในหัวนาง นางพยายามเร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำต้องไปต่อ...ต้องรอด...ต้องไม่ตาย...พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...จะต้อง...กลับไปให้ได้...ฝ่ามือเล็กๆ ของนางกำหมัดแน่น สันกรามของนางขบกันจนปวดแปลบเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด ดวงตาคู่หวานที่เคยทอประกายสดใสในยามปกติ บัดนี้เต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นผสมความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ผืนป่าก็ยิ่งมืดลงราวกับว่านางเลือกเส้นทางผิดพลาดราวกับว่า...ป่าแห่งนี้กำลังค่อยๆ กลืนกินนาง...เซียงหรงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังบีบรัดนางให้แหลกสลาย สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่หนักหน่วงขึ้นทุกทีนางพยายามกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไ
แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับไม่ช่วยให้นางมีหวังต้นไม้สูงใหญ่ที่ล้อมรอบนางดูเหมือนเงาดำมืดที่คอยซุ่มมอง ยามนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงป่ารกครึ้มที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตราวกับว่านางเดินพลัดหลงเข้ามาในโลกของภูติผีในเรื่องเล่า มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่พอจะฟังคุ้นหูและเสียงน้ำไหลเบาๆ จากที่ไกลๆ ที่บอกให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิตเซียงหรงก้าวขาเดินโซซัดโซเซ สะดุดล้มไปกับพื้นก็หลายครั้ง แขนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยข่วนจากกิ่งไม้ใบหญ้าพยายามยันตัวลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่พร่ามัวลงทุกขณะคอยมองหาที่หลบภัยโดยสัญชาตญาณ แต่ก็พบเพียงความมืดดำว่างเปล่าหรือสัญชาตญาณของสตรีที่เอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบในเรือนหลังจะไม่ดีพอ?ไม่ต้องพูดถึงการเดินเท้าในป่ารกครึ้มตอนกลางคืนเช่นนี้ กับแค่การออกนอกจวน นางยังได้ทำนับครั้งได้ด้วยซ้ำ"แต่ข้าจะไม่ตาย...ต้องไม่ตาย..." นางพร่ำบอกตัวเองน้ำเสียงแหบพร่า พยายามเค้นสมองนึกให้ออกว่าสรรพตำราที่เคยอ่านมาทั้งหมดและท่านอาจารย์ผู้ชราทั้งสองของตนเคยกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับป่าและการหาทิศเอาไว้อย่างไรดาว...พวกคนเดินเรือใช้ดาว...“กลางคืนมีดาว...ถูกแล้ว...ดาว...” นางพยายามตั
กลางดึกอันหนาวเหน็บ เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องผสานเสียงกระแสลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้สูงฟังแล้วน่าขนลุก เฉินเซียงหรงรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองโชคดีถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดมาเกยริมตลิ่ง ทว่ายามนี้ร่างกายเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านางจำได้ดี ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ตกลงมา มีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งดิ่งตัวตามลงมารวบตัวนางไว้ เดาว่าคงไม่พ้นเป็นคนของพี่ชายรอง หรือไม่ก็เป็นคนของ...อนุหาน?เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นแผนการของอนุหาน นางก็ทั้งผิดหวังเสียใจที่ความปรารถนาดีของนางรวมถึงความใจกว้างที่แล้วๆ มา ที่มีต่อ ‘ท่านแม่ทั้งสาม’ และพี่น้องต่างมารดาในจวนรวมถึงคนของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเรื่องโง่เง่า และยิ่งกว่าเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนของน้องชายสาม ทั้งยังโกรธตนเองที่ได้แต่รับการปกป้องจากพี่ซู่ซินของนางเช่นนี้ทว่ายามนี้ไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดแล้วทั้งนั้น สิ่งที่นางทำได้มีเพียงการพยายามเอาชีวิตรอดกลับไป...กลับไปเพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่ให้แตะต้องพี่ชายและน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนาง และเผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่ซู่ซินที่เอาตัวเองเข้าปกป้องนางในเรื่องใดได้บ้างนางจะต้องมีชีวิต
เซียงหรงรีบวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อมาถึงลานด้านหน้า กลุ่มบ่าวชายที่เฉินจื้อเฉิงสั่งการกลับมายืนดักหน้าไว้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“พวกเจ้า...คิดจะทำอะไร!” เซียงหรงตะโกนพลางถอยหลังกรูดคนกลุ่มนั้นหัวเราะเยาะ “ก็แค่ทำให้คุณหนูหลบเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ยังไงคุณชายรองก็รักใคร่ในตัวท่านมาก ท่านก็สมควรตอบแทนเขาเสียหน่อย”“องครักษ์! ท่านองครักษ์!” เซียงหรงร้องเสียงดังขึ้น อดแปลกใจไม่ได้ที่พวกนางเสียงดังอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้ กลับไม่มีใครในวัดเยี่ยมหน้าออกมาดูเลยสักนิด“องครักษ์ตระกูลจวิ้นหวัง...พวกเจ้าทำอะไรเขา!”พวกบ่าวรับใช้ต่างหัวเราะครึกครื้น “พวกบ่าวที่ไหนจะทำอะไรยอดฝีมือจากตำหนักจวิ้นหวังท่านนั้นได้...ผู้ที่จัดการกับเขา เดาว่าคงเป็นคนของฟูเหรินกระมัง”ฟูเหรินที่ใด?! เซียงหรงพลันหนังศีรษะชาวาบ “หรือว่า...หมายถึง...อนุหาน...?”“ไม่รู้สิขอรับ สำหรับพวกเราบ่าวรับใช้ ผู้ใดคือฟูเหริน ผู้นั้นก็คือฟูเหริน”เซี