จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี
“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด “เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า “พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน “ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดู จิ่นหรงจึงช้อนอุ้มเอานางขึ้นมา ก่อนจะเดินตามกันไปที่ประตู ซึ่งไฟรอบด้านยังคงลุกไหม้ราวกับมีคนเติมเชื้อเพลิงเข้าใส่ นี่ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกช่วยออกมาทันเวลา ยามนี้คงตายอยู่ใต้ซากปะหลักหักพังที่กองสุมอยู่ตรงนั้นแล้ว “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยพวกเราไว้” เขาเอ่ยแผ่วเบา ถึงกระนั้นคนในอ้อมกอดก็ยังได้ยิน และพึมพำตอบกลับมาว่า “หากพระสวามีสำนึกก็พลีกายตอบแทนนะเพคะ” นางมิได้เอ่ยเปล่า ทว่าใบหน้างามยังฝังลงที่ซอกคอเขาด้วย ร่างสูงจึงชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินทันที “มีอันใดหรือจิ่นเอ๋อร์” “ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยตอบบิดาแล้วเขาก็เดินต่อ ส่วนคนในอ้อมแขนยามนี้นิ่งไปแล้ว ไม่รู้หลับจริงหรือแกล้งกันแน่ ทว่าหลังจากวันนั้น ตันหยางก็หมดสติไปถึงสองวันเต็ม พอฟื้นมาก็ร้องหาแต่ของกินอย่างกับคนหิวโหย มีพี่สาวอย่างมู่ตันหยงมาคอยดูแลและทำอาหารให้ “ช้าหน่อย ประเดี๋ยวก็ติดคอตาย” ตันหยงเอ่ยเตือนเสียงอ่อน พร้อมกับรินชาส่งให้เหมือนอย่างเคย “ก็มันหิวนี่…อาหารในวังก็มีแต่รสชาติจืด ๆ สู้อาหารที่พี่หญิงกับพี่จินมู่ทำให้กินไม่ได้สักนิด” เอ่ยบอกไปตามจริง ผู้พี่จึงได้แต่ยิ้มเอ็นดู “เห็นแก่กินไม่เปลี่ยน” ตันหยางยิ้มรับก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินจนอาหารตรงหน้าหมด จากนั้นสองพี่น้องก็นั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ กระทั่งค่ำตันหยงก็ขอตัวกลับ มิเช่นนั้นจะไม่ทันเวลาปิดประตูวัง “กลับดีดีนะเจ้าคะ แล้ววันพรุ่งไม่ต้องมาแล้วนะ พี่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เดินทางไปมาบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อหลานข้า” ตันหยางกำชับ พร้อมกับยื่นมือออกมาลูบท้องพี่สาวอย่างเบามือ “เลยสามเดือนแล้ว ไปมาได้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ทว่าช่วงนี้พี่ก็คงจะมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้จริง ๆ การตรวจเข้มของวังหลวงแน่นหนาจนน่ารำคาญ ตั้งแต่เกิดเรื่องคนของเราแทบจะต้องถอดอาภรณ์ออกทั้งตัวจึงจะเข้ามาได้” “ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” ตันหยางตาโต ผู้พี่ก็พยักหน้าให้ “เจ้าต้องดูแลตัวเองนะ พี่เกรงว่าคนชั่วที่หมายจะฆ่าล้างราชวงศ์อาจจะลงมืออีก” “ให้มันมาเถิด น้องจะกวาดให้เรียบเอง” ตันหยงหัวเราะอย่างขำขันก่อนจะเอ่ยว่า “แค่ถูกควันไฟยังหลับไปตั้งสองวัน ยังจะอวดเก่งคิดกำจัดศัตรูอีกหรือ” “พี่หญิง! น้องไม่ได้หมดสติเพราะควันไฟเสียหน่อย รู้หรือไม่ที่ทุกคนรอดมาได้ล้วนแต่เป็นน้องพาออกมานะ อุตส่าห์ทำความดีกลับไม่มีใครเห็นเสียนี่” ใบหน้างามค้อนขวับเข้าให้ “จริงหรือ? ก็พี่ไม่รู้นี่ ไม่เห็นมีใครบอกเลย” ตันหยงหันกลับมาหาคนสนิทน้องสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนเกิดเรื่องพวกเราอยู่ด้านนอก หลังจากดับไฟที่หน้าประตูได้ก็เห็นทุกคนนอนกองอยู่ในสวน รวมถึงพระชายาด้วยเจ้าค่ะ” มู่หลิงบอกไปตามที่เห็น ตันหยงจึงหันกลับมาหาน้องสาว “แล้วเรื่องมันเป็นเช่นไร” ตันหยางจึงบอกเล่าให้ทุกคนฟัง และหนึ่งในนั้นก็มีอี้ฟานรวมอยู่ด้วย หลังจากเกิดเรื่องเขาก็ได้รับคำสั่งให้อยู่อารักขาพระชายาที่นี่ แม้หานฟู่และมู่เฟิงจะบอกว่าไม่ต้องก็ตาม “เจ้านี่นะ ดีที่ร่างกายไม่มีบาดแผลอันใด” “น้องระวังตัวเก่งจะตาย พี่หญิงอย่ากังวลเลย” “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ประมาทเชียว ภายหน้าไม่รู้คนชั่วเหล่านั้นจะลงมือเช่นใดอีก ได้ยินท่านโหวกล่าวว่ามันอาจจะเป็นฝีมือคนจากราชวงศ์ก่อน พวกมันคงไม่รามือง่ายๆ” “ราชวงศ์ก่อนหรือ” “อืม… ได้ยินว่ายังเหลืออ๋องต่างแซ่ที่เป็นบุตรนอกสมรสของพระอนุชาของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ยามนี้มีชันษาสามสิบแปดปีแล้ว เทียบเท่ากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเรา ไม่แน่ยามนี้เขาอาจคิดที่จะชิงบัลลังก์คืนก็เป็นได้” “ชิงบัลลังก์คืน!” คนในห้องส่งเสียงประสานกัน “ใช่…ท่านโหวกล่าวว่าน่าจะยังมีขุนนางที่จงรักภักดีกับฝ่ายนั้นอยู่ ทว่ายังไม่อาจสืบรู้ได้ว่ามีใครบ้าง และเพลิงไหม้ครานี้ คาดว่าคนในน่าจะมีส่วนรู้เห็น มิเช่นนั้นคงไม่เจาะจงเผาแค่ตำหนักไทเฮาที่เดียวเป็นแน่” ตันหยงเอ่ยตามที่ตนรู้มา “ถึงว่าตอนที่หนีออกมาคนข้างนอกล้วนแต่หมดสติ ดูท่าพวกเขาไม่ถูกวางยาก็คงดมควันไฟมากไปกระมัง ตอนที่ข้าได้กลิ่นคราแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีพิษทำให้อ่อนแรง จึงรีบสะกัดลมหายใจแล้วก็กินยา มิเช่นนั้นคงหาวิธีพาคนอื่นออกมาไม่ได้แน่ ดีนะที่ข้าไหวตัวทัน อ๊ะ!... พี่หญิงตีข้าทำไม” “เจ้านี่ะ ยังจะมาชื่นชมตนเองอีก เกือบจะตายแล้วแท้ ๆ” “โอ๋ ๆ น้องสาวพี่ไม่ตายง่าย ๆ หรอกเจ้าค่ะ ท่านยมบาลเกรงว่าข้าจะไปป่วนยมโลก เขาไม่กล้ามารับตัวข้าหรอกเจ้าค่ะ” คนน้องยังคงเอ่ยติดตลก สร้างเสียงหัวเราะเอ็นดูตามมา รวมถึงคนที่ยืนอยู่มุมประตูในยามนี้ด้วย “จะไม่เข้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ล่ะ นางสบายดีแล้วไม่มีอันใดให้ต้องกังวล ข้าจะไปหารือกับองครักษ์เกราะดำ” สิ้นคำร่างสูงก็เดินจากไป ส่วนด้านในก็ยังคงพูดคุยกันต่อจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วจริง ๆ สองพี่น้องจึงบอกลากันอีกหน “เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ” ตันหยงกำชับ “ข้ารู้น่า พี่ห่วงคนที่คิดมาทำร้ายข้าดีกว่านะ” “ชิ” ผู้พี่ค้อนขวับเข้าให้ “พี่ไปนะ ยังต้องส่งคนออกตามหาไป่ฮวาอีก ท่านย่ากับลุงไป่ห่วงนางจะแย่” “ยังหาตัวไม่พบอีกหรือ” “ยัง…ไม่รู้หายไปได้อย่างไร นางก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน ทว่ากลับถูกพาตัวออกไปจากร้านทั้งที่เวรยามก็มีเฝ้าอยู่แท้ ๆ” “พี่ไป่ฮวาเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครองนาง พี่ก็อย่าเป็นกังวลให้มาก อย่าลืมว่ายามนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ เรื่องไหนที่วางลงได้ก็วางลงเสีย ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรมของแต่ละคนไปเถิด ยามนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตนเอง มิใช่ตัวละครที่ถูกกำหนดให้เล่นตามบทบาท พี่ไป่ฮวานางเป็นคนฉลาด ย่อมไม่มีวันแพ้พ่ายให้ภัยอันตรายแน่นอน” ตันหยงพยักหน้ารับ “พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” สองพี่น้องยิ้มให้กันก่อนจะแยกจากจริง ๆ เพราะยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อพี่สาวออกไป ตันหยางก็กลับมานั่งเล่นบนเก้าอี้ตัวยาวที่นางสั่งทำขึ้นและใช้งานมานานแล้ว ช่วงที่ต้องเข้ามาเรียนรู้ขนบธรรมเนียม นางก็สั่งให้คนเอามันเข้ามาด้วย พอย้ายมาอยู่ที่นี่คนสนิทก็ไปยกมาไว้ที่ระเบียงหน้าตำหนัก “ใต้เท้า ท่านมีนามว่ากระไรหรือ” ตันหยางคิดว่ามันได้เวลาที่นางจะต้องรู้จักกับคนในจวนนี้แล้ว “กระหม่อมอี้ฟานพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นใต้เท้าอี้ฟาน ท่านกลับไปอารักขารัชทายาทเถิด ข้ามีองครักษ์ดูแลอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม เพราะยามนี้คนที่ควรอารักขาคือพระสวามีข้ามากกว่า” “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาททรงเป็นห่วงพระชายา ไม่มีทางให้พระองค์อยู่กับองครักษ์ไม่กี่คนแน่” อี้ฟานรีบบอกเหตุผล “นายของเจ้ารู้จักห่วงข้าด้วยหรือ” ริมฝีปากอิ่มยกมุมขึ้น เพราะไม่ค่อยเชื่อคำของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น