Share

5.ห่วงหรือ

last update Last Updated: 2025-10-06 23:37:51

จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม  แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด  ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา  และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี

“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ”  หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด

“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน”  จิ่นหรงออกคำสั่งเอง  ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว  เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก  จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า

“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”  มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง  เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ  

ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา  จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท  

“หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ”  ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล  เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ  จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง  

“อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน”  เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ  ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน

“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก  หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด”  ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

จิ่นหรงจึงช้อนอุ้มเอานางขึ้นมา  ก่อนจะเดินตามกันไปที่ประตู  ซึ่งไฟรอบด้านยังคงลุกไหม้ราวกับมีคนเติมเชื้อเพลิงเข้าใส่  นี่ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกช่วยออกมาทันเวลา  ยามนี้คงตายอยู่ใต้ซากปะหลักหักพังที่กองสุมอยู่ตรงนั้นแล้ว

“ขอบคุณเจ้าที่ช่วยพวกเราไว้”  เขาเอ่ยแผ่วเบา  ถึงกระนั้นคนในอ้อมกอดก็ยังได้ยิน  และพึมพำตอบกลับมาว่า

“หากพระสวามีสำนึกก็พลีกายตอบแทนนะเพคะ” นางมิได้เอ่ยเปล่า  ทว่าใบหน้างามยังฝังลงที่ซอกคอเขาด้วย  

ร่างสูงจึงชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินทันที

“มีอันใดหรือจิ่นเอ๋อร์”

“ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”  เอ่ยตอบบิดาแล้วเขาก็เดินต่อ  ส่วนคนในอ้อมแขนยามนี้นิ่งไปแล้ว  ไม่รู้หลับจริงหรือแกล้งกันแน่

ทว่าหลังจากวันนั้น  ตันหยางก็หมดสติไปถึงสองวันเต็ม

พอฟื้นมาก็ร้องหาแต่ของกินอย่างกับคนหิวโหย  มีพี่สาวอย่างมู่ตันหยงมาคอยดูแลและทำอาหารให้  

“ช้าหน่อย  ประเดี๋ยวก็ติดคอตาย”  ตันหยงเอ่ยเตือนเสียงอ่อน  พร้อมกับรินชาส่งให้เหมือนอย่างเคย

“ก็มันหิวนี่…อาหารในวังก็มีแต่รสชาติจืด ๆ สู้อาหารที่พี่หญิงกับพี่จินมู่ทำให้กินไม่ได้สักนิด”  เอ่ยบอกไปตามจริง

ผู้พี่จึงได้แต่ยิ้มเอ็นดู “เห็นแก่กินไม่เปลี่ยน”

ตันหยางยิ้มรับก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินจนอาหารตรงหน้าหมด  จากนั้นสองพี่น้องก็นั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่  กระทั่งค่ำตันหยงก็ขอตัวกลับ  มิเช่นนั้นจะไม่ทันเวลาปิดประตูวัง

“กลับดีดีนะเจ้าคะ  แล้ววันพรุ่งไม่ต้องมาแล้วนะ  พี่กำลังตั้งครรภ์อยู่  เดินทางไปมาบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อหลานข้า”  ตันหยางกำชับ  พร้อมกับยื่นมือออกมาลูบท้องพี่สาวอย่างเบามือ

“เลยสามเดือนแล้ว  ไปมาได้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก  ทว่าช่วงนี้พี่ก็คงจะมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้จริง ๆ การตรวจเข้มของวังหลวงแน่นหนาจนน่ารำคาญ  ตั้งแต่เกิดเรื่องคนของเราแทบจะต้องถอดอาภรณ์ออกทั้งตัวจึงจะเข้ามาได้”

“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”  ตันหยางตาโต

ผู้พี่ก็พยักหน้าให้ “เจ้าต้องดูแลตัวเองนะ  พี่เกรงว่าคนชั่วที่หมายจะฆ่าล้างราชวงศ์อาจจะลงมืออีก”  

“ให้มันมาเถิด  น้องจะกวาดให้เรียบเอง”

ตันหยงหัวเราะอย่างขำขันก่อนจะเอ่ยว่า “แค่ถูกควันไฟยังหลับไปตั้งสองวัน  ยังจะอวดเก่งคิดกำจัดศัตรูอีกหรือ”

“พี่หญิง!  น้องไม่ได้หมดสติเพราะควันไฟเสียหน่อย  รู้หรือไม่ที่ทุกคนรอดมาได้ล้วนแต่เป็นน้องพาออกมานะ  อุตส่าห์ทำความดีกลับไม่มีใครเห็นเสียนี่”  ใบหน้างามค้อนขวับเข้าให้

“จริงหรือ?  ก็พี่ไม่รู้นี่  ไม่เห็นมีใครบอกเลย”  ตันหยงหันกลับมาหาคนสนิทน้องสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ  ตอนเกิดเรื่องพวกเราอยู่ด้านนอก  หลังจากดับไฟที่หน้าประตูได้ก็เห็นทุกคนนอนกองอยู่ในสวน  รวมถึงพระชายาด้วยเจ้าค่ะ”  มู่หลิงบอกไปตามที่เห็น

ตันหยงจึงหันกลับมาหาน้องสาว “แล้วเรื่องมันเป็นเช่นไร”

ตันหยางจึงบอกเล่าให้ทุกคนฟัง  และหนึ่งในนั้นก็มีอี้ฟานรวมอยู่ด้วย  หลังจากเกิดเรื่องเขาก็ได้รับคำสั่งให้อยู่อารักขาพระชายาที่นี่  แม้หานฟู่และมู่เฟิงจะบอกว่าไม่ต้องก็ตาม

“เจ้านี่นะ  ดีที่ร่างกายไม่มีบาดแผลอันใด”  

“น้องระวังตัวเก่งจะตาย  พี่หญิงอย่ากังวลเลย”

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ประมาทเชียว  ภายหน้าไม่รู้คนชั่วเหล่านั้นจะลงมือเช่นใดอีก  ได้ยินท่านโหวกล่าวว่ามันอาจจะเป็นฝีมือคนจากราชวงศ์ก่อน  พวกมันคงไม่รามือง่ายๆ”

“ราชวงศ์ก่อนหรือ”

“อืม… ได้ยินว่ายังเหลืออ๋องต่างแซ่ที่เป็นบุตรนอกสมรสของพระอนุชาของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนยังมีชีวิตอยู่  ยามนี้มีชันษาสามสิบแปดปีแล้ว  เทียบเท่ากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเรา ไม่แน่ยามนี้เขาอาจคิดที่จะชิงบัลลังก์คืนก็เป็นได้”

“ชิงบัลลังก์คืน!”  คนในห้องส่งเสียงประสานกัน

“ใช่…ท่านโหวกล่าวว่าน่าจะยังมีขุนนางที่จงรักภักดีกับฝ่ายนั้นอยู่ ทว่ายังไม่อาจสืบรู้ได้ว่ามีใครบ้าง และเพลิงไหม้ครานี้  คาดว่าคนในน่าจะมีส่วนรู้เห็น  มิเช่นนั้นคงไม่เจาะจงเผาแค่ตำหนักไทเฮาที่เดียวเป็นแน่”  ตันหยงเอ่ยตามที่ตนรู้มา

“ถึงว่าตอนที่หนีออกมาคนข้างนอกล้วนแต่หมดสติ  ดูท่าพวกเขาไม่ถูกวางยาก็คงดมควันไฟมากไปกระมัง  ตอนที่ข้าได้กลิ่นคราแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีพิษทำให้อ่อนแรง  จึงรีบสะกัดลมหายใจแล้วก็กินยา  มิเช่นนั้นคงหาวิธีพาคนอื่นออกมาไม่ได้แน่  ดีนะที่ข้าไหวตัวทัน  อ๊ะ!... พี่หญิงตีข้าทำไม”

“เจ้านี่ะ  ยังจะมาชื่นชมตนเองอีก  เกือบจะตายแล้วแท้ ๆ”

“โอ๋ ๆ น้องสาวพี่ไม่ตายง่าย ๆ หรอกเจ้าค่ะ  ท่านยมบาลเกรงว่าข้าจะไปป่วนยมโลก  เขาไม่กล้ามารับตัวข้าหรอกเจ้าค่ะ”  คนน้องยังคงเอ่ยติดตลก  สร้างเสียงหัวเราะเอ็นดูตามมา

รวมถึงคนที่ยืนอยู่มุมประตูในยามนี้ด้วย

“จะไม่เข้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ล่ะ  นางสบายดีแล้วไม่มีอันใดให้ต้องกังวล  ข้าจะไปหารือกับองครักษ์เกราะดำ”  สิ้นคำร่างสูงก็เดินจากไป  

ส่วนด้านในก็ยังคงพูดคุยกันต่อจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วจริง ๆ สองพี่น้องจึงบอกลากันอีกหน

“เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ”  ตันหยงกำชับ

“ข้ารู้น่า  พี่ห่วงคนที่คิดมาทำร้ายข้าดีกว่านะ”

“ชิ”  ผู้พี่ค้อนขวับเข้าให้  “พี่ไปนะ  ยังต้องส่งคนออกตามหาไป่ฮวาอีก  ท่านย่ากับลุงไป่ห่วงนางจะแย่”  

“ยังหาตัวไม่พบอีกหรือ”

“ยัง…ไม่รู้หายไปได้อย่างไร  นางก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน  ทว่ากลับถูกพาตัวออกไปจากร้านทั้งที่เวรยามก็มีเฝ้าอยู่แท้ ๆ”

“พี่ไป่ฮวาเป็นคนดี  สวรรค์ย่อมคุ้มครองนาง  พี่ก็อย่าเป็นกังวลให้มาก  อย่าลืมว่ายามนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ  เรื่องไหนที่วางลงได้ก็วางลงเสีย  ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรมของแต่ละคนไปเถิด  ยามนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตนเอง  มิใช่ตัวละครที่ถูกกำหนดให้เล่นตามบทบาท  พี่ไป่ฮวานางเป็นคนฉลาด  ย่อมไม่มีวันแพ้พ่ายให้ภัยอันตรายแน่นอน”

ตันหยงพยักหน้ารับ “พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”  สองพี่น้องยิ้มให้กันก่อนจะแยกจากจริง ๆ เพราะยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

เมื่อพี่สาวออกไป  ตันหยางก็กลับมานั่งเล่นบนเก้าอี้ตัวยาวที่นางสั่งทำขึ้นและใช้งานมานานแล้ว  ช่วงที่ต้องเข้ามาเรียนรู้ขนบธรรมเนียม  นางก็สั่งให้คนเอามันเข้ามาด้วย  พอย้ายมาอยู่ที่นี่คนสนิทก็ไปยกมาไว้ที่ระเบียงหน้าตำหนัก

“ใต้เท้า  ท่านมีนามว่ากระไรหรือ”  ตันหยางคิดว่ามันได้เวลาที่นางจะต้องรู้จักกับคนในจวนนี้แล้ว

“กระหม่อมอี้ฟานพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นใต้เท้าอี้ฟาน  ท่านกลับไปอารักขารัชทายาทเถิด  ข้ามีองครักษ์ดูแลอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม  เพราะยามนี้คนที่ควรอารักขาคือพระสวามีข้ามากกว่า”  

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ  รัชทายาททรงเป็นห่วงพระชายา ไม่มีทางให้พระองค์อยู่กับองครักษ์ไม่กี่คนแน่”  อี้ฟานรีบบอกเหตุผล

“นายของเจ้ารู้จักห่วงข้าด้วยหรือ”  ริมฝีปากอิ่มยกมุมขึ้น เพราะไม่ค่อยเชื่อคำของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

 

 

 

 

 

 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   10. ทวงบุญคุณ

    ตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   9.หวง

    หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   8.สตรีต้องซื่อสัตย์

    ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   7.ผ่อนคลาย

    จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   6.รับบทเมียเอก

    อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   5.ห่วงหรือ

    จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status